การรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น สิ่งสำคัญคือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยให้อยู่ ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ แต่เนื่องจากเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากพฤติกรรมความเป็นอยู่ของผู้ป่วย เช่น พฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย ปัญหาทางสังคม ครอบครัว ที่ทำให้เกิดความเครียด ซึ่งมีความซับซ้อนเกินกว่าที่การรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์เพียงอย่างเดียว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยความเอาใจใส่ใกล้ชิด และความเข้าใจกับผู้ป่วยเพื่อให้การรักษาได้ผลดีขึ้น
หมออนามัย หรือบุคลากรระดับปฐมภูมิ นับเป็นกลุ่มผู้ให้บริการสาธารณสุขที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยมากที่สุด และมีส่วนสำคัญในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ในการประชุมวิชาการ Primary care ครั้งที่ 2 "ตกผลึกอุดมการณ์บริการปฐมภูมิ สู่ปฏิบัติการงานสุขภาพชุมชน" ที่จัดโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงสาธารณสุข สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสถาบันวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน (สพช.) ได้มีการถ่ายทอดเรื่องราวเล็กๆ ที่เกี่ยวกับแนวทางการรักษาผู้ป่วยเบาหวานที่ได้ผล อันเกิดมาจากความใส่ใจในการอยู่ การกินของผู้ป่วย
ย้ายคลินิกเบาหวานจากสถานีอนามัยสู่บ้านผู้ป่วย
จุดเริ่มต้นรูปแบบใหม่ของการรักษาที่ก่อเกิดจากความใส่ใจในผู้ป่วยเบาหวานเกิดขึ้นในสถานีอนามัยเขาพระบาท อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช จากปัญหาที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลได้ ทำให้การรักษาไม่ได้ผล และผู้ป่วยมีสุขภาวะที่ไม่ดี ยงยุทธ์ สุขพิทักข์ นักวิชาการสาธารณสุขที่ประจำ อยู่ ณ สถานีอนามัยแห่งนี้ จึงเกิดความคิดที่จะย้ายคลินิกเบาหวานจากสถานีอนามัยมาที่บ้านผู้ป่วยแทน
ตั้งแต่ปี 2545-2548 ผู้ป่วยเบาหวานในอำเภอเชียรใหญ่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณยงยุทธ์ จึงเกิดความคิดว่าทำอย่างไรให้ผู้ป่วยเกิดความตระหนัก ปรับเปลี่ยนความคิด พฤติกรรมการกิน การอยู่ เพื่อให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีขึ้น จึงคิดตั้งโรงเรียนสุขภาพขึ้น เพื่อสอนให้ผู้ป่วยรู้จักดูแลสุขภาพตัวเอง โดยมีทีมสุขภาพอันประกอบด้วย หมออนามัย พยาบาลวิชาชีพ เภสัชกร อาสาสมัคร (อสม.) เป็นทีมสหวิชาชีพที่มีจุดมุ่งหมายการทำงานเดียวกันคือ ทำงานเพื่อชุมชน และทำงานเพื่อพัฒนา มาร่วมมือกันให้ความรู้ผู้ป่วย
ทีมสุขภาพได้นำประเด็นเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของผู้ป่วย มาเป็นประเด็นแรกที่จะสื่อสารกับผู้ป่วย เพราะปัญหาของผู้ป่วยคือ กินไม่เป็น ไม่รู้จักเลือกอาหารที่เหมาะสมกับผู้ป่วย โรคเบาหวาน ทีมจึงให้ความรู้ผู้ป่วยเรื่องอาหารแลกเปลี่ยน หรือธงโภชนาการ เรียนรู้ทั้งปริมาณของอาหาร เมนูอาหาร และการปรุงให้ผู้ป่วยสามารถฝึกปฏิบัติได้จริง โดยทีมสุขภาพเป็นผู้ลงไปสอนเอง ซึ่งการใกล้ชิดกับผู้ป่วยเช่นนี้ ทำให้ทีมได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วย
"เราบอกผู้ป่วยทุกครั้งว่า เรื่องสุขภาพนี้เราต้องช่วยกัน หมอครึ่งหนึ่ง และผู้ป่วยอีกครึ่งหนึ่ง หมอจะเป็นคนให้ยา และให้ความรู้ แต่ผู้ป่วยก็ต้องให้ความร่วมมือ โดยการจดบันทึกสิ่งที่กินเข้าไปว่า กินอะไรบ้าง ปริมาณเท่าไหร่ ผู้ป่วยต้องเอาบันทึกมาให้หมอดู และต้องคุยกับหมอทุกครั้งที่มาตรวจ เพื่อให้เกิดความใกล้ชิด และไว้วางใจกันมากขึ้น" ยงยุทธ์กล่าว
การจดบันทึกนี้ถือเป็นจุดสำคัญที่ทำให้หมอสามารถใกล้ชิดกับผู้ป่วยได้มากขึ้น ทำให้หมอได้รับทราบและเข้าถึงมิติทางครอบครัวของผู้ป่วย การให้ความรู้กับคนในครอบครัว และคนใกล้ชิดเกี่ยวกับการปฏิบัติตนที่ถูกต้องสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ถือเป็นกุญแจสำคัญให้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถเกิดขึ้นได้
"การบันทึกรายการอาหารเป็นการสร้างแรงกระตุ้นให้กับญาติผู้ป่วย จากเดิมที่ญาติไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็กลับต้องเริ่มหันมาสนใจว่าพ่อแม่ของเราเป็นอะไร ทำไมต้องจดรายการอาหาร จุดนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมอาหารได้มากขึ้น ซึ่งนับว่าผ่านขั้นตอนที่หนึ่ง จากนั้นผู้ป่วยจะเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่นๆ ต่อไปได้ เช่น เริ่มปรับการออกกำลังกาย แต่หากในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมอาหารได้ หรือผู้ป่วยไม่มาตามนัด ทีมสุขภาพจะเข้าสู่ขั้นตอนที่สอง คือ การไปเยี่ยมบ้าน เพื่อไปพูดคุยกับผู้ป่วย และญาติผู้ป่วย เพราะเรารู้ว่าผู้ป่วยดูแลตัวเองคนเดียวไม่ได้ ญาติจึงมีความสำคัญที่สุดที่จะต้องช่วยกันให้ผู้ป่วยควบคุมการกินได้ ซึ่งการย้ายคลินิกไปที่ชุมชน เราจะได้ประโยชน์ 2 ทาง คือ เข้าถึงตัวผู้ป่วย และญาติ ทำให้ได้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับครอบครัว เพื่อนำไปปรับใช้ในการรักษาผู้ป่วยรายนั้น และช่วยผู้ป่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสถานีอนามัย ลดการเสียเวลา และลดความเครียดจากการรอตรวจด้วย"
►ใจถึงใจ...หนทางช่วยผู้ป่วยเบาหวาน
"ผมใช้เวลาประมาณ 1 ปี ในการเข้าทำความเข้าใจกับผู้ป่วย ผมใช้เวลาทุกวันที่คลินิกคุยกับผู้ป่วยจนรู้ทุกเรื่อง ซึ่งการนั่งคุยนี้เราต้องทำอย่างนุ่มนวล อย่าบังคับ ผมจะมองผู้ป่วยเหมือนเป็นญาติ เพื่อที่จะได้รักษาเขาอย่างเต็มที่ ตอนนี้ผู้ป่วยไม่เครียด สังเกตได้จากสีหน้า และเมื่อถามว่าเขาเครียดหรือ ไม่ที่เป็นเบาหวาน เขาจะบอกเราว่าเขามีความสุขดีเพราะเขารู้ว่าต้องกินอย่างไร รู้ว่าต้องใช้ชีวิตอย่างไร"
นอกจากการใส่ใจผู้ป่วยเหมือนเป็นญาติ จะช่วยให้สามารถเข้าถึงใจของผู้ป่วยได้แล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือ กลุ่มอาสาสมัครที่เป็นคนในชุมชน จะทำให้เข้าถึงผู้ป่วยได้มาก เพราะรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย อีกทั้งยังช่วยเจ้าหน้าที่ในการตรวจคัดกรองหากลุ่มเสี่ยง ทำให้ช่วยลดภาระของเจ้าหน้าที่ไปได้มาก การผสมผสานระหว่างความเอาใจใส่ผู้ป่วย และการมีภาคีร่วมที่ดี ทำให้การขับเคลื่อนด้านสุขภาพเป็นไปได้อย่างราบรื่น และสามารถเข้าถึงในมิติของชุมชน ที่ความรู้ทางการแพทย์อย่างเดียวไม่สามารถเข้าถึงได้
หลังจากผ่านการดำเนินงานมาได้ 2 ปี โรงเรียนสุขภาพสามารถจัดการกับพฤติกรรมของผู้ป่วยได้ โดยสังเกตจากผลการมีภาวะแทรกซ้อนเพียงร้อยละ 1.49 ของจำนวนผู้ป่วย จึงมีแนวคิดที่จะขยายการให้ความรู้ไปสู่กลุ่มที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานต่อไป
"ในปี 2550 กลุ่มมีแนวคิดที่จะหันมาให้ความรู้เกี่ยวกับการลดพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อเลี่ยงการเกิดเบาหวาน โดยการจัดค่ายสอนวิธีการออกกำลังกายที่ถูกวิธี เช่น การทำโยคะสมาธิ ให้ความรู้เรื่องอาหารแลกเปลี่ยน สอนให้ดูแลตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งหมอ ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการที่จะบ่งบอกการเกิดเบาหวาน วิธีการปฏิบัติเพื่อลดน้ำตาล ซึ่งทั้งหมดจะมีคู่มือการดูแลตัวเอง ที่ทีมสุขภาพเป็นผู้จัดทำขึ้น"
จากเรื่องราวความใกล้ชิดผู้ป่วยของหมออนามัยเหล่านี้ ชี้ให้เห็นว่า การดูแลผู้ป่วยเบาหวานไม่ใช่เพียงแต่อาศัยวิทยาการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ความเข้าใจในข้อจำกัดของผู้ป่วย วิถีชีวิตของผู้ป่วยเบาหวาน ก็ถือเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้การรักษาผู้ป่วยเบาหวานประสบผลสำเร็จมากขึ้น
- อ่าน 3,798 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้