การตาย คืออะไร
"การตาย" เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเมื่อมีการเกิด แต่เรามักจะแกล้งลืมเลือนมันเสีย ถ้าเราระลึก/ตระหนักได้ว่า การตายเกิดขึ้นและเกิดตลอดเวลาทันทีที่เราเกิด เราคงจะ "ลด-ละ-เลิก" ความโลภ-โกรธ-หลง ลงได้มากกว่าที่เป็นอยู่.
เมื่อเราคลอดออกมาจากท้องแม่ ภายในไม่กี่นาที สายสะดือที่เลี้ยงเรามาตลอดเวลาที่เราอยู่ในท้องแม่ ก็จะเหี่ยวแห้ง และในที่สุดก็จะตาย (เน่าเปื่อย) ไปพร้อมกับรก (ที่ช่วยถ่ายเทอาหารและออกซิเจนจากแม่สู่เราขณะที่อยู่ในมดลูกของแม่) จะหลุดลอกออกจากมดลูกแม่ และเน่าเปื่อยไปเช่นกัน.
สายสะดือที่เริ่มตายหลังจากเราคลอดออกมา และในที่สุดก็เหี่ยวแห้ง และหลุดออกจากสะดือของเรา เป็นตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า "การตาย" เกิดขึ้นทันทีพร้อมกับ "การเกิด"
และ "การตาย" ก็เกิดอยู่ตลอดเวลาโดยเราไม่ค่อยได้ตระหนักถึงความจริงเหล่านี้ เช่น
ชั้นนอกของผิวหนังของเราจะแก่ตัวแล้วตาย และหลุดลอกออกเป็น "ขี้ไคล" ทุกวัน ตั้งแต่เป็นทารกจนวันสุดท้าย.
"ขี้รังแค" ก็เป็นส่วนนอกของผิวศีรษะที่ตายและหลุดออกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ สีขาวทุกวัน เห็นได้ชัดในคนที่ไม่สระผมบ่อยๆ.
"ขี้ตา"/"ขี้มูก" เป็นส่วนของเยื่อบุตา/จมูก ที่ตายและหลุดลอกออกมากับน้ำตา/น้ำมูก ทุกวัน เห็นได้ชัดเวลาตา/จมูก อักเสบ เช่น ตาแดง เป็นหวัด แพ้อากาศ เป็นต้น.
"ขี้" (อุจจาระ) ของคน นอกจากจะประกอบด้วยกากอาหารที่ร่างกายไม่ย่อย/ย่อยไม่ได้แล้ว ยังประกอบด้วยเยื่อบุกระเพาะลำไส้ที่ตายและหลุดลอกออกตลอดเวลา เพราะแม้แต่ทารกในท้องแม่ ก็ยังมี "ขี้เทา" ในลำไส้ทั้งที่ไม่ได้กินอาหารใดๆทางปากเลย.
เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเซลล์ต่างๆ ในร่างกายก็ "ตาย" อยู่ตลอดเวลา และถูกแทนที่ด้วยเม็ดเลือดใหม่ และเซลล์ใหม่.
การเกิดแล้วตาย เกิดแล้วตายๆๆๆ....จึงดำรงอยู่ตลอดเวลาตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่.
เซลล์ที่เกิดมาแล้ว ต้องแก่และต้องตาย (ไม่ว่าจะผ่านกระบวนการเจ็บก่อนหรือไม่) ก็เพื่อให้เซลล์ใหม่ได้เกิดมาแทนที่ เพื่อจะมีกำลังวังชาที่จะดำรงร่างกายต่อไป.
แต่เราไม่สำเหนียกถึง "การเกิด" และ "การตาย" ที่เกิดขึ้นในตัวเราอยู่ตลอดเวลา เราจึงกลัว "การตาย" และ "ความตาย".
ท่านอาจารย์พุทธทาส เรียก "การตายโดย ไม่อยากตาย" ว่าเป็น "การตายโหง" เพราะเป็นการตายที่ยังดิ้นรนต่อสู้ อยากจะมีชีวิตอยู่ แต่ชีวิตก็ถูกดับไป.
ผู้ที่ "ตายไม่เป็น" จึงเป็นผู้ที่ไม่รู้ว่า การตายอย่างไรดีที่สุด เพราะไม่ได้เตรียมตัวตายไว้ก่อน นั่นคือไม่ได้ "ตายก่อนตาย" นั่นเอง.
ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวว่า
"พระพุทธเจ้าตายเสร็จสิ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ ตรัสรู้ที่ต้นโพธิ์ นั่นคือ ตายจากกิเกส ตายจากตัวกูของกู
การตายให้เป็น คือ การให้ร่างกายมันแตกดับไปในลักษณะที่เหมาะสม แม้ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า หรือยังไม่เป็นอรหันต์ ก็ทำตามอย่างท่านได้ เท่าที่จะทำได้
เราจึงเห็นได้ว่า เรื่องตายนั้น เมื่อควรตายก็ให้มันตาย อย่างที่เรียกว่า ปลงสังขาร ปลงอายุสังขาร จะต้องไปดิ้นรนต่อสู้ให้ยุ่งยากลำบากไปทำไม
เรื่องผ่าตัดเอาหัวใจไปใส่ใหม่นี้ ถือว่าเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ของคนที่ไม่รู้จักตาย ตายไม่เป็น ก็ต้อง "ตายโหง" อยู่ดี คือ ตายด้วยจิตใจที่ไม่อยากตาย เรียกว่า "ตายโหง" หมด
อย่าต้องตายโดยไม่อยากตาย อย่าเป็นคนโง่ เป็นคนไม่รู้ว่าธรรมชาติต้องเป็นไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอย่าให้มันยุ่งยากมากนัก
เมื่อควรตายก็ต้องตาย เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารว่า สามเดือนจากวันนี้จักปรินิพพาน หมายความว่า ให้ร่างกายแตกดับไปตามธรรมชาติ ส่วนนิพพานของกิเลส นิพพานเสร็จแล้วตั้งแต่วันที่ ตรัสรู้
เมื่อเรามีธรรมะในเรื่องนี้ ก็ไม่มีการตายโหง".
จะเห็นได้ว่า แม้แต่พระพุทธองค์ยังทรงกำหนด "วันตาย" (ปลงอายุสังขาร) เพื่อให้เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เมื่อพระองค์ทรงทำหน้าที่ (เผยแผ่ธรรมะ) มาตามสมควรแก่อัตภาพแล้ว ดังพุทธพจน์ที่ว่า
"ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนพาล ทั้งบัณฑิต ทั้งคนมี ทั้งคนจน ล้วนเดินหน้าไปสู่ความตายทั้งหมด
ภาชนะดินที่ช่างหม้อทำแล้ว ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งสุกและดิบ ล้วนมีความแตกทำลายเป็นที่สุดฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็มีความตายเป็นที่สุดฉันนั้น
วัยของเราหง่อมแล้ว ชีวิตของเรายังเหลืออยู่ เพียงเล็กน้อย เราจะจากพวกเธอไป เราได้ทำสรณะ (ที่พึ่ง) ให้แก่ตนแล้ว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีความประพฤติดีงาม มีความดำริมั่นคง จงตามรักษาจิตของตน
ผู้ใดในธรรมวินัยนี้ จักเป็นอยู่อย่างไม่ประมาท ผู้นั้นจะละชาติสงสาร กระทำความจบสิ้นทุกข์ได้".
ในวันที่พระองค์ทรงดับขันธ์ แม้พระองค์จะทรงรู้ว่า อาหารที่มีผู้นำมาถวายแก่พระองค์เป็นพิษ แต่พระองค์ก็ทรงไม่ปฏิเสธ จึงทรงอาพาธด้วยภาวะที่ปัจจุบันเรียกว่า "อาหารเป็นพิษ" ซึ่งไม่น่าจะรักษายาก แต่พระองค์ก็ทรงปฏิเสธที่จะรับการรักษา และทรงดำเนินเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไปจนวาระสุดท้าย ซึ่งพระองค์ทรงมีปัจฉิมวาจา (ปัจฉิมโอวาท) ว่า
"ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนพวกเธอ ทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
พวกเธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและผู้อื่นให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด".
แล้วพระองค์ก็ทรงดับขันธ์ปรินิพพานใต้ต้นสาละคู่ ณ สาลวโนทยาน แขวงเมืองกุสินารา ในประเทศอินเดีย.
พระองค์ทรงดับขันธ์ใต้ต้นสาละ เช่นเดียวกับเมื่อพระองค์ประสูติใต้ร่มต้นสาละ ในสวนป่าลุมพินีวัน ซึ่ง ในปัจจุบัน อยู่ในแขวงเมืองบาสติ ประเทศเนปาล.
พระองค์ทรงตรัสรู้ และนิพพานจากกิเลส-ตัณหา-อุปาทานใต้ร่มต้นโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แห่งอุรุเวลาเสนานิคม ในประเทศอินเดีย.
จึงถือได้ว่า ช่วงสำคัญๆ แห่งชีวิตของพระพุทธองค์ ล้วนอุบัติขึ้นในป่า (สวนป่า) ในธรรมชาติ โดยธรรมชาติ และตามธรรมชาติโดยแท้.
ท่านอาจารย์พุทธทาสจึงเน้นย้ำว่า "ธรรมะ" หมายถึง ธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ การทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ และผลที่ได้รับจากการทำ (และไม่ทำ) หน้าที่นั้น.
"ความตาย" และ "การตาย" จึงเป็นเรื่องธรรมชาติ-ธรรมดา เมื่อมีการเกิด ก็ต้องมีการแก่ การเจ็บ และการตาย เป็นธรรมดา หรือเป็นธรรมชาติ นั่นเอง ดังแผนภูมิที่ 3.
"การตาย" ในพุทธศาสนาแบบทิเบต
"คัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต" เป็นหนังสือที่ว่าด้วยการตายของคนอย่างละเอียดลออเล่มหนึ่งในจำนวนไม่กี่เล่มในโลกนี้ และอาจกล่าวได้ว่า คัมภีร์นี้เป็นสิ่งที่ใช้เจริญมรณานุสสติ (มรณสติ) ได้เป็น อย่างดี.
"คัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต" เน้นเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดไปในภพภูมิต่างๆ พุทธศาสนาแบบทิเบต (นิกายวัชรยาน) จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวของการตายแล้วเกิดใหม่ แม้แต่ลามะผู้ใหญ่ (พระสงฆ์อาวุโส) ที่บรรลุธรรมแล้ว เช่น ทะไลลามะ ปันเชนลามะ เป็นต้น.
ในวัฒนธรรมทิเบต ความตายไม่ใช่เรื่องที่น่าหวาดหวั่น คนที่ใกล้ตายจะได้รับการบอกว่า เขากำลังจะตาย เพราะนี่เป็นโอกาสสำคัญที่สุดที่ญาติสนิทมิตรสหายที่แท้จริง จะได้แสดงความจริงใจและความไว้วางใจกัน ไม่ใช่การเล่นเกมเอาใจหรือให้ความหวังผิดๆ การบอกข่าวความตายจึงเป็นเรื่องน่ายินดี เป็นการสัมผัสกับความจริงขั้นสุดท้าย ซึ่งงดงามมาก.
ท่าน โชวเจียม ทรุงปา อาจารย์สอนพระพุทธศาสนาแบบทิเบตที่มีชื่อเสียงมากในประเทศสหรัฐ- อเมริกา กล่าวว่า
"การบอกคนกำลังจะตายถึงความจริงนั้นสำคัญมาก เพราะความตายจะไม่ใช่สิ่งลึกลับอีกต่อไป แต่เป็นประสบการณ์จริงๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังเช่น 'ความตายกำลังจะเกิดขึ้น แต่เราเป็นเพื่อนของเธอ เราจะอยู่กับเธอเฝ้าดูเธอ เรารู้ว่าเธอกำลังจะตาย และเธอก็รู้ว่าเธอกำลังจะตาย เราได้มาบรรจบกัน ณ จุดนี้แล้ว' นี่เป็นการแสดงออกซึ่งมิตรภาพอันละเอียดอ่อนและดีที่สุด...
การพูดความจริงกับคนใกล้ตาย จะทำให้เขาอบอุ่น เชื่อใจ แล้วไว้วางใจเรา การพูดกับคนใกล้ตายก็เหมือนพูดกับตนเอง ถ้าเรามั่นคง ไม่กลัวตาย ก็จะทำให้ดวงใจของเรากับคนใกล้ตายเปิดเข้าหากันอย่างปกติที่สุด แล้วเราก็ค่อยๆ พูดนำจิตเขาเข้าสู่อนัตตภาวะ หรือพุทธภาวะ เป็นขั้นๆ เพื่อให้จิตเขาเข้าสู่ภาวะนั้น ให้อยู่ในภาวะปัจจุบัน และปล่อยวางทุกอย่าง... ."
การ "บอกทาง" ให้แก่คนใกล้ตายในวัฒนธรรมทิเบต จะเริ่มตั้งแต่เนิ่นๆ ตั้งแต่คนเจ็บหนักยังมีสติ สัมปชัญญะดีอยู่ ซึ่งต่างกับในไทย ที่การ "บอกทาง" มักจะทำกันเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถรับรู้อะไรได้แล้ว (กำลังตายแล้ว).
เพราะคนไทยจำนวนมากยังถือว่า การบอกความจริง (ความใกล้ตาย) หรือการ "บอกทาง" แก่ผู้ป่วย เป็นการ "แช่ง" หรือบั่นทอนกำลังใจของผู้ป่วย ดังนั้นการบอกทาง เช่น "บอกอรหัง" จึงมักเป็นการบอกเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถรับรู้ หรือไม่เข้าใจความหมายแล้ว (คนไทยพุทธจำนวนมากก็ไม่เข้าใจว่า "บอกอรหัง" นั้นหมายความว่าอย่างไร) ดังนั้นการ "บอกอรหัง" จึงทำกันสักว่าเป็นพิธีกรรมโดยไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ใกล้ตายเลย.
"การตาย" ในพุทธศาสนานิกายเซน
ในหนังสือ "วงล้อแห่งความตาย" (The Wheel of Death) ของท่านฟิลิป คาปโล (Philip Kapleau) อาจารย์ในพุทธศาสนานิกายเซน ได้กล่าวถึงปรมาจารย์ในนิกายเซนว่า ทุกท่านล้วนเผชิญกับวาระสุดท้ายด้วยความสงบ หรือแม้กระทั่งด้วยการหัวเราะ อย่างไม่หวั่นเกรงความตาย เช่น
หลวงจีนเว่ยหล่าง หรือฮุยเหนิง ประมุขแห่งนิกายเซนองค์ที่ 6 ขณะที่ท่านมีอายุได้ 76 ปี ท่านได้กล่าวกับพระที่มาประชุมอยู่ร่วมกันว่า "เราได้ตัดสินใจที่จะละโลกนี้ไปในเดือนแปด" เมื่อพระเหล่านั้น ได้ยินต่างก็ร้องไห้กันยกใหญ่.
ท่านจึงถามพระเหล่านั้นว่า "พวกเธอร้องไห้เพื่อใครกัน หรือว่าพวกเธอนึกเป็นห่วงฉัน เพราะคิดว่าฉันไม่รู้ว่าฉันกำลังจะไปไหน ถ้าฉันไม่รู้ ฉันคงไม่จากพวกเธอไปหรอก สิ่งที่พวกเธอกำลังร้องไห้เป็นห่วงฉันอยู่นั้นก็คือ การที่พวกเธอเองนั่นแหละไม่รู้ว่าฉันจะไปไหน... พวกเธอควรจะรู้ว่า สภาวธรรมที่แท้จริงนั้นไม่มีการเกิดการตาย ไม่มีการไปหรือการมา..."
ในวันที่ท่านมรณภาพ ท่านได้กล่าวแก่สานุศิษย์ว่า
"พวกเธอจงรักษาตัวให้ดี ฉันกำลังจะจากพวกเธอไปแล้วในวันนี้ หลังจากที่ฉันละโลกนี้ไปแล้ว ขอให้พวกเธอจงอย่าร้องไห้เหมือนชาวบ้านที่ติดโลก พวกเธอจงอย่ารับสิ่งปลอบขวัญหรือเงินทอง เหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ขอให้พวกเธอจงอย่าไว้ทุกข์ เพราะถ้าทำเช่นนั้นจะไม่ถูกต้องตามหลักธรรมะ (หลักธรรมชาติ) ที่แท้จริง
ฉันจะไม่ถือว่าพวกเธอเป็นศิษย์ของฉัน ถ้าหากพวกเธอขืนทำสิ่งต่างๆเหล่านั้น
ขอให้พวกเธอจงประพฤติปฏิบัติเสมือนว่าฉัน ยังอยู่กับเธอที่นี่ จงปฏิบัติซาเซน (สมาธิ) ด้วยกัน เมื่อพวกเธอเข้าถึงความสงบ ไม่ว่าจะมาหรือจะไป จะถูกหรือจะผิด และไม่มีการอยู่หรือไปแล้ว ก็เป็นวิถีทางที่ยิ่งใหญ่
ขอให้พวกเธอจงประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักของพระธรรม เสมือนกับที่พวกเธอเคยปฏิบัติเมื่อครั้งที่ฉันยังอยู่กับพวกเธอ...".
หลังจากที่ท่านกล่าวจบแล้ว ท่านก็ไม่กล่าวอะไรอีกต่อไป แล้วท่านก็มรณภาพอย่างสงบ.
ในศาสนาพุทธนิกายเถรวาท (หินยาน) ในประเทศไทย เราก็เคยมี "หลวงปู่" "หลวงตา" "หลวงพ่อ" หลายรูปที่ปลงสังขาร (กำหนดวันตายของตน) แล้วก็มรณภาพในวันที่กำหนดนั้นอย่างสงบ ในท่านั่งสมาธิบ้าง ในท่านอนบ้าง ตามที่ท่านปรารถนา.
นี่คือการ "ตายอย่างมีสติ" ดังที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้เล่าถึง "วัฒนธรรมการตายของพุทธบริษัท".
วัฒนธรรมการตายของพุทธบริษัท
ท่านอาจารย์พุทธทาสได้เล่าถึง “วัฒนธรรมการตายของพุทธบริษัท” ไว้ดังนี้
"สมัยเมื่ออาตมายังเป็นเด็กเล็กๆ โยมแม่เล่าให้ฟังถึงการตายของตา ตาได้ตายอย่างวัฒนธรรมของพุทธบริษัท ตามประเพณีวิธีของพุทธบริษัท
ตาเป็นคนแก่อายุมากแล้ว แต่ไม่ใช่แก่หง่อม
เมื่อถึงเวลาที่จะตาย แกบอกว่า ไม่กินอาหารแล้ว กินแต่น้ำและยา ต่อมาบอกว่า ยาก็ไม่กินแล้ว กินแต่น้ำ
พอถึงวันที่ตาย แกนั่งพูดกับลูกหลานรวมทั้งโยมแม่ด้วย ถึงเรื่องที่จะตาย แล้วก็ไล่คนที่ร้องไห้ออกไป คงเหลืออยู่คนเดียวที่กล้า ที่บังคับตนเองได้ ที่ไม่ร้องไห้ แล้วแกพูดตามที่จะพูด ซึ่งก็หลายนาทีอยู่เหมือนกัน แล้วจึงขอนิ่งแล้วขอตาย
นี่เป็นวิธีตายตามธรรมเนียมโบราณของพุทธบริษัทที่ดี ที่ประพฤติที่อบรมกันมาอย่างดี เขาทำได้แม้กระทั่งว่าจะตายลงในการหายใจครั้งไหน เป็นการหายใจครั้งสุดท้ายแบบปิดสวิตซ์ไฟฟ้า...
เดี๋ยวนี้เราไม่เป็นอย่างนั้น ไม่ประสีประสากับการเป็นอย่างนั้น มีการต่อสู้ดิ้นรนอย่างผิดๆ ที่จะไม่ให้ตายเอาไว้เรื่อยๆ มันก็ไม่มีที่จะตายอย่างปิดสวิตซ์ไฟได้".
การกำหนดวันตายและการตายอย่างมีสติ (รู้ตัวตลอดเวลา) อย่างสงบ (ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น) อย่างธรรมชาติ โดยธรรมชาติ และตามธรรมชาติ จึงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะพุทธบริษัทในฝ่ายบรรพชิตเท่านั้น ในฝ่ายฆราวาสที่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมมาอย่างดี ก็สามารถกระทำได้เช่นเดียวกัน ดังที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้ยกตัวอย่างการตายของคุณตาท่าน อันที่จริง ยังมีฆราวาสในสมัยก่อนอีกจำนวนมากที่ตายอย่างมีสติได้เช่นนี้.
การตายแบบฝรั่ง
ในปัจจุบัน ชาวไทยพุทธจำนวนมากถูกมอมเมาให้ชอบ "การตายแบบฝรั่ง" ที่ถือว่า "การตายที่ดีที่สุดคือ การตายภายใต้การตรวจรักษาอย่างเต็มที่ ที่ไม่มีวิธีการอื่นใดอีกแล้วที่จะทำต่อไปอีกได้ จึงยอมให้ 'ความตาย' เกิดขึ้น" ดังที่ได้ทำกับท่านอาจารย์พุทธทาส และกับผู้ป่วยอีกมากมาย.
ในปัจจุบัน คนไทยจำนวนไม่น้อยจึงชอบตายที่โรงพยาบาล ยิ่งได้ตายในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก (ICU หรือ intensive care unit) ยิ่งรู้สึกว่าโก้เก๋ เพราะคิดว่าได้รับการรักษาอย่างถึงที่สุดแล้ว.
แต่คนเหล่านั้นไม่รู้หรอกว่า ผู้ป่วยที่อยู่ในไอซียู (ICU) ที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ท่อให้อาหาร ท่อสวนปัสสาวะและสายระโยงระยางต่างๆ นั้น ทรมานเพียงใด.
ผู้ป่วยที่ตายในไอซียู จึงเป็น "ผู้ป่วยที่ถูกทรมานจนตาย" นั่นเอง.
"การตายในโรงพยาบาล" เกือบทั้งหมดจึงเป็นการตายที่ผิดธรรมดา-ผิดธรรมชาติ และตายโดยน้ำมือผู้อื่น (น้ำมือแพทย์และพยาบาลผู้หวังดีหรือที่ทำตามความปรารถนาของญาติผู้ป่วย) ซึ่งการตายแบบนี้ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานเรียกว่า "ตายโหง".
การแพทย์แผนปัจจุบัน (แผนฝรั่ง) ได้ทำให้คนฝรั่งจำนวนมากกลัว "กระบวนการยืดการตาย" ในโรงพยาบาล ในระยะ 30-40 ปีมานี้ จึงมีการทำ "พินัยกรรมชีวิต" (living wills) หรือ "คำสั่งการรักษาล่วงหน้า" (advanced medical directives) เพื่อไม่ให้แพทย์ "ยืด" หรือ "ยื้อ" การตายของตน และผลักดันจนมีการออกกฎหมายให้แพทย์ต้องยอมรับ "คำสั่งการรักษาล่วงหน้า" ของประชาชนและผู้ป่วยในระยะ 10-20 ปีนี้ แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่เรื่อย มา เช่น เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551.
อดีตครูชาวฝรั่งเศส อายุ 52 ปี นางชองตาล เชอบิเร่ (Chontal Sebire) ซึ่งป่วยด้วยโรคมะเร็งที่โพรงจมูกมาเกือบ 8 ปี จนจมูกของเธอกลายเป็นเนื้อก้อนใหญ่เกือบเต็มใบหน้า ดันลูกตาข้างหนึ่งของเธอจนถลนออกมานอกเบ้า ทำให้เปลือกตาข้างนั้นปิดตาไม่ได้ และเจ้ามะเร็งร้ายยังทำลายกระดูกใบหน้า ของเธอทั้งหมด จนเธอได้รับความทุกข์ทรมานมาก.
เธอจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลสั่งให้แพทย์ ช่วยให้ยาแก่เธอ ให้เธอได้ตายอย่างสงบและพ้นจากความทุกข์ทรมานเสียที หลังจากการพิจารณาอย่างยืดเยื้อ ศาลได้ปฏิเสธคำร้องของเธอ และ 2 วันต่อมา (วันที่ 19 มีนาคม 2551) ก็มีผู้พบเธอเสียชีวิตอยู่ในบ้านของเธอ โดยไม่รู้สาเหตุ (น่าจะเกิดจากการ ฆ่าตัวตายด้วยสารพิษหรือกินยาเกินขนาด) ซึ่งจะต้องมีการชำแหละศพตรวจหาสาเหตุและมีการสืบสวน สอบสวนดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องต่อไป.
ชาวฝรั่งเศสจำนวนมากได้ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์คำตัดสินของศาล ที่ปล่อยให้ผู้ที่ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสต้องจบชีวิตตนอย่างลำบากและอย่างผิดกฎหมาย.
อันที่จริง เมื่อ พ.ศ. 2546 ก็มีหนุ่มฝรั่งเศสคนหนึ่ง อายุ 22 ปี ได้ขอร้องต่อศาล ขอ "สิทธิที่จะตาย" (the right to die) หลังจากทนทุกข์ทรมานอย่างมาก จากอุบัติเหตุจราจรจนช่วยตนเองไม่ได้ หูหนวก เป็นใบ้ และเป็นอัมพาต แต่ศาลปฏิเสธ.
แม่ของผู้ป่วยจึงให้ยานอนหลับแก่ลูกจนลูกหมดสติ และต่อมา แพทย์ผู้รักษาตัดสินใจยุติเครื่องช่วยชีวิตต่างๆ จึงเกิดเป็นคดีที่ยืดเยื้อ จน 2 ปีต่อมา สภาฝรั่งเศสต้องออกกฎหมายอนุญาตให้แพทย์สามารถยุติเครื่องช่วยชีวิตต่างๆ ในผู้ป่วยที่หมดสติและหมดหวังได้ แต่ไม่อนุญาตให้แพทย์ช่วยผู้ป่วย (ที่ยังไม่หมดสติ) ตายอย่างสงบได้.
กรณีของนางชองตาล เชอบิเร่ จึงได้กระตุ้นให้ชาวฝรั่งเศสจำนวนมากออกมาเรียกร้อง "สิทธิที่จะตาย" เพื่อพ้นจากความทุกข์ทรมานอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อมีกรณีที่คล้ายกันเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านในวันเดียวกัน แต่เป็นที่ชื่นชมต่างกันอย่างสิ้นเชิง.
นั่นคือ นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศเบลเยียม นายฮูโก คลอส (Hugo Claus) อายุ 78 ปี ได้จบชีวิตของตนเองอย่างสงบโดยการกินยานอนหลับที่แพทย์จัดเตรียมไว้ให้ตามความปรารถนาของผู้ป่วยที่ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่จนถึงระยะสุดท้ายของโรคสมองเสื่อม (Alzheimers disease) โดยภรรยาและลูกหลานก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา และแพทย์ก็ได้จัดการให้ตามความปรารถนาของผู้ป่วยที่กำหนดวันและสถานที่ตายของตนอย่างชัดเจน.
เพราะในกฎหมายของเบลเยียม แพทย์สามารถให้ยาแก่ผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยตายอย่างสงบได้ แต่ผู้ป่วย ต้องมีสติสัมปชัญญะ และสามารถร้องขอซ้ำๆกันหลาย ครั้งอย่างมีเหตุผลและมั่นคงหนักแน่น และแพทย์ต้องเห็นตรงกันว่าผู้ป่วยอยู่ในการเจ็บป่วยระยะสุดท้าย ที่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดไม่ว่าทางกายหรือทางใจ.
แต่นายฮูโก คลอส ไม่ได้อยู่ในระยะสุดท้ายของโรค อย่างไรก็ตาม กระบวนการยุติธรรมและสังคมเบลเยียม ก็ยอมรับและชื่นชมการตัดสินใจของนายฮูโก คลอส ที่ไม่ยอมให้ตนเองต้องตายอย่างไม่มีศักดิ์ศรี และเป็นภาระเบียดเบียนตนเอง ครอบครัวและสังคม ถ้าปล่อยให้ตนเองเข้าถึงระยะสุดท้ายของโรค ที่ตนจะไม่มีสติสัมปชัญญะพอที่จะร้องขอการตายอย่าง สงบและอย่างมีศักดิ์ศรีได้.
ตัวอย่างผู้ป่วยฝรั่งทั้ง 2 คน แสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรมการตายของฝรั่งที่ต้องการ "ยืด" หรือ "ยื้อ" การตายออกไปให้นานที่สุด ทำให้คนฝรั่งเริ่มตระหนักถึงความทุกข์ทรมานที่ผู้ป่วยได้รับ จึงพยายามออกกฎเกณฑ์และกฎหมายออกมา เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้ตายอย่างสงบและไม่ทรมานมากนัก.
ในบางประเทศ เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก สวิตเซอร์แลนด์ ถึงกับอนุญาตให้แพทย์ให้ยาแก่ผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยตายโดยไม่ทุกข์ทรมานได้.
แต่การตายดังกล่าว ยังเป็นการตายที่ผิดธรรมดา-ผิดธรรมชาติ ไม่ใช่การตายตามธรรมชาติ และโดยธรรมชาติแบบ "วัฒนธรรมการตายของพุทธบริษัท" ซึ่งเป็น "การตายอย่างมีสติ" ไม่ใช่การฆ่าตัวตายเองหรือการฆ่าตัวตายโดยแพทย์ช่วย (physician-assisted suicide) หรือการให้แพทย์ทำการุณยฆาต (mercy killing, active euthanasia) แต่อย่างใด.
สันต์ หัตถีรัตน์ พ.บ.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 5,506 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้