นอกจากการวางแผนรับภัยพิบัติของโรงพยาบาล และการฝึกซ้อม-ทดสอบ-และปรับปรุงแผน จนสามารถปฏิบัติตามแผนได้อย่างรวดเร็วและมีข้อบกพร่องน้อยที่สุด (ตามที่ได้กล่าวไว้ในฉบับก่อนๆ) แล้ว
โรงพยาบาลยังต้องวางแผนป้องกันภัยพิบัติ และวางแผนฟื้นฟูหลังภัยพิบัติด้วย.
แผนป้องกันภัยพิบัติของโรงพยาบาล
แผนป้องกันภัยพิบัติของโรงพยาบาล แบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ
ก. แผนป้องกันภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล ซึ่งโรงพยาบาลส่วนใหญ่มักจะลืมวางแผนป้องกันภัยพิบัติในส่วนนี้ เพราะหน่วยงานอื่น (นอกโรงพยาบาล) ไม่อยาก (ไม่ค่อยกล้า) เข้ามายุ่มย่ามกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล เนื่องจากให้เกียรติ (หรือกลัว) แพทย์ เพราะคิดว่าแพทย์มีภูมิปัญญาสูงกว่าตน.
อันที่จริง โรงพยาบาลมีภาวะความเสี่ยงต่อภัยพิบัติภายในโรงพยาบาลมาก (มากกว่าบ้านและโรงงานโดยทั่วไป) เพราะโรงพยาบาลส่วนใหญ่มี
1. โครงสร้างที่ซับซ้อน เช่น ห้องตรวจ ห้องหัตถการ ห้องผ่าตัด ห้องคลอด ห้องตรวจพิเศษต่างๆ ห้องเอกซเรย์ ห้องตรวจเลือด/เพาะเชื้อ ห้องครัวใหญ่ ห้องซักผ้าใหญ่ที่ต้องใช้การอบไอน้ำฆ่าเชื้อโรค (จนหม้อน้ำเคยระเบิดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จนมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตและบาดเจ็บไปหลายราย) เป็นต้น.
2. บุคลากรและผู้ป่วยจำนวนมาก โดยเฉพาะในโรงพยาบาลใหญ่ทำให้โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดจากความแออัด จากความมักง่ายของบุคคลเพียงบางคน จากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนส่วนหนึ่ง จากความประมาทของคนเพียงคนเดียว หรืออื่นๆ ก็สามารถทำให้เกิดภาวะภัยพิบัติในโรงพยาบาลได้.
3. เชื้อโรคและสารพิษ เชื้อโรคจากผู้ป่วย จากขยะพิษ จากห้องปฏิบัติการ (ห้องแล็บ) และห้องทดลองต่างๆ รวมทั้งสารพิษนานาชนิด เช่น ยา สารกัมมันตภาพรังสี น้ำทิ้งที่ปนเปื้อนสารพิษ เป็นต้น.
4. เครื่องมือและอุปกรณ์อันตราย เช่น ถังก๊าซ (ออกซิเจน ก๊าซหุงต้ม) เครื่องไฟฟ้า/ แม่เหล็กไฟฟ้า เครื่องเอกซเรย์ เครื่องฉายแสง เป็นต้น.
5. อื่นๆ เช่น ห้องน้ำ ห้องส้วม เตียงผู้ป่วย ทางขึ้น-ลง ทางและบันไดหนีไฟ สายไฟ ท่อออกซิเจน ท่อก๊าซ ทางเดินจากโรงพยาบาลไปบ้านพัก มุมอับ/มุมเปลี่ยว/มุมเสี่ยง เป็นต้น.
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลร่วมกับบุคลากรในโรงพยาบาลและผู้ชำนาญในการหาและป้องกันจุดเสี่ยงและความเสี่ยงต่างๆในโรงพยาบาล จะต้องร่วมกันเสาะหาและพยายามกำจัดหรือบรรเทาความเสี่ยงเหล่านั้นให้ได้ เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติขึ้นในโรงพยาบาลได้.
บุคลากรในโรงพยาบาล ผู้ป่วยและประชาชนที่มาโรงพยาบาล และผู้รู้อื่นๆ ที่เห็นหรือสงสัยว่า จุดใดหรือสิ่งใดในโรงพยาบาล อาจจะเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติในโรงพยาบาลได้ ควรจะแจ้งให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้ทราบโดยเร็ว เพื่อจะพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าอาจจะเป็นเช่นนั้นได้หรือไม่ ถ้าได้ จะได้รีบแก้ไข เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติในโรงพยาบาลได้.
หมายเหตุ : ในขณะที่เขียนบทความนี้ (9 ธันวาคม พ.ศ. 2549) ได้เกิดเหตุไฟไหม้ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงมอสโคว์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 คน และมีผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดรักษาเรื่องการติดยา ประตูหน้าต่าง และทางหนีไฟจึงมีลูกกรงเหล็ก หรือปิดประตูลงกลอน เพื่อป้องกันผู้ป่วยหลบหนี เมื่อเกิดกรณีเพลิงไหม้ขึ้นจึงไม่สามารถหนีไฟออกมาได้ และเกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก.
โรงพยาบาลต่างๆ พึงตระหนักถึงภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในโรงพยาบาล และพยายามแก้ไขจุดอ่อน ต่างๆ ในโรงพยาบาล เช่น ถ้าจำเป็นต้องมีลูกกรงเหล็กที่หน้าต่างเพื่อป้องกันผู้ป่วยโรคจิตกระโดดตึก ก็ต้องหาวิธีการดับไฟ หรือหนีไฟ หรือเหตุฉุกเฉิน อื่นๆ ด้วย เป็นต้น.
ข. แผนป้องกันภัยพิบัตินอกโรงพยาบาล ภัยพิบัตินอกโรงพยาบาลในแต่ละท้องถิ่นย่อมแตกต่างกัน ในประเทศไทยโดยรวมแล้ว ภัยพิบัติที่สำคัญที่เคยมีการสำรวจไว้ได้แสดงไว้ในตารางที่ 6.
แต่ละโรงพยาบาลในแต่ละท้องถิ่นจึงต้องพิจารณาร่วมกับผู้นำท้องถิ่นถึงภัยพิบัติที่พบบ่อยในท้องถิ่นของตน และหาแนวทางร่วมกันในการป้องกันและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัตินั้นๆ เท่าที่จะทำได้ เช่น
ในเรื่องอุบัติภัยราจร โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ได้เป็น "หัวหอก" ในการประสานงานกับส่วนต่างๆ ในจังหวัด ให้มีการรณรงค์เรื่องการใส่ "หมวกกันน็อก" และการจัดระเบียบจราจรโดยการมีส่วนร่วมจากประชาชนและส่วนราชการอื่นๆ จนสามารถลดอุบัติภัยจราจรลงได้.
ในเรื่องอุทกภัย โรงพยาบาลในท้องถิ่นที่มีอุทกภัยซ้ำซาก โดยเฉพาะถ้าอุทกภัยนั้นมีผลกระทบต่อโรงพยาบาลโดยตรง (นั่นคือ น้ำท่วมโรงพยาบาลโดยเฉพาะชั้นล่างและชั้นใต้ดิน ทำให้เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เสียหาย อาจทำให้ต้องดับไฟฟ้าทั้งโรงพยาบาล ถ้าหม้อแปลงไฟหรือเครื่องปั่นไฟอยู่ในบริเวณที่น้ำท่วมถึง ซึ่งในกรณีเช่นนั้น จะทำให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วย เป็นไปอย่างยากลำบาก จนอาจต้องย้ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลไปยังที่อื่นได้).
โรงพยาบาลจึงต้องวางแผนป้องกันภัยพิบัติ นอกโรงพยาบาลที่อาจส่งผลกระทบถึงโรงพยาบาลได้ โดยการนำเครื่องมือเครื่องใช้ราคาแพงโดยเฉพาะที่เคลื่อนย้ายยากมาไว้ในชั้นบนที่น้ำไม่เคยท่วมถึง ปลั๊กไฟและสายไฟต่างๆ ในบริเวณที่น้ำอาจท่วมถึง ควรมีสวิตซ์ตัดไฟ (cut-out) ต่างหาก จะได้ไม่ต้องดับไฟทั้งตึกหรือทั้งโรงพยาบาล เครื่องมือเครื่องใช้ในบริเวณที่น้ำท่วมถึงควรทำด้วยวัสดุที่ทนน้ำได้ หรือเคลื่อนย้ายได้ง่าย ควรมีเรือท้องแบนหรือยานพาหนะที่สามารถลุยน้ำได้ประจำอยู่ในโรงพยาบาล โดยเฉพาะในช่วงที่อาจจะเกิดอุทกภัยโดยไม่คาดฝัน เป็นต้น.
นอกจากนั้น โรงพยาบาลในท้องถิ่นที่มีอุทกภัยซ้ำซาก ควรจะประสานงานและร่วมวางแผนกับหน่วยงานต่างๆ ในการป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากอุทกภัยที่มีต่อพี่น้องประชาชนในท้องถิ่น ของตน โดยเฉพาะในด้านโรคภัยไข้เจ็บ การขาดอาหารและน้ำสะอาด ความเครียด ความสับสน ความกลัว และอื่นๆ รวมทั้งการวางแผนจัดหน่วยรักษาพยาบาลเคลื่อนที่ เพื่อไปให้บริการแก่ผู้ป่วยและประชาชนที่ไม่สามารถเดินทางมายังโรงพยาบาลได้ เป็นต้น.
สันต์ หัตถีรัตน์ พ.บ.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 3,879 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้