24. ภัยพิบัติคนสำคัญ
ภัยพิบัติคนสำคัญ (VIP-related disaster) ในที่นี้หมายถึง ภาวะที่มีบุคคลสำคัญ (very important person, VIP) มาที่โรงพยาบาลในสภาพของคนป่วยหรือคนปกติ จนทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในโรงพยาบาลหรือที่ห้องฉุกเฉิน ทำให้การตรวจรักษาผู้ป่วยไม่อาจดำเนินการได้ตามปกติ.
เพราะมีผู้คนจำนวนมาก (ทั้งญาติบุคลากรในโรงพยาบาลและประชาชนทั่วไปรวมทั้งสื่อมวลชน) ทะลักเข้ามาในโรงพยาบาล เพื่อชม เยี่ยม สัมผัส หาข่าว หรืออื่นๆ.
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปรักษาพระวรกายที่โรงพยาบาลศิริราช และมีประชาชน (รวมทั้ง "กองทัพนักข่าว") ไปแออัดอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชวันละหลายพันหลายหมื่นคน. นับว่าโรงพยาบาลศิริราชมีความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งโรงพยาบาลอื่นๆที่ไม่เคยได้เตรียมการเช่นนี้มาก่อน ย่อมต้องประสบปัญหายุ่งยากอย่างแน่นอน.
ก่อนเกิดเหตุ : โรงพยาบาลจะต้องวางแผนรับภัยพิบัตินี้เช่นเดียวกับภัยพิบัติอื่นๆ ต่างกันที่ไม่ได้มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก แต่กลับมีประชาชนจำนวนมากที่โรงพยาบาล ซึ่งถ้าไม่ได้วางแผนไว้ก่อน จะสร้างความเสียหายได้อย่างมาก แผนเตรียมการจะคล้ายแผนรับภัยพิบัติทั่วไป โดยเน้นเรื่อง
- การเตรียมคณะแพทย์ พยาบาล และบุคลากรอื่นที่จะทำการต้อนรับและตรวจ รักษาคนสำคัญนั้นถ้าเจ็บป่วยหรือเกิดเจ็บป่วยขณะเยี่ยมชมโรงพยาบาล.
- การเตรียมระบบรักษาความปลอดภัยทั้งสำหรับบุคคลสำคัญ และสำหรับประชาชนทั่วไป เช่น ทางเข้า-ออก พิเศษสำหรับกลุ่มบุคคลสำคัญ ซึ่งอาจต้องปิดเป็นความลับ หน่วยรักษาความปลอดภัยทั้งใน-นอกตึก และตามทางผ่าน การสอดส่องดูแลไม่ให้เกิดการแย่งกันเข้าใกล้คนสำคัญ หรือการทะเลาะวิวาท การฉกชิงวิ่งราว หรืออื่นๆ เป็นต้น.
- การเตรียมที่ให้ประชาชนจำนวนมากได้ อยู่กันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งการจัดเตรียม/ร้องขอหน่วย "สุขาเคลื่อนที่" หรือจัดสร้าง "สุขาชั่วคราว" ขึ้นเพื่อรองรับคนจำนวนมาก รวมทั้งน้ำดื่มและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ.
- การเตรียมที่ให้ "ทัพสื่อมวลชน" ได้อยู่กันเป็นที่เป็นทางและไม่สร้างปัญหาให้แก่การปฏิบัติงานของบุคลากรในโรงพยาบาล รวมทั้งเวลาและชื่อของบุคคลที่จะให้ข่าวแก่สื่อมวลชนได้เท่านั้น.
- การเตรียมการให้การตรวจรักษาผู้ป่วยอื่นๆได้รับผลกระทบกระเทือนน้อยที่สุด.
- การป้องกันไม่ให้บุคลากรในโรงพยาบาลกลายเป็น "ไทยมุง" ไปด้วย เป็นต้น.
ขณะเกิดเหตุ : ให้ปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ และประสานงานขอความช่วยเหลือจากหน่วยงาน อื่นๆ เพื่อการควบคุมฝูงชน การรักษาความปลอดภัย การดูแลเรื่องการจราจร เครื่องอำนวยความสะดวกแก่ฝูงชน (เช่น สุขา น้ำดื่ม ยาดม ที่ทิ้งขยะ).
สำหรับ "คนสำคัญ" ที่ป่วย ควรให้การตรวจรักษาในที่เฉพาะ (ถ้าไม่ปะปนกับผู้ป่วยอื่นได้ยิ่งดี) เพราะจะไม่ทำให้เกิดความโกลาหล และความรู้สึกถึงการ "เลือกปฏิบัติ" และจะทำให้ "ผู้ป่วยสำคัญ" พ้นจากห้องฉุกเฉิน หรือห้องตรวจผู้ป่วยนอกได้ อย่างรวดเร็ว ทำให้การตรวจรักษาผู้ป่วยอื่นๆเป็น ไปได้ตามปกติเร็วขึ้น.
นี่คือ การคัดแยก (triage) ผู้ป่วยในภาวะภัยพิบัติ ที่จะคัดแยกผู้ป่วยที่รักษาได้เร็วและออกจากที่ตรวจรักษาได้เร็ว ให้ได้รับการรักษาก่อนผู้ป่วยที่รักษาได้ช้าหรือรักษาไม่ได้.
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการตรวจรักษา "ผู้ป่วยสำคัญ" คือ กลุ่มอาการวีไอพี (VIP syndrome) นั่นคือ การไม่กล้าตรวจให้ละเอียดถี่ถ้วน เพราะกลัวผู้ป่วยอายหรือเจ็บ ทำให้การตรวจรักษาน้อยหรือมากกว่าที่จำเป็น จึงต้องจำไว้เสมอว่า "ผู้ป่วยทุกคนไม่ว่าชั้นสูงหรือชั้นต่ำ รู้จักหรือไม่รู้จัก รวย หรือจน ต้องได้รับการตรวจรักษาเท่าเทียมกัน". (ที่ได้พบเห็นเสมอ คือ แพทย์-พยาบาล หรือญาติของแพทย์/พยาบาล มักได้รับการตรวจรักษาที่น้อย หรือมากเกินไปเสมอ จึงมักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการตรวจรักษามากกว่าผู้ป่วยทั่วไป เพราะเป็น การตรวจรักษาที่ "เกร็ง" เกินกว่าเหตุ).
หลังเกิดเหตุ : ควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูโรงพยาบาลและบุคลากรหลังภาวะพิบัติ เพื่อดำเนินการปรับปรุงแผนรับมือภัยพิบัติคนสำคัญให้ดีขึ้น.
25. ภัยพิบัติอื่นๆ
ภัยพิบัติยังมีอีกหลายชนิด และคงจะไม่สามารถ กล่าวถึงได้ทั้งหมด แต่ตัวอย่างภัยพิบัติ 24 อย่างข้างต้นคงเพียงพอที่จะทำให้โรงพยาบาลต่างๆสามารถวางแผนรับมือภัยพิบัติที่พบบ่อยในชุมชนของตนได้.
ภัยพิบัติอื่นๆที่พบได้ เช่น
(1) พายุหิมะ (snow storms) และพายุฝนเยือกแข็ง หรือพายุน้ำแข็ง (freezing rain or ice storms) ที่ถล่มประเทศจีนในช่วงก่อนตรุษจีนปีนี้ ที่ทำให้บ้านเรือนถล่มหลายหมื่นหลังการจราจรทางบกและทางอากาศทุกชนิดเป็นอัมพาต มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 คน และมีผู้บาดเจ็บ/เจ็บป่วยจำนวนมาก และเกือบทำให้เกิดการจลาจลในประเทศจีน เพราะเป็นช่วงที่ผู้คนต้องการเดินทางกลับบ้านไปฉลองตรุษจีน และทำให้เกิดความเสียหายหลายแสนล้านบาท.
พายุหิมะ ไม่ใช่พายุลูกเห็บ (hail storms) ที่ตกลงมาเป็นก้อนน้ำแข็งเล็กบ้างใหญ่บ้าง (อาจใหญ่กว่าลูกป”งปอง) อาจปนมากับฝนหรือไม่ก็ได้ และเมื่อกระทบอะไรก็จะแตกและละลายเป็นน้ำไปส่วนสิ่งที่ถูกกระทบ เช่น หลังคา กระจก ศีรษะ พืชผักผลไม้ ก็จะแตกและเสียหายได้เช่นกัน.
พายุหิมะ ไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายจากแรงลม (ไม่ใช่วาตภัย) แต่ภัยเกิดจากความเย็นและน้ำแข็ง โดยเฉพาะพายุฝนเยือกแข็งที่ตกลงมาเป็นฝน (ที่มีอุณหภูมิเย็นจัด ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง) เมื่อฝนเหล่านี้ตกกระทบอะไรจะกลายเป็นน้ำแข็งเกาะติดสิ่งที่กระทบทันที เช่น กิ่งไม้ สายไฟ หลังคาบ้าน ถนน ทำให้กิ่งไม้/สายไฟ/หลังคา และอื่นๆ ทานน้ำหนักของน้ำแข็งที่สะสมหนาตัวขึ้นเรื่อยๆไม่ได้ และถล่มลงมา ถนน รางรถไฟ และอื่นๆที่คลุมด้วยน้ำแข็ง ก็ทำให้การจราจรหยุดชะงัก และเกิดอุบัติเหตุ จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก.
การวางแผนรับมือภัยพิบัติสำหรับโรงพยาบาลจึงเป็นการวางแผนรับมือภาวะอุบัติเหตุ ไฟฟ้าดับ น้ำประปาหยุดไหล การสื่อสารติดขัด และการขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค เพราะการขนส่งที่หยุดชะงัก เป็นต้น.
(2) หิมะถล่ม (avalanches) คือ ภาวะที่หิมะที่จับตัวกันอยู่ตามเขาสูง ไม่สามารถเกาะตัวอยู่ต่อไปได้จากน้ำหนักของมันเอง หรือจากแรงสั่นสะเทือนจากเสียงหรือสิ่งอื่น ทำให้มันร่วงหล่นลงมา และพาเอาหิมะตามทางที่มันร่วงหล่นลงมา สมทบเกาะกับส่วนที่ร่วงหล่นลงมา กลายเป็นก้อนหิมะมหึมาที่วิ่งลงมาตามไหล่เขาด้วยความเร็วสูง กระแทกและถมทับสิ่งต่างๆบนทางผ่านให้พังพินาศ เช่นเดียวกับภาวะแผ่นดินถล่ม/โคลนถล่ม แต่บวกด้วยความหนาวเย็นอย่างรุนแรง.
การวางแผนรับภัยพิบัติสำหรับโรงพยาบาล จึงเป็นการวางแผนรับภัยพิบัติคล้ายกับภาวะแผ่นดิน/โคลนถล่มนั่นเอง.
(3) เรือล่ม/ชนกัน/ระเบิด/ไฟไหม้ โดยเฉพาะขณะที่เดินทางอยู่กลางทะเล/มหาสมุทร/ แม่น้ำ จะทำให้เกิดการบาดเจ็บ/เสียชีวิต จากการจมน้ำ/ความเย็นของน้ำ/การกระแทก/ระเบิด/ไฟไหม้ ซึ่งหน่วยงานสำคัญในการช่วยผู้ประสบภัย คือ หน่วยกู้คน (หรือที่เรียกกันผิดๆว่า "หน่วยกู้ภัย") ที่จะออกไปนำผู้บาดเจ็บ/เจ็บป่วยจากเรือเหล่านั้นมาสู่หน่วย/สถานพยาบาลฉุกเฉิน บนฝั่งหรือบนเรือพยาบาลฉุกเฉิน.
การวางแผนรับภัยพิบัติสำหรับโรงพยาบาลในกรณีนี้คือ การวางแผนรับภัยพิบัติทั่วไป ร่วมกับระบบสื่อสารกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะได้ทราบเรื่องแต่เนิ่นๆ และเตรียมโรงพยาบาลเพื่อรับภัยพิบัติก่อนที่ผู้บาดเจ็บจะมาถึง.
(4) เครื่องบินตก/ระเบิด/ไฟไหม้ ทำให้มีผู้บาดเจ็บ/เสียชีวิต จากการกระแทก/ระเบิด/ไฟไหม้/สารพิษที่เกิดจากไฟไหม้หรือการระเบิด หน่วยกู้คนจะเป็นผู้ที่เข้าไปยังจุดเกิดเหตุ เพื่อนำผู้เจ็บป่วยส่งมายังหน่วยพยาบาลฉุกเฉิน ซึ่งจะนำส่งผู้เจ็บป่วยสู่โรงพยาบาลต่อไป.
โรงพยาบาลควรวางแผนรับภัยพิบัติในกรณี นี้เช่นเดียวกับภัยพิบัติจากอุบัติเหตุจราจรอื่นๆ.
(5) ระบบคอมพิวเตอร์/อิเล็กทรอนิกส์ล่ม แม้จะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บหรือการป่วยไข้ แต่ในปัจจุบัน อุปกรณ์ทางการแพทย์จำนวนมากใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์/คอมพิวเตอร์ ในการทำงาน รวมทั้งการใช้ระบบสื่อสารสนเทศแบบคอมพิวเตอร์ในการสั่งยา การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และอื่นๆ การก่อการร้ายโดยใช้ E-bomb (ดูเรื่องไฟฟ้าดับ ใน "ภัยพิบัติ" ในคลินิกฉบับเดือนมีนาคม 2551) หรือโดยการใช้ "ไวรัส" (virus) หรือ "หนอน" (worm) ในการขัดขวางการทำงานของคอมพิวเตอร์ต่างๆ ทำให้อุปกรณ์ต่างๆหยุดทำงาน หรือทำงานผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต หรือทำให้การสั่ง/การจ่ายยาผิดพลาด โดยไม่มีผู้ใดรู้ เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้.
โรงพยาบาลจึงควรมีระบบตรวจสอบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์/อิเล็กทรอนิกส์ เป็นประจำสม่ำเสมอ และป้องกันโดยมีระบบสำรองเตรียมไว้ และมีการประสานเครือข่ายกับหน่วยงานข่าวกรองและหน่วยงานอื่นๆ เพื่อทราบข่าวล่วงหน้าหรือทันทีที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น.
ภัยพิบัติต่างๆที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คงเพียงพอที่จะทำให้โรงพยาบาลต่างๆนำไปประยุกต์เพื่อวางแผนสู้ภัยพิบัติให้เหมาะกับวัฒนธรรมขององค์กรและท้องถิ่นที่โรงพยาบาลตั้งอยู่ได้.
"หลักสูตร การสู้ภัยพิบัติ"
หลังเกิดเหตุการณ์ระทึกโลกที่กลุ่มอัลกออิดะห์ถล่มสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2544 และพายุแคทลีนาถล่มกรุงนิวออร์ลีนส์ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2549 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ทำให้รัฐบาลและคนอเมริกันได้ตระหนักถึงจุดอ่อนในแผนสู้ภัยพิบัติของหน่วยงานของรัฐและเอกชนทั้งหมด จนเกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมหาศาล.
สมาคมแพทย์อเมริกัน (American Medical Association) จึงได้สร้าง "หลักสูตรการสู้ภัยพิบัติ" (Disaster Life Support Courses) ขึ้นใน พ.ศ. 2550.
เพื่อให้หน่วยงานทุกแห่งในสหรัฐอเมริกา (และคงต้องการให้เป็นเช่นนั้นในประเทศอื่นด้วย) ใช้คำศัพท์ต่างๆในความหมายเดียวกัน, ใช้แนวทางที่เหมือนกันหรือคล้ายกัน, มีเครือข่ายการประสานงานกันอย่าง เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ, มีการช่วยเหลือกันและกันอย่างทันท่วงที และทันการณ์, มีระบบการสั่งการและการบังคับบัญชาอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมในภาวะภัยพิบัติระดับต่างๆ, มีระบบการขนส่ง เคลื่อนย้าย และส่งกำลังบำรุงได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสมกับภาวะภัยพิบัติต่างๆ, มีระบบป้องกันและเตรียมระบบสำรองที่สามารถปฏิบัติงานได้ทันที เมื่อระบบปกติไม่สามารถทำงานได้ เป็นต้น.
อันที่จริง ภาวะภัยพิบัติใหญ่ๆ เช่น กรณีคลื่นยักษ์สึนามิที่ถล่มประเทศในแถบมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายแสนคน กรณีภัยพิบัติธรรมชาติและจากน้ำมือมนุษย์ (เช่น สงคราม) จะต้องการความช่วยเหลือจากภายนอก (จากประเทศอื่นๆ) อย่างแน่นอน เพราะประเทศที่ประสบภัยพิบัติเช่นนั้นย่อมไม่สามารถช่วยตนเองได้หรือช่วยได้ก็ไม่ดีหรือไม่ดีนัก.
การมีแนวทางหรือหลักสูตรที่จะทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจตรงกันในความหมายของภัยพิบัติต่างๆ และแนวทางต่างๆในการสู้ภัยพิบัติแต่ละชนิด รวมทั้งการสร้างเครือข่ายและระบบสื่อสารที่สามารถเตือนภัยและช่วยเหลือกันได้อย่างทันท่วงที เป็นต้น จึงเป็นสิ่งจำเป็น และทำให้การสู้ภัยพิบัติมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากขึ้น.
ในที่นี้จะยกตัวอย่างคำศัพท์และสิ่งที่อาจนำมาประยุกต์เพิ่มเติมสำหรับการสู้ภัยพิบัติจากหลักสูตรนี้ เช่น
1. อันตรายทุกชนิด (All-hazards) หมายถึง เหตุการณ์ธรรมชาติ และเหตุการณ์จากน้ำมือมนุษย์ทั้งหมดที่สามารถทำให้เกิดอุบัติภัยหมู่ที่มีการบาดเจ็บ/เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก (ดูตารางที่ 15).
2. การเตรียมการสู้อันตรายทุกชนิด (All-hazards Preparedness) หมายถึง การเตรียม การสมบูรณ์แบบ (comprehensive preparedness) ที่จะจัดการกับอุบัติภัยหมู่อันอาจจะเกิดขึ้นจากอันตรายทุกชนิด.
3. การเตรียมสู้ภัยพิบัติ (Disaster Preparedness) คือ ข้อ 2 ร่วมกับการทำให้สาธารณชนตระหนักและร่วมมือในการสู้ภัยพิบัติ โดยภัยพิบัติ หมายถึง ภาวะที่ความต้องการเกินกว่าความสามารถที่จะตอบสนอง (Disaster = Need > Resources).
4. หลักสูตรสู้ภัยพิบัติของสหรัฐอเมริกา (National Disaster Life Support หรือ NDLS courses) ซึ่งจัดโดยกรรมการ NDLSEC (National Disaster Life Support Educational Consortium) ประกอบด้วย
4.1 หลักสูตรการสู้ภัยพิบัติขั้นต้น (Basic Disaster Life Support, BDLS) ซึ่งเป็นการให้ความรู้แบบบรรยายในห้องเรียนหรือทางไกลผ่านดาวเทียม โดยอาจมีการจำลองสถานการณ์ให้เห็นในการบรรยายด้วย เมื่อผู้ผ่านหลักสูตรนี้ปฏิบัติได้ดี แล้วก็จะสามารถเรียนหลักสูตรต่อไปได้.
4.2 หลักสูตรการสู้ภัยพิบัติขั้นสูง (Advanced Disaster Life Support, ADLS) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ให้มีการฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จำลองที่เหมือนจริง สำหรับภัยพิบัติชนิดต่างๆรวมทั้งวิธีการสื่อสาร การใช้เทคโนโลยีและห้องปฏิบัติการที่จำเป็น เป็นต้น.
4.3 หลักสูตรแก่นสำหรับสู้ภัยพิบัติ (Core Disaster Life Support, CDLS) ซึ่งเน้นการเตรียมสู้อันตรายทุกชนิด (all-hazards preparedness) สำหรับบุคลากรสาธารณสุข ตั้งแต่ผู้ออกคนแรก (first responders) จนถึงแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ผู้ช่วยแพทย์ เจ้าหน้าที่แล็บ ตำรวจ และอื่นๆ เพื่อให้บุคคลเหล่านี้สามารถประสานและร่วมมือกันก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสู้ภัยพิบัติ โดยใช้ศัพท์ วิธีการ และจัดลำดับความสำคัญในการตอบสนองต่อภาวะภัยพิบัติเหมือนๆกันตามหลักสูตร BDLS และ ADLS.
5. อุบัติภัยหมู่ (Mass Casualty Incident, MCI) หมายถึง เหตุการณ์ที่มีคนเจ็บป่วย เสียชีวิต และ/หรือสูญหายเป็นจำนวนมาก จนสถานพยาบาลในท้องถิ่นนั้นไม่สามารถตอบสนองได้ (MCI = Healt-hcare Needs > Resources) จึงต้องมีเป้าหมายที่จะ "รักษาให้คนอยู่รอดได้มากที่สุดก่อนจะรักษาคนที่จะไม่รอด" (to do the greatest good for the greatest number of potential survivors) ซึ่งทั้งนี้ก็ยังแบ่งได้เป็น 4 ระดับ คือ
5.1 ระดับ ณ จุดเกิดเหตุ : ชุมชนและหน่วยพยาบาลฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล.
5.2 ระดับท้องถิ่น : สถานพยาบาล/โรงพยาบาลปฐมภูมิ.
5.3 ระดับจังหวัด : โรงพยาบาลทุติยภูมิ/ ตติยภูมิ.
5.4 ระดับชาติ : กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงอื่นๆที่เกี่ยวข้องทั้งหมด.
6. แบบสู้ภัยพิบัติ (DISASTER paradigm) ที่เหมือนกัน (ตารางที่ 16) จะทำให้การเตรียมการและ การตอบสนองอยู่ในแนวทางเดียวกัน ทำให้สะดวกต่อการประมวลเหตุการณ์ การประเมินผล และการประสานงานด้วย.
อย่างไรก็ตาม หลักสูตรดังกล่าวของสมาคมแพทย์อเมริกันก็ไม่ได้แตกต่างจากแนวทางการสู้ภัยพิบัติที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ตอนที่ 1 เพียงแต่ทำให้เป็นหลักสูตรการสอน 1 วันสำหรับ BDLS และหลักสูตรการฝึก 2 วันสำหรับ ADLS เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วสหรัฐอเมริกานั่นเอง.
สันต์ หัตถีรัตน์ พ.บ.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 6,136 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้