การลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชนให้ลงมาอยู่ในระดับที่ไม่มีผลกระทบที่รุนแรง ถือเป็นวัตถุประสงค์ที่สำคัญประการหนึ่งของการจัดให้มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการวิจัยเพื่อติดตามดูผลในเรื่องดังกล่าวว่าประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงไร โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งก็คือ เรื่อง "ผลกระทบของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและโครงการ 30 บาทฯ ที่มีต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชน" ที่ดำเนินการ โดย ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง และคณะ
ข้อค้นพบที่สำคัญคือ การมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ทำให้สัดส่วนของ "คนจน" จากการรักษาพยาบาลลดลงประมาณเกือบ 1 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 16.7 ของคนจนทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มีนัยสำคัญอย่างมากในการแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศ
ในภาพที่ 1 และ 2 แสดงให้เห็นแนวโน้มค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ในปี พ.ศ. 2542- 2545 และครัวเรือนที่ยากจน ในช่วง 10 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2535-2545 ที่เป็นไปในทิศทางร่วมกันคือ ลดลงชัดเจนในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นปีแรกในการดำเนินโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ผู้ศึกษาอธิบายความเกี่ยวข้องระหว่างแนวโน้มดังกล่าวกับโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าว่า สัดส่วนครัวเรือนยากจนที่ลดลงเป็นลำดับในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2545 เป็นผลจากการขยายโครงการ สปร. ให้ครอบคลุมเด็กและผู้สูงอายุในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2537 และการปรับวิธีการจัดสรรงบ สปร. ระหว่างปี พ.ศ. 2541-2543 และแนวโน้มที่ลดลงต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2545 เป็นภาพตัวแทนหลังยุคที่เกิดระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรืออาจอนุมานได้หยาบๆ ว่า ได้ทำให้ลดปัญหาความยากจนที่เกิดจากการรักษาพยาบาลลงได้เกือบครึ่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยให้ความเห็นว่า แม้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าลดจำนวนคนจนได้ แต่การเปลี่ยนทิศทางมาสู่การเป็นโครงการช่วยเหลือเฉพาะคนจนจะไม่เกิดประโยชน์ เพราะประสิทธิภาพดังกล่าวเกิดจากรูปแบบการบริหารในลักษณะ "เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข" ดังที่เป็นอยู่ตั้งแต่แรกเริ่ม
นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังระบุว่า หลักประกันสุขภาพที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายผู้ป่วยนอกยังมีความสำคัญ เพราะข้อมูลจากภาวะเศรษฐกิจและสังคมแสดงให้เห็นว่า ครัวเรือนส่วนใหญ่ที่ตกหล่มความยากจนเนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพนั้น มีสาเหตุจากการเจ็บป่วยด้วยโรคทั่วๆ ที่ไปรักษาในฐานะผู้ป่วยนอก รวมทั้งโรคเรื้อรังและต้องไปรับการรักษาบ่อยๆ มากกว่าการนอนโรงพยาบาล หรือเป็นผู้ป่วยในด้วยโรคหนึ่งโรคใด ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขมักให้ความสำคัญกับการประกันความเจ็บป่วยด้วยโรคที่รุนแรงที่มีค่าใช้จ่ายสูง เพราะเชื่อกันว่ามีโอกาสทำให้ครัวเรือนเกิดภาวะล้มละลายมากกว่า
ทั้งนี้ งานศึกษานี้สอดคล้องกับของผลวิจัยที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) นำเสนอเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ที่ระบุว่า โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ช่วยลดจำนวนคนจนลง 3 แสนคน และทำให้เกิดความเท่าเทียมในสังคมเพิ่มขึ้น
*งานวิจัยชิ้นนี้ ได้รับทุนอุดหนุนจาก สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แหล่งข้อมูลหลักได้จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ และข้อมูลเพิ่มเติมจาก การสำรวจอนามัยและสวัสดิการ สำนักงานสถิติแห่งชาติ
- อ่าน 2,278 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้