ช่วงที่ประทับอยู่ในเมืองไทยทรงปฏิบัติภารกิจมากมายจนทำให้พระอนามัยอ่อนแอลง แพทย์ได้ถวายคำแนะนำให้เสด็จไปรักษาพระองค์ที่ยุโรป พระองค์ทรงปฏิบัติตามโดยเสด็จไปยังยุโรปในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1924.
ต้นปีค.ศ. 1925 พระองค์ต้องนิวัติกลับประเทศไทยอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ช่วงนี้พระองค์ทรงประทับอยู่เมืองไทยต่ออีกระยะหนึ่ง ได้ประทานปาฐกถาแก่แพทย์หลายครั้ง. นอกจากนี้ยังเสด็จไปทรงเปิดโรงพยาบาล Mac Cormick ที่เชียงใหม่ด้วย. (โรงพยาบาลนี้ตั้งขึ้นโดยทุนของ Mac Cormick เศรษฐินีชาวอเมริกัน).
20 กันยายน ค.ศ. 1925 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระราชสมภพที่เยอรมนี.
ต่อมามีผู้เสนอว่าพระองค์มิใช่แพทย์อาจยังไม่เข้าใจการสาธารณสุขอย่างถ่องแท้ ค.ศ. 1926 พระองค์จึงเสด็จกลับไปศึกษาแพทย์ต่อที่มหาวิทยาลัย Harvard.
5 ธันวาคม ค.ศ. 1927 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชสมภพที่สหรัฐอเมริกา.
ค.ศ. 1928 ปลายปีการศึกษาสุดท้ายทรงประชวรเป็นไส้ติ่งอักเสบต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน ทางมหาวิทยาลัยแสดงความจำนงที่จะถวายปริญญาโดยไม่ต้องสอบไล่เนื่องจากผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีมาตลอด แต่พระองค์ไม่ทรงยินยอมและเข้าสอบไล่เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ผลปรากฏว่าทรงจบการศึกษาขั้นเกียรตินิยมชั้น Cum Laude อันที่จริงพระองค์ ตั้งพระทัยที่จะศึกษาต่อด้านกุมารเวชศาสตร์ แต่พระอนามัยไม่สู้ดีนักจึงทรงพาครอบครัวเดินทางกลับประเทศไทยในปีนั้นเอง.
หลังเสด็จกลับพระองค์มีพระประสงค์จะปฏิบัติงานเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ทำไม่ได้เนื่องจากขัดราชประเพณี เพราะแพทย์เป็นอาชีพของสามัญชนเท่านั้น พระองค์ถึงกับดำรัสว่า
"เมืองไทยเราถ้าเจ้านายทรงทำหน้าที่อย่างสามัญชนบ้าง เขาว่าเสียพระเกียรติ ฉันรู้สึกว่ามัวแต่รักษาพระเกียรติอยู่ก็ไม่ต้องทำอะไรกัน".
เมื่อทรงทำที่โรงพยาบาลของไทยไม่ได้จึงเสด็จไปที่โรงพยาบาล Mac Cormick ตามคำทูลเชิญใน วันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1929 แต่ปฏิบัติงานได้ไม่ถึงเดือนพระอนามัยเริ่มทรุด 18 พฤษภาคม พระองค์จึงเสด็จกลับกรุงเทพฯ ไม่กี่วันต่อมาก็ทรงพระประชวร เป็นเวลา 4 เดือนเศษจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในวันที่ 24 กันยายน ปีนั้นเองด้วยพระชนมายุเพียง 37 พรรษา 8 เดือนกับอีก 23 วัน.
30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1929 รัชกาลที่ 7 สถาปนาพระองค์เป็นสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ต่อมา 25 มีนาคม ค.ศ. 1934 รัชกาลที่ 8 สถาปนาพระองค์เป็นสมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์.
27 เมษายน ค.ศ. 1950 ได้มีการก่อสร้าง พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระราชบิดาขึ้น ณ ใจกลางของโรงพยาบาลศิริราชเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อชาวไทยทั้งมวล วันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1953 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯเสด็จพระราชดำเนินมายังโรงพยาบาลศิริราช เพื่อทรงวางพวงมาลาถวายสักการะพระราชานุสาวรีย์ เนื่องในวันตรงกับวันสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชบิดา นับแต่นั้นมาก็ถือให้วันดังกล่าวเป็น "วันมหิดล".
แนวทางการให้ทุนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศของพระองค์เกิดประโยชน์อย่างมากต่อประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯให้จัดตั้ง "ทุนอานันทมหิดล" ขึ้นในปี ค.ศ. 1953 และอีก 4 ปีต่อมาทรงพระราชทานนามเป็น "มูลนิธิอานันทมหิดล" มอบทุนในสาขาต่างๆ แก่พสกนิกรเพื่อไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ แม้จะไม่ผูกพันเป็นลายลักษณ์อักษรแต่ส่วนใหญ่ก็นำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนาประเทศ.
เนื่องจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ขยายสาขาการเรียนการสอนเพิ่มเติม อธิการบดีในขณะนั้นคือ ศ.นพ.ชัชวาล โอสถานนท์ จึงได้ขอพระราชทานนามใหม่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเป็น "มหาวิทยาลัยมหิดล" มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1969.
9 มิถุนายน ค.ศ. 1970 รัชกาลที่ 9 สถาปนาพระองค์เป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (ในวันเดียวกันนี้เองสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี).
ค.ศ. 1991 องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ยกย่องให้พระองค์เป็น "บุคคลสำคัญของโลก สาขาวิทยาศาสตร์".
ค.ศ. 1992 ในวโรกาสครบรอบ 100 ปีวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงจัดตั้งรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลขึ้นโดยเป็นรางวัลระดับนานาชาติ ทางคณะกรรมการได้นำคำคมที่พระองค์ทรงดำรัสไว้ว่า "Real success exists not in learning, but in its application for the benefit of mankind" เป็นหลักการใช้พิจารณารางวัล กล่าวคือผู้ที่ได้รับรางวัลจะต้องเป็นผู้ที่นำความรู้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อคนจำนวนมาก.
รางวัลนี้มี 2 สาขาด้วยกันคือสาขาการแพทย์ และสาขาสาธารณสุข สิ่งที่ได้รับประกอบด้วยเหรียญรางวัล, ประกาศนียบัตรพร้อมเงิน 50,000 เหรียญสหรัฐฯ มีการมอบรางวัลนี้ในเดือนมกราคมของทุกปี โดยผู้ที่ได้รับรางวัลจะมีโอกาสเข้าเฝ้าและรับพระราชทานรางวัลจากพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย.
คุณานุปการที่พระองค์ทรงกระทำไว้จึงได้รับการยกย่องให้เป็นองค์บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย.
ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์ พ.บ.
โรงพยาบาลบ้านแหลม, จังหวัดเพชรบุรี
E-mail : [email protected]<
www.geocities.com/tantanodclub
- อ่าน 8,845 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้