ท่ามกลางกระแสทุนนิยมที่โหมซัด ความเจริญและความรู้ของผู้คนเพิ่มมากขึ้น ความคาดหวังของประชาชนต่อบริการการแพทย์ย่อมเพิ่มตามเป็นธรรมดา รวมทั้งการกระจายข่าวสารผ่านหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต ยิ่งกระพือให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในการฟ้องร้องแพทย์มากขึ้น ในอีกส่วนหนึ่ง การแพทย์พาณิชย์ที่โรงพยาบาลเอกชนได้เข้าไปอยู่ในตลาดหุ้น ราคาค่ารักษาของเอกชนที่แพงขึ้นโดยไม่มีขีดจำกัด การแพทย์เพื่อความงามและรายได้ของแพทย์ ย่อมส่งผลลบต่อภาพลักษณ์ของแพทย์ไม่มากก็น้อย.
การปกป้อง โต้แย้ง โดยแพทย์หรือองค์กรแพทย์ด้วยกัน กลับไม่ได้แก้ปัญหา กลับยิ่งทำให้ความหวาดระแวงของผู้ป่วยต่อแพทย์ยิ่งมากขึ้น และเห็นว่าแพทย์เข้าข้างกันเอง. กรณีแพทย์หญิงที่ถูกศาลสั่งจำคุกข้อหาประมาทร้ายแรงขณะให้ยาชาเข้าไขสันหลัง จนผู้ป่วยเกิดอาการชาทั่วไขสันหลังและถึงแก่ความตายในที่สุด ทำให้แพทย์บางส่วนลดการผ่าตัดที่อาจมีความเสี่ยงแล้วส่งต่อมากขึ้น การเผชิญหน้ามาถึงจุดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้หรือเปล่า.
ทั้งปัญหางานหนัก ความซับซ้อนของระบบการแพทย์ที่บางครั้งผู้ป่วยเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ง่าย ทำให้ผู้ป่วยและแพทย์ต่างมีความทุกข์และกลายเป็นเหยื่อของระบบสุขภาพที่ป่วย ระบบที่ทำให้มี 2 นคราระบบการแพทย์ไทย แต่อยู่ในระบบกฎหมายเดียวกัน ระบบหนึ่งเน้น หรูหรา ค่าตอบแทนแพทย์สูง ใช้ทรัพยากรไม่จำกัด อีกระบบหนึ่ง งานหนัก ค่าตอบแทนต่ำ ขาดแคลนคนและอุปกรณ์ แต่ในสังคมเดียวกัน มาตรฐานกฎหมายเดียวกัน การสื่อสารไร้พรมแดน ย่อมทำให้ความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.
แต่มองอีกมุมหนึ่ง อาจจะเป็นโอกาสอันดีที่ความขัดแย้งได้กลับมาอยู่ตรงจุดกลาง เมื่อสวิงความกดดันไปทั้ง 2 ข้าง ย่อมทำให้เห็นความทุกข์ทั้ง 2 ฝ่าย อันจะส่งผลให้เกิดความเข้าใจ และหาแนวทางร่วมกัน. แพทย์เองเป็นวิชาชีพที่สังคมคาดหวังสูง การตรวจสอบก็ย่อมรุนแรงเป็นธรรมดา การเข้าใจถึงความเป็นธรรมดาโลกนั้น ย่อมทำให้แพทย์ลดความรู้สึกเป็นศัตรูหรือเกลียดชังผู้ป่วยได้ แต่แปลงเป็นความเข้าใจและพร้อมร่วมกันหาทางออกที่ดีสำหรับสังคมไทย.
ในฐานะแพทย์ซึ่งเรียนรู้ที่จะเข้าใจภาวะจิตใจของผู้ป่วยหรือญาติที่เกิดความสูญเสีย ย่อมทราบดีว่า การปรับตัวต่อการสูญเสียนั้นมี 5 ขั้นตอน ซึ่งทั้งแพทย์และผู้ป่วยก็จะเข้าสู่ขั้นตอนนี้ไม่แตกต่างกัน คือ
1. ปฏิเสธ โดยผู้ป่วยหรือญาติอาจจะโทษตัวเอง หรือโทษผู้อื่น ถ้าโทษตนเองว่ามาช้า หรือเป็นเวรกรรม แพทย์ก็คงไม่ลำบากใจ แต่ถ้าโทษแพทย์ก่อนการตั้งรับของแพทย์ต่อภาวะนี้ก็ย่อมต้องเรียนรู้และเข้าใจ มากกว่าจะปฏิเสธ และขัดแย้งกลับไป เพราะจริงๆแล้วในทางกลับกัน เมื่อผู้ป่วยเสียชีวิต แพทย์ก็ย่อมพยายามปฏิเสธเช่นกัน ทั้งที่รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร.
2. โกรธ เมื่อผู้ป่วยและญาติเข้าสู่ภาวะโทษผู้อื่น ความโกรธก็จะประดังไปที่แพทย์ด้วยการยกเหตุต่างๆในช่วงที่ผ่านมา เช่น แพทย์มาช้า ตัดสินใจช้า ไม่ส่งแล็บบางอย่าง ส่งต่อช้า เป็นต้น. แพทย์เองเมื่อถูกกล่าวโทษก็ย่อมโกรธ และตอบโต้กลับไป หรือหลีกหนีเสีย. กรณีเช่นนี้อาจนำไปสู้การฟ้องร้อง เช่น ฟ้องผู้อำนวยการ นายอำเภอ หรือผู้ว่าราชการจังหวัด แพทยสภาหรือกระทรวงสาธารณสุข ทำให้แพทย์รู้สึกเสียหาย เสียหน้า ความโกรธก็ยิ่งทับถม กลายเป็นความเกลียด และเผชิญหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แบบให้รู้แพ้ รู้ชนะกันไปเลย.
3. ต่อรอง เมื่อต่างฝ่ายต่างประเคนความโกรธให้แก่กัน จนถึงจุดหนึ่งก็จะเริ่มเย็นลง และรู้ว่าถึงโกรธ เกลียดกันเท่าใด ชีวิต หรืออวัยวะก็ไม่สามารถกลับคืนมาได้ ทำให้อาจจะเริ่มมีการเจรจาต่อรองกันบ้าง อาจจะอยากให้ขอโทษ แสดงความเสียใจ ไปร่วมงานศพ จนถึงขอเงินชดเชยความเสียหาย เช่นผู้ตายเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว เมื่อเสียชีวิตไปครอบครัวย่อมเหมือนกับขาดเสาหลัก หรือผู้นำครอบครัวเกิดความพิการไม่สามารถหารายได้ได้ การชดเชยย่อมเป็นสิ่งที่ฝ่ายผู้ป่วยและญาติเห็นสมควร แต่ในขณะที่แพทย์เองรู้สึกว่าเงินเดือนก็นิดเดียว ทำงานเพื่ออุดมการณ์ให้ราชการแล้ว เมื่อเสียหาย ทำไมไม่มีใครมารับผิดชอบดูแล ต้องให้จ่ายเงินชดเชยเอง ซึ่งถ้ากรณีเสียชีวิต การเรียกร้องอาจจะสูงถึง 6-7 แสนบาท โดยแพทย์ที่จบใหม่ย่อมไม่มีปัญญาจ่ายให้อย่างแน่นอน ดังนั้นแพทย์ซึ่งอาจจะพร้อมขอโทษ ร่วมงานศพ แต่ไม่พร้อมที่จะจ่ายเงิน เมื่อมีการยื่นข้อเสนอนี้ แพทย์จึงไม่อยากเจรจา และใช้วิธีหลบหน้าแทน ซึ่งกลับทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มบานปลายได้ง่าย.
4. ซึมเศร้า เมื่อคนที่รักสูญเสีย ญาตินึกทีไร ก็คงเศร้า และคิดว่าสิ่งเดียวที่ทำได้เพื่อให้ลืมความเศร้าคือการเรียกร้องการชดเชย แพทย์ก็เศร้าเพราะไม่ได้เจตนาทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต และทำให้เกิดการเสียชื่อเสียงของแพทย์ ความเศร้านี้จะกินลึกนานหรือไม่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของอารมณ์ของแพทย์คนนั้นๆ บางคนอาจไม่กล้าทำหัตถการนั้นไปอีกนาน.
5. ยอมรับ เมื่อได้ผ่านช่วงเวลาต่างๆแห่งการปรับตัว ทั้ง 4 อย่างแล้ว ย่อมเป็นเวลาแห่งการยอมรับ บางคนก็พยายามลืม และอโหสิกรรมให้กัน ในช่วงนี้การอธิบายด้วยบุคคลที่น่าเชื่อถือในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งใน 4 ขั้นตอนข้างต้น ย่อมนำไปสู่การยอมรับในข้อ 5 ได้เร็วขึ้นไปเท่านั้น.
การที่แพทย์ได้เข้าใจขั้นตอนการปรับตัวทั้งของผู้ป่วยหรือญาติ และของตนเอง ย่อมทำให้รู้วิธีการแก้ไขปัญหาและยอมรับในความเสียใจ อารมณ์โกรธ ของผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ให้แพทย์ลองสมมติว่าตัวเรามีญาติสนิทเช่น พ่อ แม่ หรือลูก ที่เข้ารับการผ่าตัดอะไรก็ตามที่ไม่รุนแรง และคาดหมายได้ว่าจะได้พบหน้ากันอีก แต่แล้วกลับเกิดเหตุไม่คาดหมายไม่อาจได้พบกับญาติคนนั้นได้อีก โดยอาจจะรู้หรือไม่รู้ว่าแพทย์ไม่ผิด หรือทั้งที่รู้ว่าเหตุนั้นเป็นเหตุสุดวิสัยทางการแพทย์ก็ตาม แต่ปฏิกิริยาแรกก็ยอมต้องเสียใจ โกรธ หรืออาจจะหาทางโทษใคร คนใดคนหนึ่งเพื่อบรรเทาเบาบางความทุกข์ที่เกาะกินใจขณะนั้น แพทย์ควรพยายามเข้าใจสถานการณ์ และพยายามเยียวยาจิตใจญาติของผู้ป่วย โดยแสดงความเสียใจ อธิบายให้เข้าใจถึงที่มาของเหตุสุดวิสัยนั้น และพร้อมรองรับอารมณ์โกรธที่ญาติอาจจะส่งผ่านมาได้ รวมทั้งหาแนวทางในการช่วยเหลือญาติ ผู้ป่วยเช่นแนะนำให้ไปรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น หรือถ้าในอนาคตจะมีกองทุนชดเชยความเสียหายจากการแพทย์ ก็ควรจะแนะนำให้ไปรับเงินชดเชยนั้น โดยไม่หนีหน้าไปเพราะรู้สึกผิด หรือกลัวว่าญาติจะเรียกร้องค่าชดเชยจำนวนมากที่เราอาจจะให้ไม่ได้ การแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดจากความสูญเสีย สรุปอย่างง่ายๆว่า "รับรู้ เข้าใจ สื่อสาร สมานฉันท์" น่าจะส่งผลให้การแก้ปัญหาเป็นไปได้ง่ายขึ้น และ จากกันด้วยดี ไม่ใช่เพียงเป็นการให้เงินเพื่อให้ปิดคดี หรือต่อสู้คดีทางศาล แต่ความไม่เข้าใจในความสูญเสีย นั้นยังติดอยู่ในใจของญาติตลอดชีวิตของเขา.
แม้ว่าการแก้ปัญหาเบื้องต้นเมื่อเกิดความสูญเสียจะสำคัญ แต่การป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งน่าจะสำคัญไม่น้อยกว่ากัน อาศัยคำสอนจากอาจารย์แพทย์ผู้ใหญ่ ผมมีคำแนะนำบางประการสำหรับการป้องกันปัญหาความขัดแย้งจากการรักษาพยาบาล ดังนี้
1. การสื่อสารอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ผมเคยได้รับคำสอนจากนายแพทย์บุญยงค์ วงค์รักมิตร อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่านว่า ถ้าหมอกำลังปั้มหัวใจคนไข้อยู่นั้น ไม่ควรไล่ให้ญาติออกไปแล้วปิดประตูห้อง หรือปิดม่าน เพราะเมื่อคนไข้ตายแล้วหมอออกมาบอกญาติว่า หมอทำเต็มที่แต่คนไข้เสียชีวิตแล้ว ญาติไม่ได้รับรู้ว่าหมอทำอะไร และเป็นการสื่อสารทีเดียวว่าตายแล้ว ยังทำใจรับไม่ได้ ญาติอาจจะเป็นลมไป หรือโกรธอย่างมากก็ได้. แต่ถ้าขณะปั้มหัวใจ ญาติได้เห็นหมอและพยาบาลทุกคน กระวีกระวาดให้ยา ช่วยกันใส่ท่อช่วยหายใจ และขณะเดียวกันก็ได้อธิบายว่าขณะนี้คนไข้เกิดอาการไม่หายใจ จากอะไร หมอกำลังช่วยอยู่ สักพักหนึ่งเมื่อแพทย์รู้ว่าหัวใจไม่เต้นมา 20 นาทีแล้ว โอกาสที่จะรอดคงมีไม่มาก ก็อาจให้คนอื่นปั้มหัวใจแทนไปก่อน พร้อมบอกญาติว่าคงโอกาสน้อย แต่จะพยายามช่วยต่ออีก 20 นาที ถ้าช่วยหัวใจไม่เต้นก็คงเป็นสุดวิสัยที่จะช่วยได้แล้ว ญาติอาจจะร้องไห้ แต่ก็ยังรู้สึกมีความหวังอยู่บ้าง. เมื่อผ่านไปอีกระยะหนึ่งถ้าหัวใจยังไม่เต้น แพทย์จึงจะอธิบายแก่ญาติทุกคนที่มารออยู่นั้นว่า นาน 40 นาที หรือ 1 ชั่วโมงแล้ว หัวใจยังไม่เต้น ก็คงจะยากที่จะเต้นขึ้นมาอีก และถึงเต้นขึ้นมาอีก สมองที่ขาดเลือดนานขนาดนี้ก็คงจะไม่สามารถทำงานได้แล้ว พร้อมทั้งให้ญาติทุกคนได้กอดศพของผู้ป่วย ล่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย มิใช่ให้ญาติออกไปแล้วเก็บศพไว้เพื่อรอฉีดยาฟอร์มาลีน หรือรอยืนยันการตาย ย่อมทำให้ญาติเข้าใจและยอมรับต่อการสูญเสียเป็นลำดับได้. กรณีนี้อาจจะใช้ได้กับการรักษา การให้ยาและผ่าตัดอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงด้วย โดยส่วนหนึ่งควรให้ญาติได้รับรู้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีส่วนในการตัดสินใจดังในข้อต่อไป.
2. ให้ญาติมีส่วนในการตัดสินใจ การรักษา การให้ยา และการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูง ควรให้ญาติมีส่วนรับรู้ตั้งแต่แรก และร่วมตัดสินใจ โดยให้ข้อมูลความเสี่ยงที่รุนแรงที่สุดด้วย แต่ไม่ควรเป็นเพื่อการขู่ หรือปัดให้ไปรักษาที่อื่น แต่เป็นด้วยความปรารถนาดี และอธิบายทั้งข้อดี ข้อเสียของการรักษานั้น โดยไม่นำอคติที่อาจจะเคยเกิดกับแพทย์มาเกี่ยวข้อง เช่นแพทย์เคยถูกฟ้องร้องเพราะผ่าตัดแล้วคนไข้เสียชีวิตด้วยเหตุสุดวิสัย และนำความรู้สึกที่โกรธ ญาติคนไข้ที่ฟ้องร้อง มาผสมกับการให้ข้อมูลสำหรับคนไข้ที่กำลังจะผ่าตัดรายต่อไป ถ้าเป็นเช่นนั้น อาจทำให้คนไข้หวาดกลัวจนเกินเหตุ และอาจจะปฏิเสธการผ่าตัดซึ่งเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุดก็ได้.
ในขณะที่เราสื่อสารกับคนไข้นั้น คนไข้ และญาติ ย่อมสัมผัสได้ด้วยใจว่าสิ่งที่เรากำลังพูด กำลังทำนั้น เป็นเพื่อความปรารถนาดีอย่างที่สุดกับคนไข้หรือไม่ และเมื่อได้ทำอย่างนั้นแล้ว คนไข้ และญาติย่อมเข้าใจ และยอมรับในสถานการณ์ต่อไปอันอาจจะเกิดเหตุ สุดวิสัยได้.
3. พยายามไม่ให้เกิดอคติด้านลบกับการขอทำการตรวจเพิ่มเติม หรือขอนอนโรงพยาบาล มีหลายครั้งที่ผู้ป่วยไม่มีความรู้ในเรื่องโรคนั้นๆ ก็มักจะ ขอเอกซเรย์ส่วนต่างๆ ทำอัลตราซาวนด์หรือขอทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง แพทย์จึงต้องพยายามไม่ให้เกิดอคติทั้ง 2 ทางคือทั้งส่งตรวจจำนวนมาก เพื่อป้องกันตัวเอง แต่อาจทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจต่อผู้ป่วย หรือประเทศได้ หรือไม่ส่งตรวจเพราะรู้สึกว่าผู้ป่วยเรื่องมาก จึงควรที่จะพิจารณาให้ดีว่า ควรทำการตรวจนั้นจริงหรือไม่ ถ้าเห็นว่าอาจจะมีทางเป็น ไปได้บ้างในโรคที่ต้องตรวจสิ่งที่ผู้ป่วยร้องขอนั้นก็ควรทำ ถ้าการตรวจนั้นไม่แพงมากนัก. ในเวชปฏิบัติของผมเอง เคยพบว่าผู้ป่วยที่ปวดหลังมาหลายครั้งแล้วไม่หาย ทั้งที่ประวัติและการตรวจปัสสาวะไม่เหมือนโรคนิ่วในไต แต่ผู้ป่วยขอเอกซเรย์ ผมได้พยายามอธิบายในครั้งแรก และนัดมาตรวจใหม่ ต่อมาผู้ป่วยอาการไม่หาย ผมได้ส่งเอกซเรย์ กลับพบโรคนิ่วในไตที่อุดตันจนเต็มไตจริงๆ หรือบางครั้งก็พบว่าเอกซเรย์ปอดเป็นแบบวัณโรคทั้งที่อาการไม่ค่อยเหมือนนัก ดังนั้นจึงไม่ควรจะแน่ใจกับผลการวินิจฉัยของเราร้อยเปอร์เซ็นต์. ถ้ากรณีที่โรคไม่รุนแรงอาจจะใช้วิธีนัดซ้ำ และอธิบายผู้ป่วยที่ร้องขอว่าจะตรวจให้ครั้งหน้าถ้าไม่หาย พร้อมทั้งเขียนรายละเอียดไว้ด้วยว่าเรามีแผนจะรักษาอย่างไร เพราะบางครั้งผู้ป่วยมาแล้วไม่พบเรา พบแพทย์ท่านอื่นจะได้รับการตรวจวินิจฉัยนั้นด้วย.
กรณีขอนอนโรงพยาบาล ถ้าเตียงไม่เต็ม ก็ควรจะพิจารณาดูว่ามีเหตุผลบ้างหรือไม่ แต่ถ้าเตียงเต็ม อาจจะแนะนำอาการที่ควรระวัง พร้อมทั้งนัดมาติดตาม การรักษาใน 2-3 วันถัดไป.
4. การสร้างศรัทธาในชุมชน และความเข้าใจของแพทย์ต่อชีวิตของผู้คนในชุมชน
การที่แพทย์เข้าไปทำงานในชุมชน ทั้งไปเยี่ยมบ้านในช่วงบ่าย หรือออกไปให้ความรู้เรื่องโรคใน ตอนกลางคืน จะช่วยให้แพทย์เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ ความทุกข์ของผู้ป่วยมากขึ้น และทำให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงความห่วงใยของแพทย์มากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความศรัทธา ความปรารถนาดี อันจะลดความขัดแย้งได้. ผมเองเคยจัดรายการวิทยุชุมชนช่วงบ่าย 3 โมง โดยนำปัญหาต่างๆที่เกิดในโรงพยาบาล ทั้งปัญหาขาดแพทย์ ปัญหาโรคต่างๆที่ป้องกันได้ เช่นโรคจากอุบัติเหตุ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา มาเล่าให้ฟัง รวมทั้งเล่ากรณีที่มีความสูญเสียอันเป็นเหตุสุดวิสัย อาจช่วยแก้ปัญหาได้ส่วนหนึ่ง หรือในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน การเข้าร่วมประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และกำนันผู้ใหญ่บ้านทุกเดือน ย่อมทำให้ผู้นำชุมชนเข้าใจปัญหาความขาดแคลนแพทย์ และรับรู้ถึงความปรารถนาดีของเรา ซึ่งจะช่วยให้การเจรจาเมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยทางการแพทย์เป็นไปด้วยดี เพราะญาติผู้ป่วยย่อมเชื่อถือความเห็นของผู้นำชุมชน มากกว่าแพทย์ซึ่งเข้าไปอยู่เพียงชั่วคราว.
แต่ถ้าแพทย์อยู่นานพอ จนมีชื่อเสียงในชุมชน และเป็นที่รักของคนในชุมชนแล้ว เมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยทางการแพทย์ ชุมชน และญาติผู้ป่วยย่อมยอมรับได้ดีกว่า แพทย์ที่เขาไม่รู้จักมาก่อนเลย.
5. หมั่นศึกษาหาความรู้ และศึกษาหลุมพรางทางการแพทย์ (pitfall) ที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาล เช่นการทบทวนความเสี่ยงที่เคยเกิดขึ้นในโรงพยาบาล หรือเกิดขึ้นในสังคมไทย โดยผ่านการกระบวนการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล (HA) หรือพัฒนาไปจนถึงความเสี่ยงที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น ย่อมเป็นการป้องกันที่ฐานรากไม่ให้มีความเสี่ยงที่ไม่พึงประสงค์ หรือเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นได้.
มีหลายคนที่มักตั้งคำถามว่าทำไมหมอคนอื่นผ่าตัดมีคนเสียชีวิต ก็ไม่มีการฟ้อง หรือญาติคนไข้บางคน ทั้งที่แม่เสียชีวิตจากเหตุสุดวิสัย กลับยอมรับได้ ผมลองนั่งคิดดูแล้วได้ตารางหนึ่งขึ้นมาคือ (ตารางที่ 1)
ในทางระบาดวิทยา ทั้งแพทย์และผู้ป่วยย่อมอยู่ในโค้งปกติ ที่มีทั้งแพทย์ที่ดีทั้งอารมณ์ EQ การดูแลรักษาเยียวยา (easy doctor) จนถึงแพทย์ที่มีปัญหาด้านอารมณ์ อาจจะเนื่องจากเป็นนิสัยส่วนตัว ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แม้ว่าจะพยายามแล้ว พูดหวานๆ ไม่ค่อยเป็น ไม่อยากมาเป็นแพทย์ตั้งแต่ต้น ขาดความรู้ หรือเหนื่อยเกินไป (difficult doctor). ผู้ป่วยก็ย่อมมีตั้งแต่ผู้ป่วยที่เข้าใจและยอมรับได้ยาก ต้องการคนรับผิด ต้องการเงินชดเชย อยากให้อีกฝ่ายต้องมีความทุกข์ด้วย (difficult patient) จนถึงผู้ป่วยที่ยอมรับได้ง่าย คิดถึงว่าเป็นเวรกรรม เข้าใจธรรมชาติของชีวิต (easy patient) ดังนั้นในเหตุการณ์ต่างๆเราอาจจะต้องยอมรับว่าในฐานะแพทย์เราอาจจะพบคนได้หลายแบบ เราคงต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับคนในทุกประเภทรวมทั้ง difficult patient ด้วย. ในขณะเดียวกันนั้น เราต้องฝึกฝนและพัฒนาตัวเองให้มีการดูแลทางอารมณ์ของเรา และ EQ ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ยอมรับว่าในขณะที่เหนื่อย มีเวลาตรวจแค่ 3 นาที อาจจะทำให้เราไม่สามารถสื่อสารและดูแลอารมณ์ของ เราและผู้ป่วยได้เต็มที่ แต่เมื่อเราได้พยายามแล้ว สถานการณ์ต่างๆย่อมดีขึ้นได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้แปลว่าแพทย์ที่มีความขัดแย้งกับผู้ป่วย เป็นแพทย์/ผู้ป่วยที่ไม่ดี หรือด้อยความสามารถควบคุมอารมณ์ แต่การเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งกันและกัน ย่อมทำให้สถานการณ์แห่งการสมานฉันท์เกิดขึ้นได้.
ผมเคยได้ยินแพทย์ท่านหนึ่งเล่าว่า มีแพทย์ จบใหม่บางคนที่ดุว่าผู้ป่วยจนผู้ป่วยร้องไห้เดินออกไป แต่หลังจากนั้น แพทย์คนนั้นก็ร้องไห้ และมองผู้ป่วยที่เดินจากไปผ่านหน้าต่าง โดยไม่เข้าใจตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ หลายครั้งความปรารถนาดีของแพทย์ได้กลายมาเป็นความขัดแย้ง เพราะแพทย์หลายคนไม่สามารถสื่อสารความปรารถนาดีของตนออกมาได้อย่างที่อยากให้เป็น.
การที่แพทย์ได้กลับมามองย้อนดูตัวเรา ว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้วหรือยัง อาจจะเป็นโอกาสอันดีในการได้ทบทวน และพัฒนาบุคลิกภาพแห่งชีวิตของเราให้ดียิ่งๆขึ้น ดังคำพูดที่ว่า "ขณะที่แพทย์ได้เยียวยาผู้ป่วย ในขณะเดียวกัน ผู้ป่วยก็ได้เยียวยาแพทย์ด้วย เยียวยาแพทย์ให้ค้นพบตัวเอง และพัฒนาไปสู่การเป็นคนที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และนั่นมิใช่เป็นเป้าหมายสูงสุดในการที่มาเป็นแพทย์หรอกหรือ".
อย่างไรก็ดี การแก้ปัญหาคงไม่ใช่เริ่มที่ตัวแพทย์เองเท่านั้น ในระดับประเทศการแก้ไขวิกฤติความขัดแย้งระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยมีได้หลายขั้นดังภาพที่ 1 แต่สิ่งแรกควรเริ่มด้วยการมีกองทุนชดเชยความเสียหายทางการแพทย์ ที่เกิดขึ้นทั้งจากเหตุสุดวิสัยและไม่สุดวิสัยก่อน เพื่อเยียวยาความทุกข์ร้อนของผู้ที่เสียเสาหลักในครอบครัวไป จริงที่ว่าแพทย์ไม่ผิด แต่ผู้ป่วย และญาติก็ไม่ผิดเช่นกัน ดังนั้นการเยียวยาด้วยกองทุนชดเชยให้ผู้เสียหายรู้สึกว่าเขาได้รับอะไรทดแทนไปบ้าง แม้จะไม่สามารถชดเชยกับชีวิตที่ไม่สามารถตีราคาได้ แต่ก็จะบรรเทาความทุกข์ในจิตใจไปได้ไม่มากก็น้อย.
เมื่อมีกองทุนชดเชยแล้ว ความสัมพันธ์กับผู้ป่วย และแพทย์ก็จะดีขึ้น เพราะแพทย์จะไม่ต้องหนีปัญหาอีกต่อไป สามารถแนะนำให้ ผู้ป่วยที่แพทย์เห็นว่าควรได้รับการชดเชย เช่นผู้ป่วยแพ้ยา ให้เลือดผิดหมู่ ผลแล็บผิดพลาด ไปรับเงินชดเชยได้ พร้อมทั้งกล่าวแสดงความเสียใจ หารถไปส่ง ให้ดูแลอื่นๆ ย่อมจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกถึงความห่วงใยของแพทย์อันจะนำไปสู่ความรู้สึกที่ดี และย่อมมีโอกาสเกิดคดีฟ้องร้องทางอาญาน้อยลงไปด้วย.
ในอีกทางหนึ่ง ปัจจุบันมีการนำคดีต่างๆมาเรียนรู้กันในระหว่างแพทย์และนักศึกษาแพทย์น้อย เพราะเกรงว่าถ้าเขียนเป็นเอกสารตำราแล้ว ผู้ป่วยหรือญาติจะสามารถนำความเห็นของอาจารย์แพทย์ในเรื่องนั้นๆ ไปประกอบการฟ้องร้องได้ แต่ถ้ามีกองทุนชดเชยดังกล่าวและกำหนดให้เมื่อรับค่าชดเชยแล้ว ผู้เสียหายไม่สามารถไปฟ้องร้องต่อได้ ย่อมทำให้สามารถนำความรู้ต่างๆนั้นมาเรียนรู้และป้องกันการเกิดปัญหานั้นๆอีกในอนาคต.
เมื่อได้ทำทุกอย่างแล้ว ทั้งการชดเชย การพัฒนาคุณภาพบริการ ผู้ป่วยและผู้เสียหายทางการแพทย์ย่อมพอใจ เมื่อนั้นถ้าจะมีการผลักดันให้เกิดกฎหมายการไม่ต้องรับผิดทางอาญาของแพทย์ในกรณีที่แพทย์ไม่ได้กระทำการประมาทอย่างร้ายแรงแล้ว ก็ย่อมได้รับความเห็นใจจากสังคม หรืออาจจะไม่มีความจำเป็น ต้องมีกฎหมายแบบนี้อีกเลย ถ้าแพทย์และผู้ป่วยสามารถเยียวยาทั้งทางกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ซึ่งกันและกันแล้ว สังคมแห่งความปรองดองก็จะเกิดขึ้น โดยกฎหมายไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป มีเพียงกฎแห่งจิตใจของการอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคมก็เพียงพอ.
ขอยกคำกล่าวของอาจารย์ประเวศ วะสีที่ว่า "ถ้าแพทย์สามารถเชื่อมโยงชีวิตเขากับฐานวัฒนธรรมชุมชนได้ ชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนมุมมอง..... รักชาวบ้าน.....มีความสุข การบริการในชนบทด้วยหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์......เป็นความงามที่ประดับแผ่นดิน".
พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ พ.บ.
เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท และอดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท
- อ่าน 6,322 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้