แผนฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ
ในการวางแผนรับภัยพิบัติของโรงพยาบาล นอกจากจะวางแผนรับมือภัยพิบัติที่เกิดขึ้นและวางแผนป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภัยพิบัติแล้ว โรงพยาบาลจะต้องวางแผนฟื้นฟูหลังภาวะภัยพิบัติด้วย.
แผนฟื้นฟูหลังภาวะภัยพิบัติ อาจแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ
ก. แผนฟื้นฟูสำหรับโรงพยาบาล เช่น
ก.1 แผนฟื้นฟูบุคลากร โดยเฉพาะบุคลากรที่ได้รับผลกระทบในด้านสุขภาพกายและ/หรือใจ หรือผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ-สังคมที่เปลี่ยนไปเนื่องจากภาวะภัยพิบัตินั้น.
หลายต่อหลายครั้งที่ผู้บริหารโรงพยาบาลมักกังวลกับผู้ป่วยและแผนฟื้นฟูชุมชนร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ จนลืมบุคลากรในโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบจากภาวะภัยพิบัติเช่นเดียวกัน.
การวางแผนฟื้นฟูบุคลากรในโรงพยาบาลไว้ล่วงหน้า และให้มีผู้รับผิดชอบแทนผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่อาจจะต้องถูกเชิญไปประชุมกับหน่วยงานอื่นๆจนแทบไม่มีเวลาอยู่โรงพยาบาล ย่อมเป็น สิ่งจำเป็น และทำให้การช่วยเหลือและฟื้นฟูสุขภาพกาย ใจ และภาวะเศรษฐกิจ-สังคมของบุคลากรในโรงพยาบาลเป็นไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่บุคลากรได้เป็นอย่างดี.
ในอดีต สถาบันการแพทย์หลายแห่ง ได้เน้นระเบียบการฟื้นฟูจิตใจของบุคลากรผู้ให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยภัยพิบัติ (Critical Stress Incident Debriefing หรือ CISD) แต่จากการศึกษาหลายแห่งกลับปรากฏว่า การกระทำแบบ "เถรตรง" และ "เหมาหมู่" เช่นนั้นกลับไม่เป็นผลดี (van Emmerik AA et al. Single session debriefing after psychological trauma : a meta analysis. Lancet 2002;360:766-772).
ดังนั้น แผนการฟื้นฟูบุคลากรในแต่ละสถาบัน คงจะต้องวางแผนให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละบุคคล แต่ละองค์กร ความเหมาะสม และความเป็นไปได้ในสถาบันนั้นๆ โดยให้บุคลากรทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการวางแผนฟื้นฟูนี้.
ก.2 แผนฟื้นฟูสถานที่ เวชภัณฑ์ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ในภาวะภัยพิบัติ แม้ว่าภัยพิบัตินั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อโรงพยาบาลโดยตรง แต่การที่มีผู้ป่วยและประชาชนจำนวนมากเข้ามายังโรงพยาบาลในช่วงเวลาสั้นๆ ย่อมทำให้เกิดความโกลาหล สับสนวุ่นวาย เกิดความเสียหายต่อสถานที่และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ได้ง่าย รวมทั้งเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่ต้องนำไปใช้รักษาพยาบาลผู้ป่วยจำนวนมาก ซึ่งอาจจะมีจำนวนไม่น้อยที่ตกหล่นไปโดยไม่ได้จดบันทึกไว้.
แผนฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ จึงจำเป็นต้องมีการสำรวจความเสียหาย และความสิ้นเปลืองต่างๆ เพื่อการซ่อมแซมบูรณะชดเชย ทดแทน และฟื้นฟูให้เหมือนเดิมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การวางแผนฟื้นฟูไว้ล่วงหน้า โดยกำหนดบุคคลที่จะรับผิดชอบใน แต่ละส่วน และวิธีการที่จะใช้ในแต่ละปัญหา จะช่วยให้การฟื้นฟูสถานที่ เวชภัณฑ์ และเครื่องมือเครื่องใช้หลังภัยพิบัติเป็นไปได้โดยสะดวกและรวดเร็วขึ้น.
ก.3 แผนปรับปรุงแผนรับภัยพิบัติของโรงพยาบาล เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น และได้ผ่านพ้นภัยพิบัติมาได้แล้ว แผนฟื้นฟูสำหรับโรงพยาบาล จะต้องรวมถึงแผนการสำรวจและวิเคราะห์ถึงจุดอ่อนจุดแข็งของแผนรับภัยพิบัติเดิมของโรงพยาบาลเพื่อฟื้นฟูจุดแข็ง และปรับแก้จุดอ่อนให้แผนรับภัยพิบัติใหม่ของโรงพยาบาลมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้นด้วย.
การเตรียมแผนปรับปรุงฯ ไว้ล่วงหน้า จะทำให้โรงพยาบาลไม่หลงลืมที่จะสำรวจและประเมินจุดอ่อน-จุดแข็งของแผนรับภัยพิบัติฯ และดำเนินการปรับปรุงแก้ไข ก่อนจะลืมเลือนสิ่งที่เกิดขึ้น.
ข. แผนฟื้นฟูสำหรับชุมชน โรงพยาบาลเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน จึงต้องมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูบูรณะชุมชนหลังภาวะพิบัติ โดยเฉพาะในเรื่องสุขภาพกายและใจ การป้องกันโรคระบาด ภาวะโภชนาการและน้ำสะอาด เป็นต้น.
การส่งหน่วยรักษาพยาบาลเคลื่อนที่เข้าสู่ชุมชนที่ได้รับภัยพิบัติจะช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่ประชาชนและแก่บุคลากรของโรงพยาบาลด้วย.
การให้ข้อมูลข่าวสารทางสื่อสาธารณะ เช่น วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น วัด โรงเรียน จะช่วยให้ประชาชนรู้จักวิธีป้องกันโรคและวิธีระวังรักษาตนเองได้อย่างง่ายๆ เพื่อให้ฟื้นตัวจากภัยพิบัติเร็วขึ้น และไม่เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ.
แผนฟื้นฟูชุมชนดังกล่าวจะต้องร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ นอกโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน โดยร่วมกันวางแผนไว้ล่วงหน้า และควรมีการฝึกซ้อมกันบ้าง (ส่วนใหญ่จะฝึกซ้อมกันแต่แผนรับภัยพิบัติ ไม่ได้ฝึกซ้อมแผนฟื้นฟูบูรณะหลังภัยพิบัติกันเลย จึงเกิดความสับสน ซ้ำซ้อน ไม่เป็นเอกภาพ ไม่ทั่วถึง และก่อความขัดแย้งได้ง่าย).
แผนฟื้นฟูชุมชน จึงเริ่มต้นตั้งแต่หลังภาวะภัยพิบัติที่ต้องเร่งบรรเทาความเสียหาย ฟื้นฟูสภาพจิตใจและขวัญกำลังใจของชุมชนให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว โดยความช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำสะอาด ความปลอดภัย ความรู้สึกว่าไม่ถูกทอดทิ้ง และอื่นๆ เท่าที่จะทำได้ทันทีไปก่อน ในขณะที่วิเคราะห์และประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นและความต้องการที่เร่งด่วนของชุมชนที่ประสบภาวะภัยพิบัติเพื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ นอกท้องถิ่นของตนให้ตรงกับความต้องการของชุมชนที่ประสบภาวะภัยพิบัติ.
มิฉะนั้น อาจได้รับความช่วยเหลือหรือสิ่งของที่ไม่ตรงกับความต้องการเป็นจำนวนมาก และกลายเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ชุมชนที่กำลังประสบภัยพิบัติที่จะต้องหาสถานที่เก็บสิ่งของเหล่านั้น หรือหาทางดัดแปลงสิ่งของเหล่านั้น เพื่อให้นำไปใช้ได้ เช่น กรณีบริจาคโลงศพให้แก่ผู้เสียชีวิตในกรณีคลื่นยักษ์สึนามิที่ภาคใต้ของไทย ซึ่งมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะบรรจุศพที่ขึ้นอืดและศพของชาวต่างชาติที่มีรูปร่างใหญ่โตกว่าคนไทยได้ เป็นต้น.
หลังจากได้บรรเทาความเสียหายที่เกิดกับทรัพย์สิน และผู้คนในถิ่นภัยพิบัติแล้ว ยังต้องวิเคราะห์ และประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชุมชนและปริมณฑล โดยรอบของชุมชนนั้นจากภาวะภัยพิบัติ เช่น ความแตกแยกในสังคม (จากการแย่งชิงสิ่งของบริจาค แย่งชิงที่ดิน ฯลฯ) การละทิ้งถิ่นฐาน (ไม่สามารถอยู่ในท้องถิ่นนั้นต่อไปจากสาเหตุต่างๆ) อาชญากรรมและการเสพติดที่มักจะเพิ่มขึ้น เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีสาเหตุสำคัญจากสภาพสังคมและจิตใจของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไปจากภาวะภัยพิบัติ ซึ่งแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ รวมทั้งพระและผู้นำทางศาสนาต่างๆ จะมีส่วนช่วยอย่างมากในการลด ผลกระทบเหล่านี้ลงได้ โดยเฉพาะถ้าได้มีการวางแผนร่วมกันไว้ล่วงหน้า.
การร่วมกันสร้างชุมชนให้ฟื้นขึ้นจากภาวะภัยพิบัติ แม้จะไม่ใช่หน้าที่ของแพทย์และพยาบาลโดยตรง แต่ในฐานะที่แพทย์และพยาบาลเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และในหลายท้องถิ่นร่วมเป็นผู้นำของชุมชนด้วย.
การช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้คน และทำให้ขวัญกำลังใจของผู้คนที่ประสบภัยพิบัติกลับคืนสู่สภาพปกติและมุ่งมั่นที่จะร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยกันคนละไม้คนละมือในการฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ของตนเองและเพื่อนบ้าน จะช่วยให้ชุมชนกลับสู่สภาพปกติได้เร็วขึ้น และช่วยหาแนวทางร่วมกันในการป้องกันและลดผลกระทบถ้าเกิดภัยพิบัติซ้ำซ้อนขึ้นมาใหม่ เช่น ฝนตกจนน้ำท่วม/น้ำหลากซ้ำเติมอีกต้องรีบโยกย้ายออกจากพื้นที่ที่อันตรายก่อนขุดร่องน้ำให้น้ำไหลลงแม่น้ำลำคลองได้สะดวก เป็นต้น.
สันต์ หัตถีรัตน์ พ.บ.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 2,370 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้