Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » น้ำยาฆ่าเชื้อ (Antiseptic)
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

น้ำยาฆ่าเชื้อ (Antiseptic)

โพสโดย Anonymous เมื่อ 1 มิถุนายน 2551 00:00

ศตวรรษที่ 13 ศัลยแพทย์ชื่อ Theodoric Burgognoni (1205-1298) แนะนำให้ล้างแผลโดย จุ่มลงไปในไวน์จะทำให้แผลไม่เกิดหนอง แต่ตอนนั้นไม่มีใครทราบว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ต่อมา Sir John Pringle (1707-1782) แพทย์ชาวอังกฤษเริ่มศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังและบทความของเขาชื่อ "Experiments Upon Septic and Antiseptic Substance" ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Philosophical Transactions ซึ่งมีการใช้คำว่า น้ำยาฆ่าเชื้อ (Anti-septic) เป็นครั้งแรก โดยรากศัพท์มาจากภาษากรีก "Anti" ที่แปลว่า "ต่อต้าน" และ "sepsis" ที่แปลว่า "ย่อยสลาย' 

                              

Joseph Lister กับ phenol
ค.ศ. 1834 Friedlieb Ferdinand Runge (1795-1867) นักเคมีชาวเยอรมันกลั่นสารได้จากน้ำมันดินถ่านหิน สารนี้มีฤทธิ์เป็นกรดและละลายในน้ำมะนาว เขาเรียกสารนี้ว่ากรด Carbolic แต่ ค.ศ. 1842 Charles Gerhadt (1816-1856) นักเคมีชาวฝรั่งเศสตั้งชื่อสารนี้ว่า Phenol ต่อมา ค.ศ. 1854 Frederick Crace Calvert (1819-1873) นักเคมีชาวอังกฤษผลิตกรด Carbolic เพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสีย.

ทศวรรษที่ 1850 มีการค้นพบยาสลบทำให้ มีการผ่าตัดใหญ่เพิ่มขึ้นมากมาย Joseph Lister (1827-1912) ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษที่มหาวิทยาลัยแห่ง Glasgow สังเกตว่าผู้ป่วยกระดูกหักทั่วไปมักจะหายโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ผิดกับกรณีกระดูกหักแบบมีแผลเปิดที่ผิวหนัง (Open fracture) แผลมักจะเกิดหนองเช่นเดียวกับแผลหลังการผ่าตัดใหญ่เช่นการผ่าตัดอวัยวะ แผลที่เน่าเป็นหนองทำให้ผู้ป่วยมีอัตราการตายสูงประมาณร้อยละ 40-50 เลยทีเดียวและสารประกอบไอโอดีนใช้ไม่ได้ผล บังเอิญเขาอ่านหนังสือพิมพ์พบว่าทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ ที่เมือง Carlisle กำจัดสิ่งปฏิกูลโดยใช้กรด Carbolic เขาจึงเกิดความสนใจที่จะทดลองใช้.

12 สิงหาคม ค.ศ. 1865 Lister ก็เริ่มทดลองใช้สารนี้เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อ ผลการศึกษาสามารถลดอัตราการตายหลังผ่าตัดใหญ่ลงเหลือเพียงร้อยละ 15 วันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1867 บทความของเขาที่ชื่อ "Antiseptic principle of the Practice of Surgery" ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Lancet ตอนแรกความคิดของเขาถูกต่อต้านพอสมควร แต่ความจริงก็คือความจริง เมื่อ ค.ศ. 1871 Queen Victoria ยังใช้กรด Carbolic ในการผ่าตัดฝีที่รักแร้ ผลงานของเขาจึงเป็นที่ยอมรับทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือ.

ยากลุ่ม Phenol ตัวอื่นๆ
ค.ศ. 1886 Oswald Schmiedeberg ค้นพบว่าว่า Cresol ออกฤทธิ์ดีกว่า Phenol และมีพิษน้อยกว่า ต่อมาบริษัทแห่งหนึ่งในเยอรมนีก็นำ Chlorocresol ออกสู่ตลาดในปี ค.ศ. 1897.
ค.ศ. 1931 Leonard Colebrook (1883-1967) นักแบคทีเรียวิทยาชาวอังกฤษร่วมกับนักเคมีที่บริษัทแห่งหนึ่งในอังกฤษค้นพบสารที่ระคายเคืองต่อผิวหนังน้อยลงคือ Chloroxylenol (Dettol)
ค.ศ. 1937 ที่สหรัฐฯ William Gump ค้นพบสารอีกตัวคือ Hexachlorophene ซึ่งฆ่าเชื้อที่ผิวหนังได้และมีข้อดีคือ ยังคงประสิทธิภาพแม้ผสมในสบู่ จึงถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวต่างๆ มากมาย แต่สารนี้มีข้อเสียคือ เกิดพิษรุนแรงต่อระบบประสาทได้ และแล้วโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นในฝรั่งเศส เมื่อผู้ผลิตแห่งหนึ่งผสม Hexachlorophene 6% ในแป้งเด็ก ปรากฏว่ามีเด็กเสียชีวิตถึง 20 คน ทำให้ ค.ศ. 1972 สำนักงานอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาจึงห้ามขายผลิตภัณฑ์ที่มี Hexachlorophene เกิน 0.1% ต่อมาจึงมีการพัฒนาสารตัวอื่นๆ เพื่อมาทดแทนตัวอย่างเช่น Triclosan เป็นต้น.

แอลกอฮอล์ (alcohol)
แอลกอฮอล์ที่มีบทบาทในการเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อคือ Ethanol หรือ Ethyl alcohol สารนี้ถูกทำให้บริสุทธิ์เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1796 โดย Johann Tobias Lowitz อีก 30 ปีต่อมา Antoine Lavoisier บรรยายว่าสารนี้ประกอบด้วยคาร์บอน, ไฮโดรเจนและออกซิเจน ค.ศ. 1858 Nicolas-Theodore de Saussure Archibald Scott Couper (1831-1892) นักเคมีชาวสก๊อตก็ค้นพบโครงสร้าง และเป็น Pierre Eugene Mercellin Berthelot (182-1907) ที่สังเคราะห์สารนี้ได้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1860 จนถึงปัจจุบัน Ethyl alcohol ความเข้มข้น 70% เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้กันทั่วไป.

ยากลุ่ม Aldehyde

ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ที่สำคัญที่สุดคือ Formaldehyde (Formalin) ถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี ค.ศ. 1859 โดยนักเคมีชาวรัสเซีย Aleksandre Mikhailovich Butlerov (1828-1886) แต่อีกหลายปีต่อมาคือ ค.ศ. 1868 August Wilhelm von Hofmann (1818-1892) นักเคมีชาวเยอรมันจึงค้นพบวิธีผลิต และในปี ค.ศ. 1892 Friedrich August Kekule von Stradonitz (1829-1896) นักเคมีอินทรีย์ชาวเยอรมันจึงสังเคราะห์ได้บริสุทธิ์.

ยากลุ่ม Halogen
ยาในกลุ่มนี้ที่สำคัญมี 2 อย่าง อย่างแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1774 Carl Wilhelm Scheele (1742-1786) นักเคมีชาวสวีเดนหยดกรด HCl ลงใน manganese dioxide ได้ก๊าซสีเขียวอมเหลือง เขาเข้าใจว่าเป็นสารประกอบของออกซิเจนแต่ที่จริงเป็นธาตุชนิดหนึ่ง [ค.ศ. 1810 Humphry Davy ตั้งชื่อว่าคลอรีน (chlorine) มาจากภาษากรีก "chloros" ที่แปลว่า "เขียวอมเหลือง"].

ค.ศ. 1785 Claude Louis Berthollet (1748-1822) แพทย์ชาวฝรั่งเศสค้นพบว่าของเหลวที่เป็นสารประกอบคลอรีนคือ hypochlorite ป้องกันการเน่าเสียได้และเริ่มนำมาใช้ในทางการแพทย์ (ต่อมา ค.ศ. 1915 Henry Drysdale Dakin (1880-1952) นักเคมีชาวอังกฤษคิดค้นสารละลายเฉพาะตัวขึ้น มา โดยผสม hypochlorite กับกรด boric เรียกว่า Dakin's solution ปัจจุบันก็ยังมีใช้อยู่).

ยาตัวที่สองในกลุ่มนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1811 Bernard Courtois (1777-1838) นักเคมีชาวฝรั่งเศสค้นพบไอโอดีน (iodine) ต่อมา ค.ศ. 1839 นายแพทย์ J. Davies พบว่าสารประกอบไอโอดีนใช้ฆ่าเชื้อที่แผลได้ แต่กว่าจะได้รับการยอมรับก็อีกหลายปีต่อมาเมื่อ Casimir Davaine นักแบคทีเรียวิทยาชาวฝรั่งเศสทดลองยืนยันว่าไอโอดีนฆ่าเชื้อได้จริง ช่วงแรกใช้ตัวทำละลายเป็นแอลกอฮอล์เรียกว่า ทิงเจอร์ ไอโอดีน (tincture iodine) ซึ่งมีข้อเสียคือ ระคายเคืองเนื้อเยื่อมาก.

ค.ศ. 1943 บริษัทยาแห่งหนึ่งในเยอรมนีคิดค้นโพลิเมอร์ที่ชื่อ polyvinylpyrolidone หรือ povidone ต่อมาที่ห้องปฏิบัติการในสหรัฐฯ H. A. Shelanski และ M. V. Shelanski พบว่าสารผสม povidone-iodine นั้นอยู่ตัวโดยไม่ต้องเติมตัวทำละลาย จากการศึกษาพบว่าพิษน้อยกว่า tincture iodine. ยานี้ออกสู่ตลาดในปี ค.ศ. 1955 จากนั้นมาก็กลายเป็นน้ำยาทำแผลที่ใช้กันอย่างแพร่หลายจนกระทั่งปัจจุบัน.

น้ำยาฆ่าเชื้ออื่นๆ
ตัวแรกที่จะกล่าวถึงคือ Hydrogen peroxide ค้นพบในปี ค.ศ. 1818 โดย Louis Jacque Thenard (1777-1857) นักเคมีชาวฝรั่งเศสปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่.

อีกตัวที่ได้รับความนิยมคือ chlorhexidine ถ้าความเข้มข้น 0.5% มีชื่อการค้าว่า Hibitane ส่วน Hibiscrub นั้นจะมี chlorhexidine ความเข้มข้น 4% นอกจากนี้ก็ยังมี savlon ซึ่งเป็นสารละลายผสม chlorhexidine 1.5% กับ cetrimide 15%.

ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์ พ.บ.
โรงพยาบาลบ้านแหลม, จังหวัดเพชรบุรี
E-mail : [email protected]<
www.geocities.com/tantanodclub

 

ป้ายคำ:
  • ยาและวิธีใช้
  • คุยสุขภาพ
  • ดูแลสุขภาพ
  • เล่าสู่กันฟัง (ประวัติศาสตร์ทางการแพทย์)
  • ล้างแผล
  • นพ.ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์
  • อ่าน 25,976 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

282-008
วารสารคลินิก 282
มิถุนายน 2551
เล่าสู่กันฟัง (ประวัติศาสตร์ทางการแพทย์)
นพ.ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <