"เวลา 3 ปีที่พวกเขารอ คงจะแย่ไม่น้อย ถ้ามีบางคนรับทุนแต่ไม่ตั้งใจจะกลับไปใช้ทุน"
ทุนแพทย์เฉพาะทาง.....ทุนของเรา?
ทุนของกระทรวงฯ หรือทุนของใคร?
ช่วงเวลาเดือนกรกฎาคม เป็นช่วงเวลาที่แพทย์ประจำบ้านหลายคนกำลังจบ และเดินทางไปยังโรงพยาบาลซึ่งตนได้รับทุนมา แต่มีแพทย์หลายคนได้ทุนมาเรียนต่อเฉพาะทางและสัญญาว่าจะกลับมาทำงานยังโรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลจังหวัดที่ห่างไกล. แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเรียน 3 ปีในโรงเรียนแพทย์ กลับเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ทั้งความรู้สึก ความสุข และความอยากทำงานในโรงพยาบาลชุมชนกลับจางหายไป มีหลายเหตุผลที่ให้กับทุกๆคน ทั้งไกลบ้าน ถ้ากลับไปจะไม่ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาได้อย่างเต็มที่ ระบบเดิมที่โรงพยาบาลและระบบราชการแบบกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้เรื่อง มีปัญหามาก บางครั้งต้องทำงานที่ไม่ใช่เฉพาะด้านที่ตนเรียนมา ทำให้บางคนจ่ายเงินใช้ทุนให้ กับต้นสังกัดจำนวนล้านกว่าบาท และเข้าทำงานในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ เพื่อหาเงินมาชดเชยกับส่วนที่ต้องจ่ายไป เงินจำนวนนี้สำหรับพ่อแม่ และใครต่อใครอีกหลายคนอาจจะเป็นเงินจำนวนไม่มากเมื่อแลกกับการที่ลูกได้กลับมาอยู่บ้าน.
ดูเหมือนว่าระบบทุนนิยมทำให้เราทุกคนมองปัญหา กำหนดกติกา และแก้ปัญหากันด้วยระบบเงิน ใครผิดกติกาก็จ่ายเป็นเงิน หรือเราลืมความเป็นชุมชน ลืมคุณค่าของความเป็นแพทย์ และลืมว่าทำไมจึงต้องมีระบบทุนให้แพทย์มาเรียน. การกำหนดสถานที่รับทุนของกระทรวงสาธารณสุขนั้นกำหนดตามความขาดแคลนของแพทย์เฉพาะทางในที่นั้น เพื่อกระจายให้แพทย์เฉพาะทางไปอยู่ในที่ยังไม่มี หรือมีแพทย์เฉพาะทางด้านนั้นน้อย ซึ่งก็มักจะเป็นที่ห่างไกล ทั้งโรงพยาบาล จังหวัดที่ห่างไกล หรือโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ในจังหวัดนั้น เพื่อให้คนชนบทที่อยู่ห่างไกลไม่ต้องเดินทางออกมาไกลนัก ก็สามารถรับบริการที่จากแพทย์เฉพาะทางได้.
ในขณะที่ระบบการเรียนแพทย์เฉพาะทางได้พยายามให้แพทย์ที่อยากเรียนต่อ ต้องหาทุนมาเรียน เพราะใครมีทุนมาก็มีโอกาสที่จะได้รับคัดเลือกมากกว่า แพทย์ที่อยากเรียนมากเพราะกลัวจะ เรียนไม่ทันเพื่อนหรืออยากกลับมาอยู่ใกล้บ้าน ก็มักจะหาทางไปรับทุนที่ไหนก็ได้ที่ให้ทุน โดยไม่ได้ถามตัวเองว่าตนเองจะกลับมาชดใช้ทุนที่นั่นจริงหรือไม่ หรือระบบการเรียนแพทย์เฉพาะทางได้ทำให้แพทย์ที่เรียนห่างไกลจากความเป็นจริง ห่างไกลจากชุมชน จนไม่สามารถกลับไปทำงานที่เดิมได้.
หลายเหตุผลของการไม่กลับมาใช้ทุนก็น่าเห็นใจ เพราะบางคนพ่อแม่ป่วยต้องดูแล บางเหตุผลก็เป็น การต่อว่าระบบของโรงพยาบาลที่ให้ทุนมา ทั้งเรื่องต้องกลับไปช่วยตรวจผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่ใช่เฉพาะด้านที่ตนเรียนมาเพราะเป็นโรงพยาบาลชุมชน แน่นอนว่าคนเรียนต่อเฉพาะทางย่อมอยากตรวจเฉพาะที่ เราเรียนมา แต่ปัญหาของประเทศไทยคือไม่มีใครอยากตรวจผู้ป่วยทั่วไปซึ่งมีจำนวนมาก ภาระส่วนใหญ่ตกทิ้งไว้ให้กับแพทย์ใช้ทุนซึ่งจบใหม่ ดังนั้นการช่วยตรวจผู้ป่วยทั่วไปคือการช่วยน้องตรวจเพื่อแบ่งเบาภาระให้น้องแพทย์ใช้ทุนอยู่ได้นานขึ้น. น่าสนใจที่ว่า เมื่อตอนเราเป็นแพทย์ใช้ทุนเรามักจะประณามพี่ๆทั้งผู้อำนวยการและแพทย์เฉพาะทางที่ไม่มาช่วยตรวจ แต่พอเราเป็นแพทย์เฉพาะทาง เรากลับคิดว่าหน้าที่ของเรามีเพียงการตรวจผู้ป่วยเฉพาะด้านที่เราเรียนมา ส่วนการตรวจผู้ป่วยทั่วไปปล่อยให้เป็นภาระของคนอื่นที่ต้องแก้กันไป.
"สำหรับหมอการกลับไปใช้ทุนเป็นโอกาสในความสบายที่ลดลง แต่สำหรับเขาคือโอกาสในการรอดที่เพิ่มขึ้น"
"การรอสำหรับคนบางคนอาจเสียเวลา แต่สำหรับคนบางคนอาจเสียชีวิต"
แน่นอนว่าปัญหาระบบการแพทย์ของซับซ้อน ทั้งความคาดหวังของคนไข้ ความคาดหวังของสังคม ซึ่งมักจะไม่สอดรับกับความคาดหวังของแพทย์. แพทย์ทุกคนย่อมคาดหวังว่างานในอนาคตจะเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ทำงานที่ปราณีตขึ้น พัฒนาศักยภาพตนเองมากขึ้น มีงานวิชาการที่เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ แต่งานที่มีส่วนใหญ่ในระบบกลับเป็นการตรวจผู้ป่วยหวัด ปวดหลัง ปวดเอว ซึ่งเป็นงานที่น่าเบื่อหน่าย ไม่น่าภาคภูมิใจ. ดูเหมือนว่างานนั้นน่าภาคภูมิใจหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ผู้ป่วยเป็นคนตัดสินใจ กลับอยู่ที่แพทย์คนนั้นรู้สึกกับงานนั้นว่าน่าภาคภูมิใจหรือไม่ การดูแลชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งที่ป่วยด้วยโรคง่ายๆทั้งกายและใจกลับเป็นงานที่ไม่มีความหมายใดๆเมื่อเราได้เรียนรู้ลึกขึ้น เฉพาะด้านขึ้นเรื่อยๆ.
ในอีกมุมหนึ่ง ระบบบริหารจัดการในโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลจังหวัดหรือโรงพยาบาลชุมชน ก็เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาที่ต้องจะทำให้แพทย์เฉพาะทางอยู่ได้ และอยู่อย่างมีความสุข ในแบบที่ว่าไม่มีใครเอาเปรียบใคร. สำหรับแพทย์ส่วนใหญ่นั้น ทำงานหนักไม่ว่า แต่ขอให้รู้สึกว่าไม่ถูกเอาเปรียบ ทุกคนทำงานหนักด้วยกัน เขาได้มีความภาคภูมิใจในงานที่ทำ มีความชื่นชมทั้งจากผู้ป่วย เพื่อนร่วมงานและหัวหน้า เมื่อรักษาผู้ป่วยได้ดี การทำงานด้วยความเป็นพี่เป็นน้องจะดึงดูดให้แพทย์ทำงานได้อย่างมีความสุข ไม่ใช่ทำเพราะทนทำไป หรือเพราะความรับผิดชอบที่ต้องใช้ทุน ต้องยอมรับที่ว่ามีระบบของโรงพยาบาลบางแห่งที่อาจเอาระบบการเงินเป็นหลัก ระบบคุณธรรมต่อผู้ป่วยเป็นรอง. แพทย์ทั้งอาวุโสและไม่อาวุโสบางส่วนทำแต่คลินิกจนลืมและทอดทิ้งน้องๆให้เผชิญชะตากรรมกันเอง จนน้องแพทย์หลายคนรู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบ เป็นส่วนที่ต้องการภาวะผู้นำของโรงพยาบาลนั้นในการแก้ปัญหาและสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมา.
เมื่อกลับมาที่คำถามที่ว่า การไม่กลับไปใช้ทุนและชดเชยด้วยการจ่ายเงินนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสม และเป็นธรรมหรือไม่ คงต้องตอบอีกคำถามหนึ่งก่อนหน้านั้นว่าทุนที่ให้มาเรียนแพทย์เฉพาะทางนั้นเป็นทุนของใคร ทุนของแพทย์ผู้รับทุน? ทุนของกระทรวงสาธารณสุข? ทุนของโรงพยาบาลและหมอที่รอการกลับมาช่วยทำงาน หรือเป็นทุนของชุมชนนั้น? แน่นอน มองในมุมของแพทย์ผู้รับทุน ตนเป็นคนที่ต้องแบกรับความลำบากต่างๆ มองในมุมของแพทย์เฉพาะด้าน ที่โรงพยาบาลนั้นย่อมรอความหวังว่าปีนี้จะมีน้องกลับมาช่วยงาน. แต่ที่สำคัญชุมชนซึ่งอาจจะไม่มีส่วนรับรู้ใดๆกับการรับทุนหรือให้ทุนนั้น ย่อมรอความหวังว่าจะมีหมอมาช่วยตรวจรักษาโรคของเขา ถึงเขาไม่มีส่วนรับรู้ แต่ตัวเราก็รู้ว่า ชุมชนนั้นย่อมรอการกลับมาเพื่อพัฒนาระบบบริการของพวกเรา ซึ่งห่างไกลกับระบบบริการที่เมืองใหญ่ๆแค่ไหน หรือเรายอมรับความแตกต่างและช่องว่างทางสังคมที่มักจะลืมผู้ที่อ่อนแอกว่า อ่อนด้อยกว่า และไม่มีปากมีเสียง. พวกเขารอมา 3 ปี 4 ปี หรือ 5 ปี ตามแต่ทุนนั้นแล้ว ใครล่ะที่จะคืนความเป็นธรรม ถ้าผู้รับทุนมองแต่มุมของตนเองด้านเดียว การกลับไปอยู่ที่นั่นช่วงหนึ่งจนกว่าจะมีคนมาแทนน่าจะเป็นทางออกที่ดีพอควรสำหรับคนที่รับทุนและต้องไปใช้ทุนด้วยความรู้สึกไม่มีความสุข แต่เราเป็นแพทย์..วิชาชีพซึ่งต้องเปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบไม่ใช่หรือเราคงไม่มีความสุขถ้าเราทอดทิ้งคนไข้ เช่นเดียวกับที่เราคงจะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตถ้าเราได้ทอดทิ้งสัญญาแห่งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่มีให้กับชุมชนและโรงพยาบาลที่เรารับทุนมา.
เป็นกำลังใจให้กับน้องแพทย์เฉพาะทางจบใหม่ ผู้ตั้งใจจะไปใช้ทุนตามสัญญาแห่งตน การทำสิ่งที่ตนเชื่อ สิ่งที่เป็นความถูกต้อง แม้จะลำบาก ฝืนใจในช่วงแรก แต่อย่างน้อยทำให้เราไม่ลืมความรู้สึกที่ว่า เรามาเป็นแพทย์เพราะอะไร แล้ววันหนึ่งเมื่อเราเดินไปจนถึงสุดปลายทาง เราจะได้บอกกับตัวเองและลูกหลานของเราว่า "ชีวิตนี้เราได้ทำสิ่งที่เราไม่เคยนึกเสียใจ ตลอดช่วงทางเดินแห่งชีวิตที่ผ่านมา"
พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ พ.บ.
เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท และอดีตประธานชมรมแพททย์ชนบท
- อ่าน 13,196 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้