แผนรับภัยพิบัติของโรงพยาบาล (ต่อ)
8. ระบบการประชาสัมพันธ์และการดูแลสื่อสารมวลชน
ในโลกปัจจุบัน ระบบการประชาสัมพันธ์มีส่วน ช่วยอย่างมากในการลดหรือเพิ่มความยุ่งยากให้แก่โรงพยาบาลและบุคลากร โดยเฉพาะในภาวะภัยพิบัติที่ประชาชน (รวมทั้งบุคลากรในโรงพยาบาลเอง) ต่าง ก็ตื่นกลัวและไม่แน่ใจในความปลอดภัยของตนเองด้วย.
การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้อง นอกจากจะช่วยให้การประกาศใช้แผนรับภัยพิบัติแบบต่างๆ ของโรงพยาบาลถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์แล้ว ยังช่วยให้การประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลต่อบุคลากรของตนเอง และต่อประชาชนอื่นๆ ที่สอบถามเข้ามาที่โรงพยาบาลเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสมด้วย.
นอกจากนั้น การประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลผ่านสื่ออื่นๆ เช่น จส. 100 ร่วมด้วยช่วยกัน วิทยุชุมชน ที่สามารถแพร่ข่าวได้ทันท่วงที จะช่วยลดความวิตกกังวลของประชาชนและญาติมิตรของผู้ป่วยลงได้ เพื่อไม่ให้บุคคลเหล่านั้นแห่กันมาที่โรงพยาบาล หรือโทรศัพท์เข้ามาที่โรงพยาบาลจนโทรศัพท์ "ล่ม".
อนึ่ง การแจ้งข่าวรวมทั้งการขอบริจาคเลือด แรงงาน และสิ่งของต่างๆ ผ่านทางสื่อ ก็อาจจะช่วยบรรเทาภาระของโรงพยาบาลในการเผชิญภัยพิบัติได้.
ในภาวะภัยพิบัติที่โรงพยาบาลต้องรับดูแลผู้เจ็บ/ป่วยเป็นจำนวนมาก สื่อสารมวลชนมักจะมาหา/ขอข่าวที่โรงพยาบาลตลอดเวลาหรือไม่เป็นเวลา โรงพยาบาลจำเป็นจะต้องจัดสถานที่ไว้ต้อนรับนักข่าว และจัดบุคลากรพร้อมข้อมูลคอยให้ข่าวและตอบข้อซักถามของนักข่าว ตามเวลาที่กำหนดไว้ เพื่อความสะดวกของทั้ง 2 ฝ่าย และไม่เป็นภาระแก่โรงพยาบาลมากนัก อีกทั้งยังป้องกันความขัดแย้งอันอาจจะทำให้เกิดการทำข่าวในแง่ลบต่อโรงพยาบาลได้.
9. ระบบการดูแลญาติมิตรของผู้ป่วยหรือผู้สูญหาย
ในภาวะภัยพิบัติ ย่อมมีผู้เจ็บ/ป่วย และ/หรือผู้สูญหายจำนวนมาก ดังนั้น ญาติมิตรของผู้เจ็บ/ ป่วยหรือสูญหาย จะมาเยี่ยม/ตามหาบุคคลเหล่านั้นที่โรงพยาบาล.
โรงพยาบาลจึงจำเป็นต้องจัดสถานที่ไว้ต้อนรับประชาชนที่กำลังตื่นเต้นกังวลกับความเจ็บป่วย/สูญหายของบุคคลอันเป็นที่รักของตน เช่น
(1) การติดตั้งป้ายชื่อผู้เจ็บ/ป่วยขนาดใหญ่ไว้หน้าโรงพยาบาลเพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจหาชื่อญาติมิตรของตนได้ง่าย และรู้ว่าเจ็บป่วยรักษาตัวอยู่ที่ตึกใด หรือเก็บไว้ ณ ที่ใด หรือย้ายไปที่ใด โดย มีการเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนข้อมูลเหล่านั้นให้ทันสมัยอยู่เสมอ.
(2) การจัดบุคลากรที่ชำนาญในด้านการแนะนำ ปลอบโยน และสามารถลดความตื่นเต้นกังวลของญาติมิตรเหล่านั้นได้ ประจำอยู่ในสถานที่ใกล้ ที่ติดป้ายชื่อนั้น เพื่อให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งวิธีการติดต่อ/ติดตามบุคคลที่สูญหาย เป็นต้น.
(3) การประสานงานกับหน่วยงานที่มีความชำนาญกว่าในการติดต่อ/ติดตามบุคคลที่สูญหายมาประจำอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อช่วยบุคลากรในข้อ (2) ให้ทำหน้าที่ได้ดีขึ้น.
(4) การจัดหาที่นั่ง/ที่พัก น้ำดื่ม ยาดม การปฐมพยาบาล และสิ่งบรรเทาความตื่นเต้นกังวลต่างๆ สำหรับญาติมิตรผู้ป่วย/ผู้สูญหายที่เกิดอาการขึ้น เพื่อบรรเทาอาการเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องส่งไปที่ห้องฉุกเฉิน ที่กำลังแออัดด้วยผู้เจ็บ/ป่วยฉุกเฉินอยู่.
(5) การประสานงานกับสถานพยาบาลใกล้เคียง และหน่วยงานอาสาสมัครต่างๆ เพื่อจัดให้มีรายชื่อผู้เจ็บ/ป่วยฉุกเฉินในสถานพยาบาลนั้นๆ หรือที่หน่วยงานอาสาสมัครได้เคลื่อนย้ายผู้เสียชีวิตที่ทราบ และไม่ทราบชื่อไปไว้ยังที่ใดบ้าง ย่อมช่วยลดความโกลาหลอลหม่านของญาติมิตรของผู้เจ็บ/ป่วย หรือของผู้สูญหายลงได้.
10. ระบบการเก็บ/บันทึกข้อมูล การวิเคราะห์ การประเมินผล และการปรับปรุงแผน เพื่อเตรียมรับภัยพิบัติครั้งใหม่ได้ดีขึ้น
ในภาวะภัยพิบัติ ที่มีผู้เจ็บ/ป่วยจำนวนมาก การบันทึกชื่อ อายุ ที่อยู่ โทรศัพท์ ญาติที่ติดต่อได้ และรายละเอียดอื่นๆ ดังในการบันทึกข้อมูลของผู้ป่วยภาวะปกติ ไม่อาจจะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ หมดสติ หรือเสียชีวิตโดยไม่มีญาติ/ผู้รู้จัก.
ดังนั้น จึงควรมีแบบบันทึกสำหรับผู้ป่วยภัยพิบัติโดยเฉพาะเพื่อช่วยให้การบันทึกมีรายละเอียดที่จำเป็นที่สุดที่พอจะทำได้สำหรับติดตัวไปกับผู้ป่วย (ดูภาพที่ 2 ตัวอย่างบัตรผู้ป่วยฉุกเฉินหมู่ ใน "ภัยพิบัติ ตอนที่ 5" ใน "คลินิก" เดือนตุลาคม 2549).
และมีสมุดบันทึกอีกเล่มหนึ่งบันทึกชื่อผู้ป่วย (หรือถ้าไม่ทราบชื่อ ก็บันทึกเพศ อายุ (ที่อนุมานได้) ลักษณะสำคัญที่เป็นจุดสังเกต) เรียงลำดับตามหมาย เลขผู้ป่วยฉุกเฉินหมู่ (ตั้งแต่เลขที่ 1 เป็นต้นไป ตามลำดับวันและเวลาที่มาถึงโรงพยาบาล) รวมทั้งรายการสิ่งของมีค่าที่ติดมากับผู้ป่วยด้วยถ้าทำได้ (สิ่งของที่ติดตัวผู้ป่วยมา ควรมีการบันทึกรายการ และรวบรวมใส่ถุงที่ผูกปิดปากถุงที่ติดชื่อ/หมายเลขผู้ป่วยฉุกเฉินหมู่ไว้ ณ จุดคัดแยกผู้ป่วยที่โรงพยาบาล).
สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ทราบชื่อ ลักษณะสำคัญที่เป็นจุดสังเกตรวมทั้งสิ่งของที่ติดตัวผู้ป่วยที่เป็นจุดสังเกตได้ ควรจะบันทึกไว้ในสมุดบันทึก เพื่อให้ง่ายต่อการสืบหาญาติและต่อการค้นหาของญาติด้วย (สำเนารายชื่อ และจุดสังเกตของผู้ป่วยที่ไม่ทราบชื่อ จะเป็นสิ่งที่นำไปติด/ถ่ายทอดไว้ที่ป้ายบอกรายชื่อผู้ป่วยที่ หน้าโรงพยาบาลในข้อ 9 (1) เพื่อให้ญาติมิตรของผู้ป่วยติดตามหาได้ง่าย).
การบันทึกข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมเมื่อผู้ป่วยสามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้ และ/หรือญาติมิตรให้ข้อมูลเพิ่มเติม จะเป็นประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วย หาสาเหตุและกระบวนการในการเกิดภัยพิบัติ จุดแข็ง/จุดอ่อนในกระบวนการให้ความช่วยเหลือและอื่นๆ.
ควรมีการวางแผนการวิเคราะห์หาสถิติต่างๆ นอกจากในด้านของโรคภัยไข้เจ็บและการรักษาพยาบาลแล้ว ยังต้องวางแผนวิเคราะห์หาจุดบกพร่องในแผนเตรียมรับภัยพิบัติของโรงพยาบาล เพื่อการปรับปรุงแผนให้มีประสิทธิภาพ/ประสิทธิผลเพิ่มขึ้น.
แผนเตรียมรับภัยพิบัติของโรงพยาบาลตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 10 ควรได้รับการฝึกซ้อมเป็นประจำ อย่าง น้อยปีละ 2 ครั้ง ทั้งการฝึกซ้อมภายในโรงพยาบาลเอง และการฝึกซ้อมร่วมกับบุคลากรและองค์กรนอกโรงพยาบาล.
การฝึกซ้อมในระยะแรก อาจจะมีการบอกกล่าวและเตรียมการณ์ไว้ก่อน โดยทุกฝ่ายที่จะร่วมฝึกซ้อม รู้ตัวล่วงหน้า เมื่อการฝึกซ้อมในระยะแรก (ซึ่งอาจต้องทำอย่างต่อเนื่องและปรับปรุงกันประมาณ 3-4 ครั้งแล้ว) ควรจะมีการฝึกซ้อมการรับภัยพิบัติโดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เพื่อดูความพร้อมต่อการรับมือกับสถานการณ์จริงที่ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน (หรือไม่ทราบล่วงหน้า) และทำการปรับปรุงแผนจนบุคลากรและองค์กรทุกฝ่ายสามารถปฏิบัติตนตามแผนรับภัยพิบัติได้เป็นอย่างดี.
ควรจะตระหนักด้วยว่า แผนรับภัยพิบัติจะสามารถดำเนินการได้ดี และมีประสิทธิภาพเมื่อแผนรับภัยพิบัตินั้น
1. ง่าย : ใช้ภาษาง่ายๆ เป็นสิ่งที่บุคลากรส่วนใหญ่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำให้มากที่สุด และสามารถปฏิบัติได้ตลอด 24 ชั่วโมง (ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้า กลางวัน เย็น หรือกลางคืน).
2. ฝึก-สอบ-ปรับ : ผ่านการฝึกซ้อมเป็นประจำ ผ่านการทดสอบและได้รับการปรับปรุงอยู่เสมอให้สามารถดำเนินการได้โดยสะดวกรวดเร็ว และมีอุปสรรค/ความขัดแย้งน้อยที่สุด.
3. ยืดหยุ่น : แผนรับภัยพิบัติควรจะยืดหยุ่นได้ เพราะภาวะภัยพิบัติแต่ละครั้งมักจะต่างกันในด้านลักษณะ ปริมาณ และ/หรือสถานการณ์รอบข้างในขณะนั้น ความสามารถที่จะปรับเปลี่ยนแผนให้ยืดหยุ่นได้กับสภาวการณ์จึงเป็นสิ่งจำเป็นและทุกฝ่ายควรจะเข้าใจและยอมรับกันล่วงหน้าว่าอาจเป็นเช่นนั้นได้.
สันต์ หัตถีรัตน์ พ.บ.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 1 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้