แนวทางสำหรับการเผชิญภัยพิบัติแต่ละชนิด
ภัยพิบัติ โดยทั่วไปอาจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ
1. ภัยธรรมชาติ (natural disasters) เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม แผ่นดินไหว ภัยแล้ง พายุ.
2. ภัยจากฝีมือมนุษย์ (manmade disasters) เช่น อุบัติภัยจราจร ระเบิด ไฟไหม้.
3. ภัยผสม (mixed disasters) เช่น น้ำท่วม 47 จังหวัดในประเทศไทยใน พ.ศ. 2549 เกิดจากฝนตกหนัก เขื่อนกักเก็บน้ำผิดพลาด ทำให้ต้องปล่อยน้ำลงมาเป็นจำนวนมาก และมีการผันน้ำไปสู่พื้นที่ในภาคกลางที่ไม่เคยมีน้ำท่วมมาก่อนอย่างมากมาย เพื่อป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ทำให้หลายจังหวัดต้องถูกน้ำท่วมขังเป็นเวลา 2-3 เดือน สร้างความเสียหายต่อภาวะเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพของประชาชนเป็นจำนวนมาก.
ดินถล่ม นอกจากเกิดจากฝนตกหนักแล้วยังเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าบนภูเขา และการสร้างที่อยู่อาศัยใกล้เนินเขา.
คลื่นยักษ์สึนามิ ที่สร้างความสูญเสียมหาศาล นอกจากจะเกิดจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่แล้ว ยังเกิดจากการทำลายป่าชายเลนและการสร้างที่อยู่อาศัยติดชายฝั่งทะเล เป็นต้น.
ในลำดับต่อไป จะกล่าวถึงภัยพิบัติแต่ละชนิด และแนวทางที่จะเผชิญภัยพิบัติเหล่านั้น.
1. อุทกภัย (น้ำท่วม)
อุทกภัย (flood) เป็นภัยธรรมชาติที่พบบ่อยที่สุด (ประมาณ 40% ของภัยธรรมชาติทั่วโลก) และทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด.
อุทกภัย มักเกิดจากฝนตกหนัก เขื่อนปล่อยน้ำมากทันทีหรือพัง ลมพายุ หิมะละลาย และที่สูญเสียชีวิตมากที่สุดในช่วงเวลาสั้นๆ (มากกว่า 2 แสนคนในเวลาไม่กี่ชั่วโมง) คือ คลื่นสึนามิ จากแผ่นดินไหว 9.1 ริกเตอร์ เหนือเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547.
พื้นที่เสี่ยงภัย คือ ที่ต่ำ ที่ลุ่ม ที่ใกล้แม่น้ำลำคลอง และทะเล ที่ใต้เขื่อน และที่ที่น้ำท่วมซ้ำซาก.
ก่อนเกิดเหตุ : โรงพยาบาลที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ควรวางแผนป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะการอพยพ โยกย้ายผู้ป่วย เครื่องมือเครื่องใช้และเวชภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งระบบไฟฟ้าและน้ำกินน้ำใช้ฉุกเฉินในยามที่จะต้องใช้โรงพยาบาลนั้นต่อ (ทั้งที่น้ำท่วมชั้นล่างของโรงพยาบาล) เมื่อระบบไฟฟ้าและน้ำประปาปกติต้องถูกปิด เป็นต้น.
ท้องถิ่นที่มีน้ำท่วมเป็นประจำ ควรมี "ระบบระวังน้ำท่วม" (flood watch & warning system) และมีระบบอพยพโยกย้ายผู้คนออกจากพื้นที่อันตรายได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกรณีน้ำป่า/น้ำหลาก (flash flood) เช่น การเตรียม "ทางหนีทีไล่" การเตรียมที่พักชั่วคราวในที่สูง เพื่ออพยพโยกย้ายผู้คนได้ทันที การเตรียมระบบสื่อสารแบบอื่น เพราะเสา/สายโทรศัพท์ปกติอาจล้มหรือใช้การไม่ได้ การเตรียมยานพาหนะที่วิ่งในน้ำได้ กระสอบทรายสำหรับกันน้ำเข้าพื้นที่สำคัญต่างๆ เครื่องสูบน้ำออก เป็นต้น.
ภาวะน้ำท่วมอาจ "ท่วมขัง" เป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน จึงควรเตรียมเวชภัณฑ์ แบตเตอรีไฟฉาย/วิทยุ/เครื่องสื่อสารต่างๆ อาหาร น้ำสะอาด ฯลฯ ให้พร้อมด้วย.
ขณะเกิดเหตุ : ถ้าโรงพยาบาลถูกน้ำท่วม ต้องรีบอพยพผู้ป่วย บุคลากร และเครื่องมือเครื่องใช้ ไปยังที่สูงอย่างรวดเร็ว ตามแผนที่วางไว้ล่วงหน้า อย่าเดินฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวที่แม้จะสูงเพียงครึ่งฟุต (15 ซม.) ก็อาจทำให้ล้มลงได้ และอย่าขับรถฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวที่แม้จะสูงเพียง 2 ฟุต (60 ซม.) ก็อาจพัดพารถไปตามกระแสน้ำได้.
ถ้าโรงพยาบาลไม่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง โรงพยาบาลจะต้องรีบดำเนินการตามแผนรับภัยพิบัติที่ได้วางไว้ล่วงหน้าทันที.
การรักษาพยาบาล : ผู้ประสบภัยน้ำท่วมส่วนใหญ่เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการจมน้ำ การถูกกระแทกอย่างแรงจากวัสดุที่ลอยมาตามน้ำหรือถูกพัดพาโดยกระแสน้ำไปกระแทกกับของแข็งอื่นๆ การถูกสัตว์ (โดยเฉพาะ งู ตะขาบ แมงป่อง มด ฯลฯ) ที่หนีน้ำมากัด/ต่อย การสำลักน้ำสกปรก เป็นต้น.
การรักษาพยาบาลคนจมน้ำก็เช่นเดียวกับภาวะจมน้ำอื่น แต่น้ำในภาวะน้ำท่วมจะสกปรกมากกว่าน้ำในแม่น้ำลำคลองทั่วไป บาดแผลต่างๆ ควรล้างด้วยน้ำและน้ำเกลือให้สะอาด และเปิดแผลทิ้งไว้ ไม่ควรเย็บแผล เพราะจะทำให้เกิดภาวะติดเชื้อรุนแรงได้ ควรให้ยาปฏิชีวนะครอบคลุมทั้งเชื้อกรัมบวก กรัมลบและเชื้อที่ไม่ชอบออกซิเจน (anerobes) ไปก่อนจนกว่าจะได้ผลเพาะเชื้อ.
หลังเกิดเหตุ : โรงพยาบาลควรดำเนินการ ตามแผนฟื้นฟูบูรณะโรงพยาบาลและชุมชนหลังภัยพิบัติคล้ายกับสภาวะภัยพิบัติทั่วไป (ดูภัยพิบัติตอนที่ 10).
ภาวะน้ำท่วมยังอาจทำให้เกิดโรคระบาด และการถูกพิษของสารเคมีถ้ามีโรงงาน หรือขยะ สารพิษอยู่ในบริเวณที่น้ำไหลผ่าน แต่ละท้องถิ่นจึงควรจะตระหนักถึงภัยเหล่านี้ด้วย.
2. วาตภัย (ลมพายุ)
ลมพายุ (storm) ที่เกิดในมหาสมุทรแล้วพัดเข้าหาฝั่ง แม้จะเป็นพายุหมุนเหมือนกัน และมีกลไกการเกิดและการสิ้นสุดเหมือนกัน แต่จะถูกเรียกชื่อต่างกัน เช่น ใต้ฝุ่น (typhoon) เกิดในบริเวณตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกและในทะเลจีน, ไซโคลน (cyclones) ในมหาสมุทรอินเดีย, เฮอร์ริเคน (hurricane) ในบริเวณกลางมหาสมุทรแอตแลนติก ในทะเลแคริบเบียน หรือในบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยมีความรุนแรงแบ่งเป็นระดับต่างๆ ได้ตามตารางที่ 7.
เนื่องจากลมพายุเหล่านี้เกิดในมหาสมุทร และระบบดาวเทียมในปัจจุบันสามารถจับกำเนิดและทิศทาง การเคลื่อนไหวของมันได้ จึงสามารถสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้า และเตรียมรับมือภัยพิบัติได้ตามสมควร และเมื่อลมเหล่านี้ขึ้นฝั่งแล้ว จะอ่อนกำลังลงและสลายตัวไป.
ลมพายุที่เกิดในแผ่นดินและเป็นพายุหมุน เช่น ทอร์นาโด (tornado) พายุทราย ลมงวงช้าง เกิดได้ในทุกประเทศทั่วโลก ที่มีมวลอากาศแปรปรวน ยังไม่มีวิธีพยากรณ์ได้แน่นอนว่า พายุหมุนแบบนี้จะเกิดที่ไหนและเมื่อใด ดั้งนั้น การเตือนภัยล่วงหน้าแทบจะเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยเรดาร์และระบบสื่อสารในปัจจุบัน โอกาสที่จะเตือนภัยล่วงหน้าได้เพิ่มขึ้นจาก 5 นาทีโดยเฉลี่ยเมื่อ 10 กว่าปีก่อน เป็น 11 นาทีในปัจจุบันในสหรัฐอเมริกา และในกรณีที่เป็นพายุหมุนขนาดใหญ่และรุนแรง อาจเตือนภัยล่วงหน้าได้ถึง 20 นาที อาจแบ่งความรุนแรงได้ดังตารางที่ 8.
นอกจากลมพายุหมุนแล้ว ก็ยังมีลมพายุที่กระโชกแรงเช่น พายุฤดูร้อน พายุฝน/ลูกเห็บ ลมมรสุมเป็นต้น ลมมรสุมและลมที่พัดผ่านทะเลหรือมหาสมุทรจะทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วม รวมทั้งคลื่นใหญ่ที่ทำความเสียหายได้มากกว่าแรงลมอย่างเดียว ดังจะเห็นได้จากตารางที่ 7-8 ว่าในความเร็วลมที่เท่ากัน ไต้ฝุ่นทำให้เกิดความเสียหายและอันตรายได้มากกว่าลมทอร์นาโด.
ก่อนเกิดเหตุ : พื้นที่เสี่ยงต่อพายุจากมหาสมุทร จะต้องเตรียมป้องกันอันตรายจากกระแสลม น้ำท่วม แผ่นดินถล่ม และคลื่นยักษ์.
โรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยงจะต้องเตรียมตัวตั้งแต่ก่อนฤดูพายุ จนกระทั่งจบสิ้นฤดูพายุแล้ว การก่อสร้างโรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยงจะต้องสร้างให้ต้านทานแรงลมได้โดยเฉพาะประตู หน้าต่าง และหลังคา และควรอยู่ในที่สูง มีแผ่นไม้อัดสำหรับตอกปิดกระจกประตูหน้าต่าง.
มีอุปกรณ์และเครื่องปั่นไฟฟ้าฉุกเฉินประจำหน่วยสำคัญๆแต่ละแห่ง มีระบบน้ำกินน้ำใช้สำรอง มีระบบสื่อสารพิเศษ และการเตรียมการอื่นๆ เช่นเดียวกับกรณีน้ำท่วม รวมทั้งเตรียมอาหาร น้ำ เวชภัณฑ์ น้ำมันเชื้อเพลิง และสิ่งของจำเป็นต่างๆ ไว้ให้ใช้ได้อย่างน้อย 3-4 วัน.
บุคลากรของโรงพยาบาลควรนำสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวมาอยู่ประจำในโรงพยาบาลก่อนพายุจะมาถึง และควรเตรียมตัวที่จะต้องอยู่ประจำในโรงพยาบาลอย่างน้อย 3-4 วัน โดยเตรียมบ้านของตนและครอบครัวให้พร้อมก่อนมาประจำอยู่ในโรงพยาบาลด้วย จะได้ไม่พะว้าพะวังในยามพายุเข้า.
ส่วนพื้นที่เสี่ยงต่อพายุในแผ่นดิน จะไม่ต้องระวังอันตรายจากน้ำท่วมมากนัก.
ขณะเกิดเหตุ : จะมีผู้ป่วยมาโรงพยาบาลน้อยมาก ถ้าจำเป็นต้องออกไปดูแลผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุ ควรขอรถทหารขนาดใหญ่ที่หนักและต้านทานลมพายุและกระแสน้ำได้ ห้ามใช้รถพยาบาลฉุกเฉินโดยทั่วไปที่ไม่สามารถต้านกระแสลมและน้ำได้ และควรจะออกรถไปเป็นขบวน อย่างน้อยขบวนละ 2 คัน เพื่อช่วยเหลือกันถ้าเกิดอุบัติเหตุ.
ในขณะมีลมพายุ ทุกคนควรอยู่ในบ้านหรือตึกที่แข็งแรง และเข้าไปอยู่ในห้องที่แข็งแรงที่สุด เช่น ห้องใต้ดินในกรณีที่ไม่มีน้ำท่วมหรือห้องชั้นบนที่แข็งแรง ควรหลีกห่างประตูและหน้าต่าง ควรไปหมอบหรือนอนอยู่ใต้โต๊ะ/เตียงที่แข็งแรง และใช้แขน 2 ข้างคลุมศีรษะและคอไว้.
สำหรับคนที่อยู่บนถนน รีบลงจากรถ และนอนหมอบราบในคูหรือหลุมข้างถนนโดยใช้แขน 2 ข้างคลุมศีรษะและคอไว้ ให้อยู่ห่างจากต้นไม้และใต้สะพาน.
อันตรายจากลมพายุ มักเกิดการบาดเจ็บจากการถูกกระทบกระแทก/ทิ่มแทงด้วยวัตถุที่ปลิวมากับกระแสลม/น้ำ การจมน้ำ การถูกกระแสไฟฟ้าช็อต เพราะเสาไฟแรงสูงล้ม หรือน้ำท่วมปลั๊กไฟ เป็นต้น.
การรักษาพยาบาล : ก็เช่นเดียวกับการรักษาภาวะบาดเจ็บต่างๆ ในสถานการณ์ภัยพิบัติ (ดูในเรื่องน้ำท่วม).
หลังเกิดเหตุ : โรงพยาบาลควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูบูรณะโรงพยาบาล และชุมชนหลังภัยพิบัติคล้ายกับสภาวะภัยพิบัติทั่วไป (ดูภัยพิบัติตอนที่ 10).
สันต์ หัตถีรัตน์ พ.บ.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 3,554 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้