21. ทุพภิกขภัย หรือฉาตกภัย
ทุพภิกขภัย หรือฉาตกภัย (famine) หมายถึง ภัยพิบัติที่มีผู้เจ็บป่วยและ/หรือ เสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากการขาดแคลนอาหารอันเกิดจากภัยธรรมชาติ (เช่น ความแห้งแล้ง น้ำท่วม แมลงหรือโรคระบาดของพืชพันธุ์ธัญญาหาร/ปศุสัตว์) และ/หรือน้ำมือมนุษย์ (เช่น สงคราม เศรษฐกิจล่มสลาย การอพยพโยกย้ายถิ่นฐานของฝูงชนจำนวนมาก).
ทุพภิกขภัย มักจะเกิดในท้องถิ่นหรือประเทศที่มีปัญหาอยู่ก่อน เช่น ความยากจน หนี้สิน การไม่มีงานทำ ภาวะทุพโภชนาการสูง แล้วเกิดชนวน เช่น การจลาจล สงคราม โรคระบาด ทำให้ภาวะทุพโภชนาการรุนแรงขึ้นจนเกิดการเจ็บป่วย/เสียชีวิตอย่างมากมาย.
ภาวะทุพโภชนาการ อาจแบ่งเป็น แบบเฉียบพลัน (acute malnutrition) ซึ่งแสดงออกด้วยการซูบผอมลง แบบเรื้อรัง (chronic malnutrition) ซึ่งแสดงออกด้วยการไม่เติบโต/โตช้า (stunting) และ/หรืออาการบวม (nutritional edema) และแบบการขาดสารอาหารที่ ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อย (micronutrient deficiency) เช่น การขาดวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินเอ/ซี/บีหนึ่ง การขาดธาตุเหล็ก/ไอโอดีน เป็นต้น.
ในการสำรวจภาวะทุพโภชนาการในประชากร มักจะสุ่มสำรวจในประชากรเด็กอายุ < 5 ปี โดยใช้ "ดัชนีน้ำหนักต่อส่วนสูง" (weight-for-height index) เพราะน้ำหนักร่างกาย จะไวต่อการขาดอาหารอย่างเฉียบพลัน ส่วน "ดัชนีความสูงต่ออายุ" (height-for-age index) จะใช้วัดภาวะโตช้า (stunting) หรือการขาดอาหารแบบเรื้อรังมากกว่า.
ทุพภิกขภัย มักจะถูกประเมิน/รายงานในรูปแบบจำนวนอัตรา และ/หรือระดับของภาวะทุพโภชนาการ หรือในรูปของจำนวนผู้เสียชีวิตจากภาวะทุพโภชนาการและภาวะแทรกซ้อนของมัน เช่น โรคติดเชื้อ โดยเฉพาะโรคอุจจาระร่วง โรคปอดและหลอดลม มาลาเรีย เป็นต้น.
การใช้ "อัตราตายหยาบๆ" (crude mortality rates) จะเป็นประโยชน์ในการวัดระดับความรุนแรงของภัยพิบัติ เช่น ถ้ามีผู้เสียชีวิต >= 1 คน/วัน/ประชากร 10,000 คน ให้ถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินแล้ว.
ก่อนเกิดเหตุ
ควรมีการวางแผนการสุ่มสำรวจภาวะโภชนาการของชุมชนต่างๆอยู่เสมอ และการเฝ้าระวังสิ่งเตือนภัยถึงภาวะทุพภิกขภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามา เช่น การที่ชาวบ้านนำสัตว์เลี้ยง (ที่จำเป็นในการดำรงชีพ) ออกขายเพื่อยังชีพ ความเสียหายในการทำนา/ไร่ ความแห้งแล้งผิดปกติ น้ำท่วมยืดเยื้อ การจลาจล สงคราม เป็นต้น.
การวางแผนป้องกันและลดผลกระทบ เช่น การปลูกพืชหลายๆชนิดผสมกัน (mixed-cropping) แทนการปลูกพืชชนิดเดียว (mono-cropping) การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม.
การวางแผนสำรองอาหารและน้ำไว้สำหรับการอุปโภคบริโภค เมื่อมีสิ่งเตือนภัยว่าอาจเกิดทุพภิกขภัย การประสานงานกับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ เป็นต้น.
ขณะเกิดเหตุ
เร่งสำรวจจำนวนผู้เจ็บป่วยและผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการ เช่น เด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์/ให้นมบุตร คนชรา คนพิการ/เจ็บป่วย เป็นต้น เพื่อประมาณจำนวนอาหารที่ต้องการ เพื่อลดการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต.
เร่งแจกจ่ายอาหาร/สารอาหาร และน้ำ รวมทั้งที่พักอาศัย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อพยพโยกย้ายหรือขาดที่พักอาศัยจากน้ำท่วม/สงคราม เป็นต้น.
ให้การตรวจรักษาผู้ป่วยเช่นเดียวกับผู้ป่วย ภัยพิบัติทั่วไป โดยพยายามช่วยคนที่จะช่วยให้รอดได้ก่อนคนที่ช่วยแล้วจะไม่รอด และพยายามป้องกันไม่ให้คนขาดอาหารที่ยังไม่เจ็บป่วยต้องเจ็บป่วย ด้วยการให้วัคซีน/ยาป้องกันโรค วิตามิน และสารอาหารที่จำเป็นโดยผสมไปกับอาหาร/น้ำดื่ม เป็นต้น.
ตรวจรักษาภาวะทุพโภชนาการและภาวะแทรกซ้อน เช่นเดียวกับผู้ป่วยอื่นๆ.
หลังเกิดเหตุ
ควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูโรงพยาบาลและชุมชนหลังภาวะภัยพิบัติ เช่นเดียวกับภาวะภัยพิบัติทั่วไป.
22. ภูเขาไฟระเบิด
ภูเขาไฟระเบิด (volcanic eruption) สามารถทำให้ผู้คนเสียชีวิต/เจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก จากที่มีบันทึกไว้ตั้งแต่ ค.ศ. 1700 มีผู้เสียชีวิตจากภูเขาไฟระเบิดกว่า 270,000 คน.
ในช่วง 1-2 ปีนี้ ก็มีภูเขาไฟระเบิดหลายลูก แต่เนื่องจากระบบเตือนภัยและระบบเคลื่อนย้ายผู้คนออกจากจุดเกิดเหตุในปัจจุบันมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น. ผู้คนจึงบาดเจ็บล้มตายจากการระเบิดของภูเขาไฟน้อยลงมาก และส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุจากการอพยพเคลื่อนย้ายมากกว่าจากการระเบิดของภูเขาไฟ.
ภูเขาไฟที่ยังคุ (ยังระเบิดได้) ส่วนใหญ่ (ประมาณร้อยละ 80) อยู่ในและโดยรอบมหาสมุทรแปซิฟิก ประเทศไทยไม่มีภูเขาไฟที่ยังคุอยู่. แต่ประเทศอินโดนีเซียและหมู่เกาะอื่นๆในมหาสมุทรแปซิฟิกมีภูเขาไฟที่ยังคุอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย.
การระเบิดของภูเขาไฟเกิดจากการพวยพุ่งของก๊าซ ของเหลว (วัตถุหลอมละลาย) และของแข็ง (ก้อนหิน ดิน ฯลฯ) ออกจากปล่อง รู หรือรอยแตกบนพื้นผิวโลก. เมื่อของเหล่านั้นตกลงมาอยู่โดยรอบรู/รอยแตก/ปล่องแล้ว จึงเกิดเป็นเนินสูง (ภูเขา) ที่มีรอยบุ๋มอยู่ตรงยอด ซึ่งบางแห่งรอยบุ๋มนี้กลายเป็นบึง/ทะเลสาบได้.
การพวยพุ่งของก๊าซ ของเหลว และของแข็งขึ้นไปบนอากาศได้หลายร้อยหลายพันเมตร เกิดจากแรงระเบิดของก๊าซที่เกิดจากการหลอมละลายของ หินใต้ผิวโลกจากความร้อนของวัตถุเหลว (magma) ที่อยู่ลึกลงไปใต้เปลือกโลกที่ยกตัวขึ้นมาประชิดชั้นหินใต้ผิวโลกทำให้หินละลาย. ความร้อนอันมหาศาลทำให้ของแข็งและของเหลวจำนวนมากกลายเป็นก๊าซ จึงเกิดแรงระเบิดจนผลักดันสิ่งต่างๆพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ และเกิดหินละลาย (lava) ไหลออกจากปล่อง/รอยแยกลงมาตามไหล่เขาสู่พื้นล่าง เผาไหม้สิ่งต่างๆบนทางผ่าน ของมัน.
อันตรายต่อมนุษย์
หินละลายที่ไหลลงมาตามไหล่เขา (lava) ทำให้คนบาดเจ็บล้มตายน้อยมากเพราะมันไหลช้า สิ่งที่ทำให้คนบาดเจ็บล้มตายมากที่สุดคือ ความร้อน (pyroclastic flows) ของก๊าซ ฝุ่น และเศษหินละลายที่สามารถพุ่งลงมาตามไหล่เขาด้วยความเร็วหลายร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีความร้อนสูงถึง 600-900๐c ได้.
สิ่งที่ระเบิดพวยพุ่งออกมา (ejecta) โดยเฉพาะของแข็งต่างๆ (tephra) เช่น ก้อนหิน เศษ magma จะทำให้เกิดการบาดเจ็บขั้นสอง (secondary blast injury) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการเสียชีวิต.
Tephra ขนาด < 2 มม. เรียกว่า "ฝุ่น" (ash) ขนาด 2-64 มม. เรียกว่า "กระสุน" (lapilli) และ > 64 มม. เรียกว่า "ระเบิด" (lava bombs or blocks) ซึ่งนอกจากแรงทะลุ/กระแทกแล้ว ยังพ่วงความร้อนสูงมาด้วย บางก้อนอาจตกใกล้ๆภูเขาไฟ แต่บางก้อนอาจไปไกลหลายๆกิโลเมตร.
ฝุ่นที่พ่นออกมาเป็นก้อนเมฆ (ash clouds) อาจกระจายไปไกลหลายร้อยกิโลเมตร และเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้. นอกจากนั้นยังอาจบดบังแสงอาทิตย์จนกลางวันมืดมิดเหมือนเป็นกลางคืน.
ก๊าซที่พ่นออกมาก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น SO2 , CO2, HF, HS โดยระคายตา จมูก ทางหายใจ และผิวหนัง. นอกจากนั้น HF ที่ผสมอยู่ในฝุ่นตกลงไปติดใบหญ้าและพืชผักต่างๆ ซึ่งเมื่อสัตว์ (หรือคน) ถ้ากินโดยไม่ได้ล้างฝุ่นออก ก็จะเกิดภาวะฟลูออไรด์เป็นพิษ (fluorosis) ถึงตายได้.
เศษหิน/ดิน/ทราย และอื่นๆที่ไหลลงมา (lahars) หรือเกิดเป็นภาวะโคลนถล่ม (mudslides) โดย เฉพาะเมื่อมีฝนตกหนักร่วมด้วย จะทำให้ "โคลน" เหล่านี้ไหลลงมาตามไหล่เขาด้วยความเร็วหลายสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง เข้าถล่มบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นาต่างๆได้. แม้ภูเขาไฟจะหยุดระเบิดแล้ว อาจเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินเพิ่มขึ้นได้.
อันตรายอื่นๆที่อาจเกิดร่วมกับภัยภูเขาไฟระเบิด เช่น ฟ้าผ่า คลื่นยักษ์สึนามิ แผ่นดินไหว เป็นต้น ซึ่งมักเกิดในขณะภูเขาไฟระเบิด แต่อันตรายจากก๊าซพิษ lahars/โคลนถล่ม ฝุ่น อาจเกิดขึ้นในขณะที่ไม่มีการระเบิดให้เห็นก็ได้.
ก่อนเกิดเหตุ
โรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยงหรือใกล้เคียง (โชคดีที่เมืองไทยไม่มีภูเขาไฟที่ยังคุอยู่ แต่ภูเขาไฟในอินโดนีเซีย อาจส่งผลกระทบ เช่น "ฝุ่น" มาถึงประเทศไทยคล้าย "ควันไฟ" จากการเผาป่าในอินโดนีเซียที่ลามมาถึงภาคใต้ของประเทศไทยได้) จะต้องเตรียมแผนสู้ภัยพิบัตินี้ โดยเฉพาะการเตรียมเส้นทาง ยานพาหนะ และอุปกรณ์ในการอพยพโยกย้ายผู้ป่วยและประชาชนจำนวนมาก เมื่อมีสิ่งเตือนภัยเกิดขึ้น.
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภูเขาไฟ/ธรณีวิทยา จะต้องติดตามเฝ้าระวังภูเขาไฟในพื้นที่ของตน และมีการเตือนภัยได้ล่วงหน้าอย่างถูกต้อง จะได้อพยพโยกย้ายผู้คนก่อนเกิดภัยได้ทัน.
ขณะเกิดเหตุ
ถ้าโรงพยาบาลอาจถูกกระทบ ควรพิจารณาอพยพโยกย้ายผู้ป่วยออกไปก่อน และพิจารณาว่าจะต้องปิดโรงพยาบาลชั่วคราวหรือไม่ หรือรอช่วยเหลือประชาชนที่ยังตกค้างอยู่ในพื้นที่ก่อน จนทุกคนอพยพ โยกย้ายไปหมดแล้ว ค่อยอพยพตามไป.
ถ้าโรงพยาบาลไม่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง และยังสามารถจะดำเนินการต่อได้ ให้ดำเนินการตามแผนรับภัยพิบัติ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งการระวังและกำจัด "ฝุ่น" ที่ตกลงมาไม่ให้เป็นอันตรายต่อคนในโรงพยาบาลและโดยรอบด้วยเท่าที่จะทำได้.
"ฝุ่น" ที่ตกลงมามากๆ อาจทำให้หลังคา/ตึกถล่มได้ รวมทั้งอันตรายต่อทางหายใจและอื่นๆ ดังได้กล่าวไว้ข้างต้น.
หลังเกิดเหตุ
ควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูโรงพยาบาลและชุมชนหลังภาวะภัยพิบัติ เช่นเดียวกับภาวะภัยพิบัติทั่วไป.
23. ไฟฟ้าดับ
ในปัจจุบัน ไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีพ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และในโรงพยาบาล.
ถ้าไฟฟ้าในโรงพยาบาลดับ และไม่มีระบบไฟฟ้าฉุกเฉินสำรองไว้ ห้องจำนวนมากรวมทั้งห้องผ่าตัดอาจมืดมิดจนหาประตูทางออกไม่พบ. ห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศและไม่มีหน้าต่างที่เปิดได้จะร้อนอบอ้าวและอึดอัด. อุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆที่ต้องใช้ไฟฟ้ารวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์จะหยุดทำงาน. อุปกรณ์และเครื่องมือบางชิ้นอาจเสียหายจนใช้การต่อไม่ได้. ถ้าไฟฟ้าดับไปเกิน 3-4 วินาที เครื่องช่วยหายใจ เครื่องช็อกหัวใจ เครื่องให้น้ำเกลือ และอื่นๆจะหยุดทำงาน ทำให้ผู้ป่วยเกิดอันตรายถึงชีวิตได้.
สาเหตุของไฟฟ้าดับ อาจเกิดจากภัยธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า ลมพายุ (ทำให้เสาไฟฟ้าล้ม) น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือจากน้ำมือมนุษย์ เช่น ใช้ไฟมากเกินไป ไฟฟ้าลัดวงจร ระบบไฟฟ้าล่ม การก่อการร้าย เป็นต้น.
ตัวอย่างของระบบไฟฟ้าล่ม เช่น ในวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2546 หลายมลรัฐในสหรัฐอเมริกา ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ และในเมืองโตรอนโตของแคนาดา เกิดไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้างประมาณ 24,000 ตารางกิโลเมตร กระทบต่อประชากรประมาณ 50 ล้านคน จากระบบการส่งและการชดเชยไฟฟ้าให้แก่กันล่ม ทำให้โรงงานไฟฟ้า 100 แห่ง (รวมทั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 22 แห่ง) ทำงานไม่ได้ คนประมาณ 1.5 ล้านคนในเมือง Cleveland ไม่มีน้ำประปาใช้เพราะเครื่องสูบน้ำหยุดทำงาน เครื่องบินประมาณ 300 เที่ยวที่จะขึ้น-ลงที่สนามบินในเมืองเหล่านี้ต้องงด ในกรุงนิวยอร์กเพียงแห่งเดียว เกิดไฟไหม้รุนแรง 6 แห่ง ต้องช่วยคนออกจากลิฟต์ 800 แห่ง มีโทรศัพท์เรียกศูนย์ฉุกเฉิน (9-1-1) > 80,000 ครั้ง และต้องระดมตำรวจ > 40,000 คน เข้าปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย.
ตัวอย่างของการก่อการร้าย เช่น การระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งใช้ระเบิดธรรมดา เพื่อให้เสาไฟฟ้าล้ม ทำให้ไฟดับ ดังที่เคยเกิดที่ภาคใต้ของไทย การใช้ระเบิดพิเศษ เช่น G-bomb (graphite bomb) ที่จะกระจายลวดจำนวนมากลงไปยังเสาและสายไฟต่างๆ ทำให้ ไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งสหรัฐอเมริกาใช้วิธีการนี้ทำลายการส่งไฟฟ้าในสงครามอิรัก เมื่อ พ.ศ. 2534 ได้ถึงร้อยละ 85 และองค์การนาโตใช้ทำลายการส่งไฟฟ้าของเซอร์เบียใน พ.ศ. 2543 ได้ถึงร้อยละ 70, E-bomb หรือเครื่อง EMP (electromagnetic pulse devices) ซึ่งใช้กระแสคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปรบกวนและทำลายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ติดเครื่องยนต์ และอื่นๆ รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆด้วย ตัวอย่างของ E-bomb เช่น ระเบิดปรมาณู, flux compression generators, high-power microwave generators เป็นต้น การนำ E-bomb ซึ่งสามารถทำให้มีขนาดเล็กพอที่จะพกพาได้สำหรับการก่อการร้ายไป "ระเบิด" หรือเปิดเครื่องให้ทำงานในชั้นสูงๆ ของตึกสูงจะทำให้ เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง.
ก่อนเกิดเหตุ
โรงพยาบาลควรจะได้เตรียมระบบไฟฟ้าฉุกเฉินสำรองให้เพียงพอสำหรับห้อง เครื่องมือ (อุปกรณ์) และอื่นๆที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้ป่วยหนัก การตรวจรวมทั้งการตรวจแล็บ การรักษาพยาบาล และการดำเนินงานต่างๆที่จำเป็น เช่น ระบบคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการสั่งและจ่ายยา ระบบข้อมูลที่จำเป็น เพื่อไม่ให้เกิดการสูญหายหรือบิดเบือนจากภาวะไฟดับ.
เครื่องมือ (อุปกรณ์) ที่จะเสียจนใช้การต่อไม่ได้ถ้าไฟดับเกิน 3-4 วินาที จะต้องมีระบบเก็บสำรองไฟไว้ให้เครื่องมือทำงานต่อไปได้แม้ระบบไฟฟ้าทั่วไป จะดับเกิน 5-10 นาทีเป็นอย่างน้อย เพราะเครื่องปั่น ไฟฟ้าฉุกเฉินโดยทั่วไป (ที่ใช้น้ำมันดีเซล) กว่าจะติดเครื่องและให้ไฟเพียงพอได้จะต้องใช้เวลาหลายนาที.
ควรมีเครื่องปั่นไฟอย่างเพียงพอ และให้ไฟพอสำหรับจุดสำคัญต่างๆในโรงพยาบาล และควรมีการตรวจเช็กเครื่องและฝึกซ้อมเป็นประจำ เพื่อว่าในกรณีไฟดับ จะสามารถดำเนินการได้ทันทีโดยคนที่อยู่เวรในช่วงนั้น จึงต้องฝึกซ้อมให้บุคลากรทุกฝ่ายและทุกคนที่ปฏิบัติงานสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในภาวะไฟดับได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
ในกรณีที่อาจมีการก่อการร้าย/สงครามโดยใช้ E-bomb อาจต้องจัดสร้าง "กรงฟาราเด" (Faraday cage) ซึ่งใช้ตาข่ายเหล็กเส้นเล็ก (fine metal mesh) ทำเป็นกรงใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ แล้วต่อสายดินติดกับกรงด้วย โดยอุปกรณ์ที่อยู่ในกรงทั้งหมดต้องไม่ทำงาน (ไม่เสียบกับปลั๊กไฟ/เสาอากาศ) และอยู่ในสภาพอุปกรณ์สำรองที่จะนำออกมาจากกรงมาใช้ เมื่ออุปกรณ์ปกติถูก E-bomb ทำลาย จนใช้การไม่ได้เท่านั้น (ยานพาหนะที่ใช้คอมพิวเตอร์ E-bomb อาจทำให้ติดเครื่องไม่ได้ ให้ถอดขั้วแบตเตอรี (ขั้วลบ) ออกประมาณ 2 นาที แล้วจึงใส่ขั้วกลับเข้าไป แล้วลองติดเครื่องใหม่ เครื่องอาจติดได้).
ขณะเกิดเหตุ
ให้ปฏิบัติตามแผนรับภัยพิบัติที่วางไว้ ป้องกันความตื่นกลัวของผู้ป่วยและบุคลากร ให้ทุกคนที่ไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ (ในภาวะไฟดับ) อยู่ในที่เดิม (อยู่กับที่). ผู้ที่มีหน้าที่จะได้ปฏิบัติงานได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ภัยพิบัติจะได้ไม่เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นน้อยลง.
หลังเกิดเหตุ
ควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูโรงพยาบาล และหาสาเหตุของไฟฟ้าดับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไฟฟ้าดับบ่อยๆ.
สันต์ หัตถีรัตน์ พ.บ.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 8,148 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้