พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (พ.ร.บ. ปภ.) พ.ศ. 2550
ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 (60 วันหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2550) มีสาระสำคัญที่ย่อมาให้ตระหนัก เช่น
มาตรา 3 ยกเลิก พ.ร.บ.ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ.ป้องกัน และระงับอัคคีภัย พ.ศ. 2542
มาตรา 4 "สาธารณภัย" หมายความว่า อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง โรคระบาดในมนุษย์ โรคระบาดในสัตว์ การระบาดของศัตรูพืช ตลอดจนภัยอื่นๆ อันมีผลกระทบต่อสาธารณชน ไม่ว่าเกิดจากธรรมชาติ มีผู้ทำให้เกิดขึ้นอุบัติเหตุ หรือเหตุอื่นใดซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชน หรือความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน หรือของรัฐ และให้หมายความถึงภัยทางอากาศ และการก่อวินาศกรรมด้วย
"การก่อวินาศกรรม" หมายความว่า การกระทำใดๆอันเป็นการมุ่งทำลายทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ หรือสิ่งอันเป็นสาธารณูปโภค หรือการรบกวน ขัดขวางหน่วงเหนี่ยวระบบการปฏิบัติงานใดๆ ตลอดจนการประทุษร้ายต่อบุคคลอันเป็นการก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางการเมือง การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของรัฐ
"จังหวัด" ไม่หมายความรวมถึงกรุงเทพมหานคร
"อำเภอ" หมายความรวมถึงกิ่งอำเภอ แต่ไม่หมายความรวมถึงเขตในกรุงเทพมหานคร เป็นต้น
มาตรา 6 ให้มีคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ("กปภ.ช.") ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นรองฯ คนที่ 1 ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นรองฯ คนที่ 2 ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 5 คนเป็นกรรมการ มีอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
มาตรา 7 ให้คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายในการจัดทำและให้ความเห็นชอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ บูรณาการพัฒนาระบบการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สนับสนุนการปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วางระเบียบค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้
มาตรา 11 ให้กรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานกลางของรัฐในการดำเนินการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ โดยมีอำนาจหน้าที่ทำแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ เสนอคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ศึกษาวิจัยหามาตรการการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปฏิบัติการ ประสานงาน ให้การสนับสนุน และช่วยเหลือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้การสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ผู้ได้รับภยันตราย และผู้เสียหายจากสาธารณภัย แนะนำให้คำปรึกษา และอบรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ติดตามตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้น
มาตรา 13 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้บัญชาการ มีอำนาจควบคุมและกำกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทั่วราชอาณาจักรให้เป็นไปตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยมีอำนาจบังคับบัญชาและสั่งการผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ เจ้าพนักงาน และอาสาสมัครได้ทั่วราชอาณาจักร และให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นรองผู้บัญชาการ
มาตรา 14 ให้อธิบดีกรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นผู้อำนวยการกลาง มีหน้าที่การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทั่วราชอาณาจักร มีอำนาจควบคุมและกำกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ เจ้าพนักงาน และอาสาสมัครได้ทั่วราชอาณาจักร
มาตรา 15 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการจังหวัด รับผิดชอบการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในเขตจังหวัด มีอำนาจสั่งการหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัด
มาตรา 17 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานฯ รองผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย เป็นรองประธานฯ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกหรือผู้บังคับการจังหวัดทหารบก เป็นรองประธานฯ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นรองประธานฯ ผู้แทนหน่วยงานของรัฐ-องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์การสาธารณกุศล ตามจำนวนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นสมควร เป็นกรรมการ หัวหน้าสำนักงานการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด หรือผู้แทน กรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นกรรมการ และเลขานุการ
มาตรา 18 ให้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นรองผู้อำนวยการจังหวัด มีหน้าที่ช่วยเหลือผู้อำนวยการจังหวัด
มาตรา 19 ให้นายอำเภอเป็นผู้อำนวยการอำเภอ รับผิดชอบการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในเขตอำเภอของตน และมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้อำนวยการจังหวัด มีอำนาจสั่งการหน่วยงานของรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอ
มาตรา 20 ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในเขตท้องถิ่นของตน โดยผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรฯเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะผู้อำนวยการท้องถิ่น มีหน้าที่ช่วยผู้อำนวยการจังหวัดและผู้อำนวยการอำเภอ และให้ปลัดขององค์กรเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการท้องถิ่น
มาตรา 21 เมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดสาธารณภัย ให้ผู้อำนวยการท้องถิ่นเข้าป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยโดยเร็ว แจ้งผู้อำนวยการอำเภอและผู้อำนวยการจังหวัดทันที, สั่งข้าราชการพลเรือน เจ้าหน้าที่และพนักงานของรัฐและท้องถิ่นในพื้นที่ให้ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งในการป้องกันและบรรเทา สาธารณภัยได้, ใช้อาคาร สถานที่ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ และยานพาหนะของรัฐและเอกชนในพื้นที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้, สั่งห้ามเข้าหรือให้ออกจากพื้นที่อาคารหรือสถานที่ที่กำหนดได้ เป็นต้น
มาตรา 26 เมื่อมีกรณีที่เจ้าพนักงานจำเป็นต้องเข้าไปในอาคารหรือสถานที่ที่อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัยเพื่อการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้กระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารหรือสถานที่แล้ว เว้นแต่ไม่มีเจ้าของหรือผู้ครอบครองอยู่ในเวลานั้น หรือเมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของผู้อำนวยการก็ให้กระทำได้ แม้เจ้าของหรือผู้ครอบครองจะไม่ได้อนุญาต รวมทั้งการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินออกจากอาคารหรือสถานที่ดังกล่าว โดยเจ้าพนักงานไม่ต้องรับผิดชอบบรรดาความเสียหายอันอาจเกิดจากการกระทำดังกล่าว
มาตรา 32-38 เป็นการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในเขตกรุงเทพหมานคร โดยให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้อำนวยการกรุงเทพมหานคร รับผิดชอบการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในเขตกรุงเทพมหานคร ทำหน้าที่คล้ายผู้อำนวยการจังหวัดและให้ปลัดกรุงเทพหมานครเป็นรองผู้อำนวยการกรุงเทพมหานคร ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้อำนวยการกรุงเทพมหานคร
มาตรา 43 ให้ผู้ปฏิบัติการตามหน้าที่การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หากได้ปฏิบัติหน้าที่ไปพอสมควรแก่เหตุและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ให้ผู้กระทำนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดทั้งปวง แต่ทางราชการจะชดเชยความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้ที่ไม่ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัยนั้น
มาตรา 49-55 เป็นบทลงโทษแก่ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้อำนวยการหรือเข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม หรือแต่งเครื่องแบบ/เครื่องหมายของอาสาสมัครหรือขององค์การสาธารณกุศลโดยไม่มีสิทธิ เพื่อเข้าไปในพื้นที่หรือผู้ที่เรี่ยไรหรือหาประโยชน์โดยมิชอบ เป็นต้น
มาตรา 56 ให้จัดทำแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี (6พฤศจิกายน พ.ศ. 2552)
หมายเหตุ : 1. อ่านรายละเอียดของ พ.ร.บ ฉบับนี้ได้ใน www.disaster.go.th
2. จะเห็นได้ว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ไม่ได้กล่าวถึงโรงพยาบาลและบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาประชาชนที่ประสบสาธารณภัย และบรรเทาผลกระทบต่างๆหลังภาวะภัยพิบัติ
(ในสหรัฐอเมริกา แต่เดิมก็เป็นเช่นนี้ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ถล่ม Pentagon และ World Trade Center เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 แล้ว รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นสหรัฐอเมริกาจึงเห็นความจำเป็นที่ต้องให้โรงพยาบาลและบุคลากรสาธารณสุขได้เป็นส่วนสำคัญในการวางแผนและปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้วย)
พระราชบัญญั ติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551
พ.ร.บ. นี้ได้ถูกเร่งรัดผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550 (ก่อนวันเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550) และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2551 จึงมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2551โดยมีสาระสำคัญที่ย่อมาให้ตระหนักเช่น
มาตรา 3 "การแพทย์ฉุกเฉิน" หมายความว่า การปฏิบัติการฉุกเฉิน การศึกษา การฝึกอบรม การค้นคว้า และการวิจัยเกี่ยวกับการประเมิน การจัดการ การบำบัดรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน และการป้องกัน การเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นฉุกเฉิน
"ผู้ป่วยฉุกเฉิน" หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการป่วยกะทันหัน ซึ่งเป็นภยันตรายต่อการดำรงชีวิตหรือการทำงานของอวัยวะสำคัญ จำเป็นต้องได้รับการประเมิน การจัดการ และการบำบัดรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันการเสียชีวิตหรือการรุนแรงขึ้นของการบาดเจ็บหรืออาการป่วยนั้น.
"ปฏิบัติการฉุกเฉิน" หมายความว่า การปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉินนับแต่การรับรู้ถึงภาวการณ์เจ็บป่วยฉุกเฉินจนถึงการดำเนินการให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการบำบัดรักษาให้พ้นภาวะฉุกเฉิน ซึ่งรวมถึงการประเมิน การจัดการ การประสานงาน การควบคุมดูแล การสื่อสาร การลำเลียงหรือขนส่ง การตรวจวินิจฉัย และการบำบัดรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งนอกสถานพยาบาลและในสถานพยาบาล
"หน่วยปฏิบัติการ" หมายความว่า หน่วยงานหรือองค์กรที่ปฏิบัติการฉุกเฉิน
"ผู้ปฏิบัติการ" หมายความว่า บุคคลซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับการแพทย์ฉุกเฉินที่ "คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน" (กพฉ.) กำหนด
มาตรา 5 ให้มี "คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน" ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานฯ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทวงสาธารณสุข เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผู้แทนแพทยสภา 2 คน ผู้แทนสภาการพยาบาล 1 คน ผู้แทนสถานพยาบาลรัฐและเอกชนอย่างละ 1 คน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2 คน ผู้แทนองค์กรเอกชนด้านบริการการแพทย์ฉุกเฉิน 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คน เป็นกรรมการ และให้เลขาธิการ "สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ" (สพฉ.) เป็นกรรมการและเลขานุการ
มาตรา 11 "คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน" มีอำนาจหน้าที่กำหนดมาตรฐานและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระบบการแพทย์ฉุกเฉิน, เสนอแนะนโยบายและแนวทางด้านการแพทย์ฉุกเฉินต่อคณะรัฐมนตรี, กำหนดนโยบายการบริหาร ให้ความเห็นชอบและควบคุมดูแลการดำเนินงานและอนุมัติแผนการเงินของ "สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ" ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการรับรององค์กรและหลักสูตรการศึกษาหรือฝึกอบรมผู้ปฏิบัติการ, ให้ความเห็นชอบ การกำหนดค่าบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน เป็นต้น
มาตรา 14 ให้จัดตั้ง "สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ("สพฉ.") เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็น ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น โดยมีสถานะเป็นนิติบุคคล และอยู่ในกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
มาตรา 15 ให้ "สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ" จัดทำแผนหลัก มาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการปฏิบัติการฉุกเฉิน, จัดให้มีระบบปฏิบัติการฉุกเฉิน, ศึกษา ค้นคว้า วิจัย พัฒนา ฝึกอบรม ประสานงาน ติดตาม ประเมินผล และเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์ฉุกเฉิน, เรียกเก็บค่าบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินและการดำเนินกิจการของสถาบัน เป็นต้น
มาตรา 16 รายได้จากเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เงินบริจาค เงินที่ตกเป็นของ "สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ" ค่าบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินและการดำเนินกิจการของสถาบัน โดยรายได้ทั้งหมดไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน เป็นต้น
มาตรา 17 ทรัพย์สินของ "สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ" ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี บุคคลใดจะยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ กับ "สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ" ในเรื่องทรัพย์สินของ "สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ" มิได้
มาตรา 28 ให้หน่วยปฏิบัติการ สถานพยาบาล และผู้ปฏิบัติการ ดำเนินการ
(1) ตรวจคัดแยกระดับความฉุกเฉินและจัดให้ผู้ป่วยฉุกเฉิน ได้รับการปฏิบัติการฉุกเฉินตามลำดับความเร่งด่วนทางการแพทย์ฉุกเฉิน
(2) ให้การปฏิบัติการฉุกเฉินต่อผู้ป่วยจนเต็มขีดความสามารถของหน่วยปฏิบัติการหรือสถานพยาบาลนั้นก่อนการส่งต่อ เว้นแต่มีแพทย์ให้การรับรองว่าการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินจะเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันการเสียชีวิตหรือการรุนแรงขึ้นของการเจ็บป่วยของผู้ป่วยฉุกเฉินนั้น
(3) ไม่ให้นำสิทธิการประกัน การขึ้นทะเบียนของสถานพยาบาล หรือความสามารถในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยฉุกเฉินหรือเงื่อนไขใดๆ มาเป็นเหตุปฏิเสธผู้ป่วยฉุกเฉินให้ไม่ได้รับการปฏิบัติการฉุกเฉินอย่างทันท่วงที
มาตรา 32 หากผู้ปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการ หรือสถานพยาบาลใด ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อน ไข และมาตรฐานที่ "คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน" กำหนดให้ "คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน"
(1) ตักเตือนเป็นหนังสือให้ปฏิบัติ
(2) แจ้งเรื่องให้ผู้มีอำนาจตามกฎหมายพิจารณาลงโทษหน่วยปฏิบัติการ
(3) แจ้งเรื่องให้ผู้มีอำนาจตามกฎหมายพิจารณาดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ดำเนินการสถานพยาบาลของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ
(4) แจ้งเรื่องไปยังผู้มีอำนาจตามกฎหมายพิจารณาดำเนินการด้านจริยธรรมกับผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์และสาธารณสุข
มาตรา 37 ผู้ใดฝ่าฝืนประกาศที่ คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน กำหนดเกี่ยวกับประเภท ระดับอำนาจหน้าที่ ขอบเขต ความรับผิดชอบ หรือข้อจำกัดของผู้ปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการ และสถานพยาบาล ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินหนึ่งแสนบาท เป็นต้น
หมายเหตุ : 1. พ.ร.บ. นี้ มุ่งจะยกฐานะ "ศูนย์นเรนทร" ในกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็น "สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ" เพื่อรวบอำนาจผูกขาดการแพทย์ฉุกเฉินแบบ "องค์กรอิสระ" ที่สามารถจ่ายเงินจากภาษีอาการของประชาชนและค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินแบบ "ชงเองกินเอง" ได้เหมือนองค์กรอิสระหลายแห่ง
2. พ.ร.บ. นี้ ไม่มีบทลงโทษที่ชัดเจนและเป็น รูปธรรมสำหรับการแย่งชิงผู้บาดเจ็บของ "อาสาสมัคร" จริงและเทียมต่างๆ (ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ) และสำหรับการให้และการรับ "สินบน" ในการส่งผู้ป่วยด้วย
3. พ.ร.บ. นี้ ไม่ครอบคลุมถึง "สาธารณภัย" และ "ภัยพิบัติ" ที่ระบบการแพทย์ฉุกเฉินควรจะเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยโดยเฉพาะในด้านสุขภาพ
4. พ.ร.บ. นี้ อาจทำให้โรงพยาบาลจำนวนมากจำเป็นต้องปิด "บริการผู้ป่วยฉุกเฉิน" และรับรักษาเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่ฉุกเฉิน เพราะ พ.ร.บ. นี้ ไม่ได้กำหนดวิธีการชดเชยโรงพยาบาลที่ถูกบังคับให้รักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินจน "เต็ม" ขีดความสามารถของตน (ดังที่โรงพยาบาลหลายร้อยแห่งในสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องปิด "ห้องฉุกเฉิน" ของตน เพราะไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายนี้ได้)
5. พ.ร.บ. นี้ จะทำให้เกิดความขัดแย้งและแตกแยกเพิ่มขึ้นในระหว่างอาสาสมัครกู้ภัย/กู้ชีพต่างองค์กร ระหว่างอาสาสมัครกับโรงพยาบาลต่างๆ และระหว่างผู้ป่วยและญาติกับหน่วยปฏิบัติการรวมทั้งโรงพยาบาลและผู้ปฏิบัติการรวมทั้งแพทย์และพยาบาลด้วย โดยเฉพาะในภาวะภัยพิบัติ/สาธารณภัยที่มีความสับสนวุ่นวายและอารมณ์รุนแรงของผู้คนเป็นพื้นฐานอยู่
6. ดูบทความ "ผู้ป่วยฉุกเฉินจะแย่" ที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันที่ 29 กันยายน 2550 ที่หน้า 447.
คำถามเพื่อการประเมินตนเอง
ก. คำถามทั่วไป
1. โรงพยาบาลของฉันมีระเบียบการเรียกบุคลากรกลับเข้าปฏิบัติงานทันทีหรือไม่
2. โรงพยาบาลของฉันมีแผนรับมือกับภัยพิบัติที่มีการปรับให้ทันสมัยหรือไม่ หากมี
2.1 มีคณะกรรมการวางแผนรับภัยพิบัติที่ประชุมกันเป็นประจำ เพื่อทบทวนและปรับแผนให้ทันยุคทันเหตุหรือไม่
2.2 มีการร่วมมือกับหน่วยงานอื่นในระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด หรือระดับภูมิภาค หรือไม่
2.3 มีโครงสร้างการบังคับบัญชาและการสั่งการในภาวะภัยพิบัติหรือไม่
2.4 ผู้ที่จะต้องนำแผนไปใช้มีความคุ้นเคยกับแผนหรือไม่
2.5 โรงพยาบาลของฉันสามารถควบคุมการเข้า-ออก ไปยังส่วนต่างๆของอาคารหรือไม่
2.6 มีการจัดพื้นที่สำหรับสื่อหรือไม่
2.7 มีการฝึกอบรมและการฝึกซ้อมรับภัยพิบัติเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอหรือไม่
2.8 มีการสำรองเครื่องอุปโภคบริโภค ยา และเวชภัณฑ์ต่างๆอย่างเพียงพอสำหรับกรณีที่จัดหาไม่ได้ เป็นเวลาอย่างน้อย 4-5 วันหรือไม่
ข. คำถามเกี่ยวกับความพร้อมของโรงพยาบาลในการรับภัยพิบัติ
1. จำนวนผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยใน โดยเฉลี่ยต่อวัน
2. จำนวนแพทย์ พยาบาล และบุคลากร ที่ปฏิบัติงานในแต่ละวัน และความเพียงพอ
3. ในภาวะภัยพิบัติ จะสามารถเพิ่มจำนวนเตียงและบุคลากรได้หรือไม่ อย่างไร
3.1 เตียงสำหรับผู้ใหญ่ เพิ่มได้.....เตียง (เตียงผ้าใบ/นอนพื้น ฯลฯ)
3.2 เตียงสำหรับเด็ก เพิ่มได้.....เตียง
3.3 เตียง ICU/CCU (ผู้ใหญ่) เพิ่มได้.....เตียง
3.4 เตียง ICU (เด็ก/ทารก) เพิ่มได้.....เตียง
3.5 พื้นที่และเตียงในห้องฉุกเฉิน เพิ่มได้.....ตารางเมตร และ.....เตียง
3.6 จำนวนแพทย์.....คน พยาบาล.....คน บุคลากรอื่น.....คนที่ต้องเพิ่มเพื่อรองรับงานที่เพิ่มขึ้น จะได้มาอย่างไร
4. จำนวนเตียงที่ว่างในแต่ละวัน (จันทร์-อาทิตย์) โดยเฉลี่ย
5. สัดส่วนของบุคลากรในโรงพยาบาลที่รู้ว่าตนต้องทำอะไรในภาวะภัยพิบัติ
6. สัดส่วนของบุคลากรในโรงพยาบาลที่เคยซ้อมรับมือภัยพิบัติ
7. จำนวนครั้งของการซ้อมรับมือภัยพิบัติต่อปี ซ้อมครั้งสุดท้ายเมื่อ.....
8. การปรับปรุงแผนสู้ภัยพิบัติครั้งสุดท้ายเมื่อ.....
9. วิธีการประสานงานและขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นเป็นอย่างไร
10. เครือข่ายสถานพยาบาลโดยรอบเคยร่วมซ้อมแผนรับภัยพิบัติหรือไม่
11. ในภาวะภัยพิบัติรุนแรง โรงพยาบาลวางแผนช่วยเหลือพ่อแม่ลูกหลานของบุคลากรที่ต้องมาปฏิบัติงานในโรงพยาบาลอย่างไร
12. อาหาร น้ำดื่มน้ำใช้ ยา เวชภัณฑ์ ผ้า เครื่องนุ่งห่มสำหรับผู้ป่วย ฯลฯ มีสำรองเพียงพอสำหรับผู้ป่วยและบุคลากรที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ คงอยู่ได้กี่วัน และจะหาเพิ่มได้อย่างไร ถ้าถนนหนทางใช้การไม่ได้
13. แบบบันทึกสำหรับผู้ป่วย/ผู้เสียชีวิต ที่ไม่ทราบชื่อ และวิธีตรวจจำแนกทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อการประกาศหาญาติ
14. การดูแลบุคลากรของโรงพยาบาลที่ต้องทำงานหนักเป็นเวลานานๆ มีวิธีการอย่างไร
15. แผนจัดการและจัดหางานให้แก่บรรดา ผู้อาสาสมัครต่างๆ และการคัดกรองผู้อาสาสมัคร (รวมทั้งผู้ที่อ้างตนเป็นแพทย์ พยาบาล อาสาสมัครกู้ชีพ/กู้ภัย ฯลฯ)
16. ความพร้อมในการเผชิญภัยพิบัติสารเคมี/ชีวภาพ/กัมมันตภาพรังสี
17. บริการรักษาสุขภาพจิตในภาวะวิกฤต (Critical Incident Stress Management, CISM) ทั้งสำหรับบุคลากร ผู้ป่วยและญาติ มีวิธีการอย่างไร
18. การอพยพโยกย้ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลที่กำลังประสบเหตุ จะทำอย่างไรให้เกิดอันตราย/ความเสี่ยงน้อยที่สุด
19. แบบบันทึกต่างๆ เพื่อสามารถประเมินค่าใช้จ่าย ความสูญเสีย และอื่นๆ เพื่อนำมาปรับปรุงแผนสู้ภัยพิบัติในครั้งต่อไป มีการทำไว้ล่วงหน้าหรือไม่ และมีการฝึกซ้อมการใช้แบบบันทึกเหล่านี้หรือไม่
20. ใครเป็นผู้สั่งการสูงสุดและรองๆลงไปสำหรับงานสู้ภัยพิบัติในด้านต่างๆและเป็นที่ทราบทั่วกันในโรงพยาบาลหรือไม่ เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
1. Tintinalli JE, Kelen GD, Stapczynski JS (eds). Emergency medicine : a comprehensive study guide. 6th ed. New York : McGraw-Hill, 2004:1-50,909-1275.
2. Ciottone GR (ed). Disaster medicine. Philadelphia : Mosby, 2006:1-929.
3. American Medical Association (AMA). Core Disaster Life Support® (CDLSา) 2007. (® = copyright, ลิขสิทธิ์)
4. National Disaster Life Support Foundation (NDLSF). ADLS® (Advanced Disaster Life SupportTM), BDLS® (Basic Disaster Life SupportTM), DISASTER paradigmTM, MASS TriageTM, NDLSTM (National Disaster Life Support?), NDLSECTM (National Disaster Life Support Education ConsortiumTM) 2007. (TM = Trade Mark, เครื่องหมายการค้า)
5. สภาความมั่นคงแห่งชาติ (ไทย) ร่วมกับสถานทูตสหรัฐอเมริกา จัดการประชุมและฝึกอบรมเกี่ยวกับการเตรียมโรงพยาบาลเพื่อรับสาธารณภัยและการก่อการร้าย ที่โรงแรมสยามซิตี้ กรุงเทพมหานคร เมื่อ วันที่ 27-31 สิงหาคม 2550.
6. Joint Commission on Accreditation of Health care Organizations. Health Care at the Cross-roads : Strategies for Creating and Sustaining Community-wide Emergency Preparedness System ดูที่ http://www.jcaho.org/about+ us/public+policy+initiatives/emergency-preparedness.pdf
7. The Disaster Center. ดูที่ http://www.disastercenter. com
8. U.S.Center for Disease Control and Preven-tion. Radiation Emergencies. ดูที่ http://www. bt.cdc.gov/radiation
9. Waselenko J, MacVittie T, Blakely W, et al. Medical management of the acute radiation syndrome : recommendations of the Strategic National Stockpile Radiation Working Group. Ann Intern Med 2004;140:1037-51.
10. U.S. Center for Disease Control and Prevention. Mass Trauma Preparedness and Response. CDC Injury Center Website. ดูที่ http://www.cdc.gov//masstrauma/preparedness/predictor.htm.
11. Bravata MD, McDonald KM, Smith WM, et al. Systematic review : surveillance systems for early detection of bioterrorism-related diseases. Ann Intern Med 2004;140:910-22.
12. Einav S, Fridenburg Z, Weismann L, et al. Evacuation priorities in mass casualties terrorism related events : implication for con-tingency planning. Ann Surg 2004;239:304-10.
13. Pelez K, Aharonson-Daniel L, et al. Gunshot and explosion injuries : characteristics, out-comes, and implications for care of terror-related injuries in Israel. Ann Surg 2004; 239:311-8.
14. Arnold JL, Halpern P, Tsai MC, et al. Mass casualty terrorist bombings : a comparison of outcomes by bombing type. Ann Emerg Med 2004;43:263-73.
15. Kirschenbaum L, Keene A, ONeill P, et al. The experience at St. Vincents Hospital, Manhattan on September 11, 2001 : prepared-ness, response and lessons learned. Crit Care Med 2005; 33:548-52.
16. Malinoski D, Slater M, Mullins R. Crush injury and rhabdomyolysis. Crit Care Clin 2004; 20:171-92.
17. Nates JL. Combined external and internal hospital disaster : impact and response in a Houston trauma intensive care unit. Crit Care Med 2004;32:686-90.
18. Public Health Response to Biological and Chemical Weapons : WHO Guidance. ดูที่ http://www.who.int/csr/delibepidemics/biochemguide/en/.
19. Milsten AM, Seaman KG, Liu P, et al. Variables influencing medical usage rates, injury patterns, and levels of care for mass gatherings. Prehospital Disaster Med 2003; 18:334-46.
20. Frontline. Cyberwar! The warnings ? ดูที่ http://www.pbs.org/wgbh/pages/frontline/shows/cyberwar/warnings/.
สันต์ หัตถีรัตน์ พ.บ.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 2,596 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้