Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » "จัดการ" ผลตรวจสุขภาพเหมาโหล
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

"จัดการ" ผลตรวจสุขภาพเหมาโหล

โพสโดย Anonymous เมื่อ 1 สิงหาคม 2551 00:00

อาชีวเวชศาสตร์ปริทัศน์ฉบับที่แล้วนำเสนอบทสนทนาระหว่างผู้เขียนกับพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งจำนวน 15 คนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการอบรม "ผู้บริหารรุ่นใหม่" เพื่อเป็นการ "เตรียมความพร้อมให้กับกลุ่มผู้นำในอนาคต ในการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และจิตสำนึก ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และความรับผิดชอบต่อสังคม และมี มุมมองที่กว้างในการบริหารธุรกิจอย่างยั่งยืน".

ประเด็นของการพูดคุยที่ยังไม่จบ คือ การตรวจสุขภาพพนักงาน ซึ่งผู้เขียนได้กล่าวไว้ในบทความตอนที่แล้วว่า การตรวจสุขภาพพนักงานบริษัทที่มีการดำเนินการอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นการตรวจแบบ "เหมาโหล" กล่าวคือ เป็นการคัดกรองว่าจากพนักงานทั้งหมดของบริษัท มีคนใดบ้างที่มี "ความผิดปกติ" เทียบกับ "ค่าปกติ" ของการตรวจนั้นๆ เช่น การตรวจน้ำตาลในเลือด ถ้าตั้งค่าปกติไว้ว่าไม่ควรเกิน 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แล้วพบว่านางสาวอาฬวีมีระดับน้ำตาล 101 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ก็สรุปว่าเธอ "ไม่ปกติ" หรือการตรวจระดับสารตะกั่วในเลือด ตั้งค่าปกติสำหรับพนักงานที่สัมผัสตะกั่วตลอดเวลาว่าไม่ควรเกิน 60 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร ถ้าพบว่านายสักการมีระดับตะกั่ว 57 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ถือว่า นายสักการ "ปกติ".

ตัวอย่างจากโรงงานที่หยิบยกมาคุยกัน คือ พนักงานคนหนึ่งสงสัยว่า เหตุใดการตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงงานจึง "ตอบคำถามไม่ได้ว่าผมป่วยจากฝุ่นในที่ทำงานหรือเปล่า?" โดยได้อธิบายว่า ทำงานเป็นวิศวกรประจำโรงงาน มีหน้าที่เดินตรวจสอบกระบวนการผลิตร่วมกับการนั่งทำงานในห้องควบคุม ทำให้ต้องออกมาสัมผัสฝุ่นละออง ไอควันรถยกของ (forklift) และสารเคมีต่างๆ ไปด้วย เวลาเดินสำรวจมีอาการเคืองจมูก จามบ้าง แต่เมื่อกลับถึงบ้าน บางคืนเกิดอาการแน่นหน้าอก แต่ไม่ถึงกับหอบหรือหายใจลำบาก และตลอดทุกปีที่เขาไปตรวจสุขภาพ. ผลภาพถ่ายรังสีปอด "ปกติ" มาตลอด ขณะที่พนักงานฝ่ายบุคคลอีกคนหนึ่ง เกิดปัญหาว่าพนักงานประมาณร้อยละ 10 ของโรงงานมีค่าเอนไซม์ตับในช่วง 40-45 unit เมื่อรายงานผลการตรวจไปยังสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ก็ทำให้เจ้าหน้าที่มาเพ่งเล็งว่า โรงงานใช้สารเคมีที่ทำลายตับพนักงาน.

ปัญหาและทางแก้
โดยทั่วไปแล้วการตรวจสุขภาพแบบ "เหมาโหล" มีประโยชน์ในการ "คัด" พนักงานที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพสูง เพื่อนำไปสู่การดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิดและลดการเกิดโรคได้ทันท่วงที เช่น ให้มาตรวจระดับตะกั่วในเลือดซ้ำในอีก 3 เดือน ให้ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น ให้ใส่อุปกรณ์ลดเสียงให้เป็นประจำมากขึ้น. ทั้งนี้ "เกณฑ์" ในการตัดสินว่าพนักงานคนใดเสี่ยง อาศัย "ค่าปกติ" ที่ห้องปฏิบัติการแจ้งมาให้พร้อม กับผลการตรวจ ซึ่งการใช้เกณฑ์ในลักษณะนี้นำไปสู่เหตุการณ์ที่ "น่าสงสัย" หลายประการ โดยเฉพาะกรณีผลการตรวจปกติทั้งๆ ที่น่าจะผิดปกติ เช่น กินอาหารมันตลอดเวลาแต่ค่าไขมันในเลือดปกติ หรือผลการตรวจผิดปกติทั้งๆ ที่น่าจะปกติ เช่น ไม่เคยสัมผัสสารตัวทำละลายทั้งในที่ทำงานและที่บ้าน แต่ตรวจพบอนุพันธ์ของสารตัวทำละลายในปัสสาวะในปริมาณ สูงมาก ฯลฯ. ผู้เขียนขอสรุปว่าปัญหาของการตรวจสุขภาพแบบ "เหมาโหล" คือ เป็นการตรวจเพียงครั้งเดียวที่มีโอกาสสูงมากที่จะผิดพลาด ถ้าหากจะให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดูแลสุขภาพพนักงาน จะต้องมีมาตรการ "เสริม".

มาตรการเสริมที่ว่า ผู้เขียนเรียกเองว่าเป็น "การจัดการผลตรวจ" ซึ่งควรมีแนวทางปฏิบัติเป็นขั้นๆ ดังนี้ คือ (ดูแผนภาพประกอบ).



ขั้นแรก : ตรวจอะไร ?
การตรวจสุขภาพที่ทำกันอยู่ แยกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ การตรวจวัดการสัมผัส (biomarker of exposure) และการตรวจวัดพยาธิสภาพ (biomarker of health effect) ซึ่งต้องการการแปลผลและ การดำเนินการขั้นต่อไปที่แตกต่างกัน กล่าวคือ การตรวจวัดการสัมผัส เช่น การตรวจระดับตะกั่วในเลือด เป็นการ "ยืนยัน" ว่าสิ่งคุกคามสุขภาพเข้าสู่ร่างกายจริง แต่ผลที่ "ผิดปกติ" อาจไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน หรืออาจยังมีปริมาณไม่มากพอที่จะก่อพยาธิสภาพหรือการเจ็บป่วยได้ ขณะที่การตรวจวัดพยาธิสภาพ เช่น การตรวจสมรรถภาพปอด เป็นการ "ยืนยัน" ว่าเกิดพยาธิสภาพขึ้น แต่ผลที่ "ผิดปกติ" อาจไม่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงาน.

ขั้นสอง : ผิดปกติหรือไม่ ?
ไม่ว่าจะเป็นการตรวจชนิดไหน ในขั้นนี้ให้แยกพนักงานตามผลการตรวจเป็นกลุ่ม "ปกติ" กับ "ผิดปกติ" ตามค่าปกติที่ห้องปฏิบัติการแจ้งมา ขั้นตอนนี้จะได้ตัวเลขร้อยละของพนักงานที่มีผลตรวจผิดปกติ ซึ่งเป็น "เป้าหมาย" ของการตรวจคัดกรองนั่นเอง.


ขั้นสาม : อธิบายสาเหตุ
จากนั้น ทำการแยกพนักงานเป็น 4 กลุ่ม ตามชนิดและผลการตรวจ กล่าวคือ
1. พนักงานที่มีผลตรวจ "ปกติ" ของการตรวจวัดการสัมผัส แยกย่อยได้ 3 ประเภท คือ
a. ไม่มีโอกาสสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงานหรือที่อื่นเลย จึงมีผลการตรวจต่ำกว่าค่าปกติ.
b. มีโอกาสสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงานหรือที่อื่น แต่อยู่ในระดับต่ำมาก จนตรวจไม่พบในการตรวจครั้งนี้.
c. มีโอกาสสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงานหรือที่อื่น เป็นปริมาณมากพอที่จะก่อโรค แต่ตรวจไม่พบในการตรวจครั้งนี้.

2. พนักงานที่มีผลตรวจ "ผิดปกติ" ของการตรวจวัดการสัมผัส แยกย่อยได้ 4 ประเภท คือ
a. มีโอกาสสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงานหรือที่อื่น เป็นปริมาณมากพอที่จะก่อโรค (เกินค่าปกติมาก เช่น มากกว่าค่าเฉลี่ยบวก 2-3 SD1).
b. มีโอกาสสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงานหรือที่อื่น เป็นปริมาณที่อาจจะก่อโรค (เกินค่าปกติในพิสัยค่าเฉลี่ยบวก 1-2 SD).
c. มีโอกาสสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงานหรือที่อื่น เป็นปริมาณที่สูงกว่าคนทั่วไปที่ไม่สัมผัสเล็กน้อย และอาจไม่ก่อโรคเลย (เกินค่าปกติไม่เกินค่าเฉลี่ยบวก 1 SD).
d. ไม่มีโอกาสสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงานหรือที่อื่นเลย แต่ตรวจพบว่าสูงในการตรวจครั้งนี้.

3. พนักงานที่มีผลตรวจ "ปกติ" ของการตรวจวัดพยาธิสภาพ
แยกย่อยได้ 3 ประเภท คือ
a. ไม่มีโอกาสสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงานหรือที่อื่น (ผลการตรวจวัดการสัมผัสปกติ) และไม่มีสาเหตุอื่นใดที่ก่อพยาธิสภาพ จึงตรวจแล้วปกติ.
b. มีโอกาสสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงานหรือที่อื่น ไม่ว่าปริมาณมาก (ผลการตรวจวัดการสัมผัสสูง) หรือน้อย (ผลการตรวจวัดการสัมผัสปกติ) แต่ยังไม่เกิดพยาธิสภาพ เนื่องจากปริมาณน้อยไปหรือยังอยู่ในช่วง latent period.
c. มีโอกาสสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงานหรือที่อื่น (ผลการตรวจวัดการสัมผัสสูง) และเกิดพยาธิสภาพขึ้นแล้ว แต่ตรวจไม่พบในการตรวจครั้งนี้.

4. พนักงานที่มีผลตรวจ "ผิดปกติ" ของการตรวจวัดพยาธิสภาพ แยกย่อยได้ 3 ประเภท คือ
a. มีพยาธิสภาพอยู่ก่อนแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงานหรือที่อื่น (ผลการตรวจวัดการสัมผัสปกติ).
b. พยาธิสภาพเกิดจากการสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงานหรือที่อื่น ไม่ว่าจะสัมผัสมาก (ผลการตรวจวัดการสัมผัสสูง) หรือน้อย (ผลการตรวจวัดการสัมผัสปกติ).
c. ไม่มีพยาธิสภาพ ไม่มีโอกาสสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงานหรือที่อื่น (ผลการตรวจ วัดการสัมผัสปกติ) แต่ตรวจพบในการตรวจครั้งนี้.

ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยแล้วว่า ผลการตรวจสุขภาพพนักงานอาจสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์การสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงาน ดังนั้น การแปลผลการตรวจสุขภาพที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ในการดูแลสุขภาพพนักงานอย่างแท้จริง ไม่ควรใช้เฉพาะการ "อิงเกณฑ์" หรือ "อิงกลุ่ม" ตามค่าปกติที่ห้องปฏิบัติการแจ้งมาเพียงอย่างเดียว. ที่สำคัญการจะแปลผลเช่นนี้ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการตรวจสุขภาพ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยของโรงงานและแพทย์อาชีวเวชศาสตร์/พยาบาลอาชีวอนามัย.


ขั้นสี่ : จัดการความเสี่ยง
สำหรับพนักงานที่มีผลการตรวจ "ปกติ" (กลุ่ม ที่ 1 หรือ 3 จากที่กล่าวมาแล้ว) ควรได้รับคำแนะนำว่า แม้ผลตรวจจะปกติ แต่เนื่องจากมีโอกาสสัมผัส สิ่งคุกคามสุขภาพในที่ทำงาน หรืออาจเกิดพยาธิสภาพ ขึ้นแล้ว ดังนั้น จะยังต้องระมัดระวัง สัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพเท่าที่จำเป็น ปฏิบัติตามแนวทางการทำงานที่ปลอดภัย (safe work practice) ใช้เครื่องป้องกันส่วนบุคคลตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และที่สำคัญควรมาตรวจสุขภาพตามกำหนดในครั้งต่อไป หากพบว่า "มีแนวโน้ม" ผิดปกติเกิดขึ้น จะได้แก้ไข ได้ทันก่อนจะเกิดการเจ็บป่วยจากการทำงาน เช่น นายวรมิตรมีระดับตะกั่วในเลือดเพิ่มจาก 57 ในปีที่แล้วเป็น 65 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตรในปีนี้ แสดงว่าอาจเกิดจากการสัมผัสตะกั่วมากขึ้นหรือไม่ได้ใส่อุปกรณ์ป้องกัน. ผลการตรวจจะนำไปสู่การประเมินและจัดการความเสี่ยงที่ละเอียดขึ้นโดยทีมงานอาชีวอนามัยของโรงงาน เช่น การตรวจวัดปริมาณตะกั่วในสภาพแวดล้อมการทำงาน การประเมินโอกาสสัมผัสตะกั่วของนายวรมิตร การลดปริมาณตะกั่วให้อยู่ในระดับปลอดภัย และการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันให้เหมาะสมมากขึ้นและตักเตือนให้นายวรมิตรใส่เป็นประจำ.

สำหรับพนักงานที่มีผลการตรวจ "ผิดปกติ" (กลุ่มที่ 2 หรือ4 จากที่กล่าวมาแล้ว) ควรมีการแยกแยะจัดการเป็นลำดับ คือ

1. หากพิจารณาว่าผลผิดปกติอาจเกิดจากความผิดพลาดทางห้องปฏิบัติการ (กลุ่ม 2d หรือ 4c) เช่น ตรวจผิดคน ใส่ผิดหลอด เก็บตัวอย่างผิดเวลา ฯลฯ ควรทำการตรวจซ้ำอีกครั้ง ทั้งนี้อาจส่งห้องปฏิบัติการแห่งเดิมหรืออาจเพิ่มอีกห้องปฏิบัติการก็ได้ (แยกตัวอย่าง 2 หลอด) หรืออีกสาเหตุที่สำคัญที่เกิด "ผลลบลวง" เช่นนี้ คือ ยังไม่สามารถตรวจหาสารเคมีในร่างกายหรือพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากยังไม่มีการคิดค้น biomarker ที่เหมาะสม หรือยังไม่มีห้องปฏิบัติการ/โรงพยาบาล/ผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจได้.

2. หากพิจารณาว่าไม่น่าเกิดจากความผิดพลาดทางห้องปฏิบัติการ หรือตรวจซ้ำแล้วได้ผลเช่นเดิม ควรแยกแยะจัดการตามความเสี่ยงดังนี้ คือ

2.1 กลุ่ม 2a และ 4b เป็นกลุ่มพนักงานที่มีการสัมผัสสูงและมีพยาธิสภาพเกิดขึ้น ควรมีการประเมินความเสี่ยงให้ชัดเจนทันที เพื่อลดการสัมผัสและพิจารณาการรักษาพยาบาลเพื่อลดความรุนแรงของพยาธิสภาพ.

2.2 กลุ่ม 2b และ 4b เป็นกลุ่มพนักงานที่มีการสัมผัสไม่มากนัก แต่มีพยาธิสภาพเกิดขึ้นแล้ว ควรนัดมาตรวจทั้งการสัมผัสและพยาธิสภาพถี่กว่าปกติ เช่น ให้มาตรวจทุก 3 หรือ 6 เดือน หากพบว่ามีแนวโน้มการสัมผัสหรือพยาธิสภาพมากขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ควรทำการลดการสัมผัสให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อป้องกันโรค.

2.3 กลุ่ม 4a เป็นกลุ่มพนักงานที่พยาธิสภาพไม่สอดคล้องกับการสัมผัส โดยน่าจะเป็นจากสาเหตุอื่น ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินพยาธิสภาพและทำการรักษาตามสาเหตุต่อไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพยาธิสภาพที่เกิดขึ้น อาจมีผลทำให้พนักงานกลุ่มนี้มีความสามารถในการกำจัดสารเคมีในร่างกายได้ลดลงหรือมีความไวต่อการเกิดพิษ (sensitivity) เพิ่มขึ้น ดังนั้น ควรให้คำแนะนำว่าควรสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพให้น้อยที่สุด.

2.4 กลุ่ม 2c เป็นกลุ่มพนักงานที่มีการสัมผัสไม่สูงมาก ควรลดการสัมผัสเช่นกันและตรวจสุขภาพทุกปี/ตามกำหนดเดิม เพื่อเฝ้าระวังการสัมผัสหรือพยาธิสภาพที่อาจเพิ่มมากขึ้น.


สื่อสารความเสี่ยง
ในช่วงประมาณ 1 ทศวรรษมานี้ บุคลากรทางสาธารณสุขทุกสาขาให้ความสำคัญกับการสื่อสารความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ. สำหรับประเด็นการตรวจสุขภาพพนักงานนี้ จะมีแนวทาง "สื่อสาร" กันอย่างไร ระหว่าง "ผู้ให้บริการ" กับ "ผู้รับบริการ" เพื่อให้เกิดการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ไม่ใช่การตื่นตระหนก?

โดยทั่วไปแล้ว การเปิดเผยผลการตรวจสุขภาพ ขึ้นกับจริยธรรมของผู้ให้บริการและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กล่าวคือ แพทย์ควรรักษาความลับของผู้ป่วย โดยเปิดเผยเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้ป่วย ถึงแม้สถานการณ์การตรวจสุขภาพที่พบผลผิดปกติจะไม่ทำให้พนักงานเป็นผู้ป่วย แต่แพทย์ผู้ตรวจก็สามารถนำหลักการนี้มาใช้ได้ ขณะเดียวกันกฎหมายตรวจสุขภาพพนักงาน ของประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ระบุให้ "แพทย์ผู้ตรวจส่งผลการตรวจให้นายจ้างและลูกจ้าง" นอกจากนั้น พนักงานตรวจแรงงานสามารถขอดูผลการตรวจจากนายจ้าง ได้ทำให้เกิด "ความยากลำบาก" ต่อการปฏิบัติงานของแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพที่ยึดถือการรักษาความลับของผู้ป่วยเป็นใหญ่.
ผู้เขียนมีข้อเสนอแนะว่าผู้ให้บริการ รวมทั้งแพทย์ ผู้ตรวจ ทำการรายงานผลการตรวจให้นายจ้างเป็น "ภาพรวม" ของโรงงาน เช่น มีพนักงานที่มีผลตรวจสมรรถภาพปอดต่ำกว่าปกติจำนวนร้อยละ 13 ของพนักงานทั้งหมด ทั้งนี้ อาจแยกเป็นรายแผนกได้ แต่ไม่ควรให้ข้อมูลรายบุคคลแก่นายจ้าง ขณะที่ควรแจ้งผลละเอียดเป็นรายบุคคลให้กับพนักงานโดยตรง.

สำหรับกรณีที่พนักงานตรวจแรงงานมาขอดู ผลการตรวจจากนายจ้างนั้น หากพนักงานเจ้าหน้าที่ยึดถือการแปลผลในลักษณะ "อิงเกณฑ์" หรือ "อิงกลุ่ม" ตามตัวเลขของห้องปฏิบัติการ โดยไม่ได้พิจารณากรณีผลบวกลวงหรือข้อจำกัดของการตรวจสุขภาพเหมาโหลดังที่กล่าวมาในบทความนี้ เช่น กรณี ผลตรวจเอนไซม์ตับที่ยกให้เห็นข้างต้น ผู้เขียนขอเสนอแนะทางโรงงานว่าให้ดำเนินการตามที่แนะนำในบทความตอนนี้.

ที่สำคัญผู้เขียนขอร้องทั้งโรงงาน ผู้ให้บริการ แพทย์ผู้ตรวจและพนักงานตรวจแรงงาน ว่าอย่าพยายามรายงานผลที่ "ดูดี" หรือเคี่ยวเข็ญ/คาดคั้น/เพ่งเล็งพนักงานที่ผลผิดปกติมากจนเกินไป เพราะประโยชน์ที่แท้จริงของการตรวจสุขภาพพนักงาน คือ การสะท้อนให้เห็นว่ามีสิ่งคุกคามสุขภาพในสภาพแวดล้อมการทำงาน หรือมีการสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพที่ไม่จำเป็น หรือเริ่มมีพยาธิสภาพในกลุ่มพนักงานที่สัมผัส อัน ควรนำไปสู่การปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้ปลอดภัยและปรับพฤติกรรมการทำงานให้เหมาะสม เพื่อลดการเจ็บป่วยจากการทำงานสำหรับพนักงานทุกคน.

ฉันทนา ผดุงทศ พ.บ.
DrPH in Occupational Health, สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม,
กรมควบคุมโรค,กระทรวงสาธารณสุข
E-mail address : [email protected]<
 

ป้ายคำ:
  • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
  • โรคจากการทำงาน
  • คุยสุขภาพ
  • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
  • อาชีวเวชศาสตร์ปริทัศน์
  • พญ.ฉันทนา ผดุงทศ
  • อ่าน 7,649 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

284-011
วารสารคลินิก 284
สิงหาคม 2551
อาชีวเวชศาสตร์ปริทัศน์
พญ.ฉันทนา ผดุงทศ
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <