3. แผ่นดินถล่ม
แผ่นดิน (landslides) หมายถึงภาวะที่มีการเคลื่อนไหวของผืนดินหรือสิ่งบนดินจนเกิดภาวะหินถล่ม (rock falls), ผืนดินเลื่อน/ทรุด (landslides/slumps), โคลนถล่ม (mud flows), หิมะถล่ม (avalanches) เป็นต้น ซึ่งอาจเกิดบนที่สูงจนถึงใต้น้ำ (submarine) จากพายุฝน/หิมะ แผ่นดินไหว แผ่นดินยุบ ภูเขาไฟระเบิด และอื่นๆ (ดูภาพที่ 3-5).
พื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่ม คือ พื้นที่ที่เคยเกิดแผ่นดินถล่มมาก่อน พื้นที่ร่วนซุย พื้นที่บน/ใต้เนินเขา พื้นที่ใกล้ทางน้ำไหล เป็นต้น.
สิ่งเตือนภัยว่า อาจจะเกิดแผ่นดินถล่ม ให้ดูตารางที่ 9.
ตารางที่ 9. สิ่งเตือนภัยแผ่นดินถล่ม.
1. มีน้ำซึม น้ำไหล หรือดินชุ่มน้ำ ในพื้นที่ที่ไม่เคยเปียกชุ่มมาก่อน 2. มีรอยแยก/รอยโป่งขึ้นบนพื้นดิน ทางเดิน หรือถนน โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณเนินเขา 3. ผืนดินแยกออกจากตัวบ้าน/อาคาร 4. ส่วนที่ชิดกับบ้าน เช่น ระเบียง บันไดนอกบ้าน แยกห่างจากตัวบ้าน 5. มีรอยแยกที่พื้นคอนกรีต ผนังปูน หรืออื่นๆ 6. ท่อประปา หรือท่อก๊าซใต้ดินรั่ว 7. เสาไฟฟ้า/โทรศัพท์ ต้นไม้ รั้วบ้าน เอียง/เอนจากที่เดิม 8. พื้นดิน/พื้นถนนยุบ 9. น้ำในลำธารสูงขึ้นอย่างรวดเร็วผิดสังเกต 10. น้ำในลำธารลดระดับลงอย่างกะทันหันทั้งที่ฝนยังตกอยู่หรือเพิ่งหยุดตก 11. ประตู/หน้าต่างเปิดปิดลำบาก หรือมีช่องว่างระหว่างมันกับกรอบประตูหน้าต่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 12. เสียงคล้ายฟ้าคำรามหรือคลื่นซัด ซึ่งเริ่มขึ้นเบาๆ แล้วดังขึ้นๆ เมื่อแผ่นดินถล่มเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา |
ภาพที่ 3. การเคลื่อนที่ของแผ่นดินตั้งแต่การคืบตัวของพื้นดิน การไหลของโคลน (โคลนถล่ม)
การเลื่อนหลุดเป็นกระบิไปจนถึงแผ่นดินถล่ม.
ภาพที่ 4. ชนิดของแผ่นดินถล่ม.
ภาพที่ 5. แผ่นดินถล่มในประเทศไทยจาก พ.ศ. 2531-2547 (กรมทรัพยากรธรณี
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
ก่อนเกิดเหตุ : เนื่องจากภาวะแผ่นดินถล่ม มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน พื้นที่เสี่ยงต่างๆ (ดูที่กล่าวไว้ข้างต้น) จึงควรมีหน่วยระวังภัยคอยเฝ้าดูสิ่งเตือนภัยแผ่นดินถล่ม (ตารางที่ 9) และรีบออกประกาศ ห้ผู้คนอพยพโยกย้ายสู่ที่ปลอดภัยไว้ก่อน.
แต่ที่ดีกว่าคือ การไม่สร้างที่พักอาศัยในพื้นที่ เสี่ยง แต่ถ้าจำเป็นจะต้องสร้างที่พักอาศัยในพื้นที่เสี่ยง เช่น เนินเขา ก็ต้องวางรากฐานของที่พักอาศัยให้แข็งแรง และพยายามสร้างเป็นแนวยาวลาดลงสู่ด้านล่าง (แทนที่จะเป็นแนวตัดขวาง) มีร่องน้ำใหญ่และถนนต่ำกว่าแนวบ้านและเป็นแนวยาวลงมาสู่ด้านล่างให้น้ำ ดิน หิน โคลน ไหล/ร่วงลงสู่ด้านล่างได้สะดวก จะลดผลกระทบต่อที่พักอาศัยได้ดีขึ้น.
ขณะเกิดเหตุ : แผ่นดินถล่มจำนวนไม่น้อย มักเกิดขึ้นเวลากลางคืนที่ผู้คนยังหลับอยู่ ดังนั้นหน่วยระวังภัยในพื้นที่เสี่ยงจึงมีความสำคัญมากในการทำให้ผู้คนตื่นขึ้น และรีบโยกย้ายออกจากที่พักอาศัยของตนไปยังที่ปลอดภัย.
ผู้ที่หนีไม่ทัน ควรหลีกเลี่ยงจากทางไหล/ร่วงของน้ำ หิน ดิน และโคลนและพยายามเข้าไปอยู่ในบ้าน/อาคารที่แข็งแรง หรือกำบังตัวอยู่หลังก้อนหินใหญ่ โดยพยายามขดตัวเป็นก้อนกลมแล้วใช้มือและแขนครอบคลุมศีรษะของตนไว้.
หน่วยหาและกู้ (ที่เราชอบเรียกกันว่า หน่วยกู้ภัย) จะต้องประเมินพื้นที่ที่แผ่นดินถล่มให้ชัดเจนก่อนเข้าสู่พื้นที่ เพราะพื้นที่ที่แผ่นดินเพิ่งถล่มและบริเวณใกล้เคียงอาจมีแผ่นดินถล่มซ้ำหรือซ้อนได้ และส่วนใหญ่เราจะไม่มีนักธรณีวิทยาหรือวิศวกร ผู้ชำนาญในเรื่องนี้อยู่ในพื้นที่พอที่จะช่วยเราวิเคราะห์ถึงสภาพของดิน หิน และอื่นๆ ได้ทันท่วงที จึงควรมีการแบ่งพื้นที่อย่างคร่าวๆ ดังนี้
1. แดนอันตราย (hot zone) คือ บริเวณที่แผ่นดินถล่ม และ/หรือเป็นทางไหล/ร่วงของน้ำ หิน ดิน โคลนและ/หรือสิ่งอื่นๆ และบริเวณขอบของพื้นที่นั้น.
ผู้ที่จะเข้าไปในแดนอันตราย จะต้องได้ รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ และต้องมีอุปกรณ์ป้องกันภัยต่างๆ เช่น หมวกกันน็อก เสื้อกู้ชีพ รองเท้าบู๊ต เชือกยึดตัวกับสิ่งที่มั่นคง (เช่น ต้นไม้ใหญ่ ก้อนหินใหญ่) ที่อยู่นอกแดนอันตราย แล้วยังต้องมีอุปกรณ์เพื่อช่วยหาและกู้ผู้ที่ถูกน้ำ หิน ดิน โคลน ถล่มทับด้วย เช่น จอบ เสียม กระดาน/แพ/เปล เชือก ห่วงยาง เพื่อช่วยผู้บาดเจ็บ.
ผู้ที่จะช่วยให้รอดชีวิตได้มักจะอยู่ใกล้ๆ ขอบของแดนอันตราย (ไม่เกิน 1 ใน 4 ของความกว้างของแดนอันตราย) ส่วนตรงกลาง (ประมาณ 50% ของความกว้าง) เป็นส่วนที่อันตรายมาก และผู้ที่อยู่ในพื้นที่ส่วนนั้นมักจะเข้าถึงได้ยาก (และเสี่ยงมากสำหรับผู้ที่จะเข้าไปช่วย) และมักจะได้รับบาดเจ็บรุนแรงจนไม่ค่อยรอด จึงควรพยายามช่วยคนที่ช่วย ได้ (ใกล้ๆ ขอบ) ก่อน.
คนที่จมโคลนตั้งแต่ระดับเอวขึ้นมา (ถึงคอ) จะไม่สามารถดึงขึ้นมาจากหล่มโคลนได้ด้วยเชือก เพราะจะมีแรงดูดลำตัวส่วนล่างไว้ จึงต้องขุดโคลนโดยรอบตัวออกก่อน หรือต้องใช้น้ำ (เช่นจากท่อน้ำดับเพลิง) ฉีดไล่โคลนรอบตัวออกไป หรืออื่นๆ จึงจะดึงผู้ป่วยขึ้นจากหล่มโคลนได้.
ผู้เข้าไปช่วยผู้ป่วยจะต้องระลึก และระวังความปลอดภัยของตนเองตลอดเวลา โดยเฉพาะถ้า น้ำ-หิน-ดิน-โคลน เหล่านั้นเปื้อนสารพิษ และมีหน้าที่หลักคือนำผู้ป่วยออกจากแดนอันตรายไปส่งต่อที่แดนเสี่ยง.
2. แดนเสี่ยง (warm zone) คือพื้นที่ระหว่างแดนอันตรายกับแดนปลอดภัย บุคลากรที่เข้าไปในพื้นที่นี้ต้องสวมชุดป้องกันภัยด้วยและรีบนำผู้ป่วยที่ถูกส่งมาจากแดนอันตรายไปส่งต่อที่แดนปลอดภัย.
3. แดนปลอดภัย (cold zone) คือพื้นที่ที่อยู่ห่างจากขอบแดนอันตราย
3.1 อย่างน้อย 30 เมตร ในกรณีที่แดนอันตรายเป็นเพียงแนวแคบๆ และกระแสน้ำ-หิน- ดิน-โคลนไม่รุนแรงนัก.
3.2 อย่างน้อย 150 เมตร ในกรณีที่แดนอันตรายเป็นแนวกว้างและกระแสน้ำ- หิน-ดิน-โคลน ค่อนข้างเชี่ยว/รุนแรง.
3.3 อย่างน้อย 300 เมตร ในกรณีที่แดนอันตรายเป็นแนวกว้าง และ/หรืออยู่บนที่ลาดชันตั้งแต่ 25๐ ขึ้นไป.
แต่ในกรณีที่ฝนยังตกหนักและต่อเนื่อง แดนปลอดภัยจะต้องอยู่ห่างจากแดนอันตรายมากกว่าระยะทางที่ให้ไว้ข้างต้น.
แดนปลอดภัย คือ พื้นที่ที่บุคลากรสาธารณสุขจะไปตั้งหน่วยคัดแยกและปฐมพยาบาลผู้ป่วย บุคลากรสาธารณสุขไม่ควรเข้าไปในแดนอันตรายและแดนเสี่ยง นอกจากจะได้รับการฝึกฝนให้เป็นทีมหาและกู้ (search and rescue team) ด้วย.
หลังการคัดแยกและปฐมพยาบาลผู้ป่วยแล้ว ต้องรีบส่งผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาต่อไปยังโรงพยาบาลที่สามารถรักษาผู้ป่วยในแต่ละระดับความรุนแรงโดยเร็วที่สุด และพยายามกระจายผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ถ้าทำได้ เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยไป "กระจุก" กันอยู่ในโรงพยาบาลเดียว.
หลังเกิดเหตุ : นอกจากการรักษาพยาบาลผู้ป่วย และส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่สามารถให้การรักษาได้ดีกว่าแล้ว บุคลากรสาธารณสุขยังต้องดำเนินการตามแผนฟื้นฟูหลังภัยพิบัติทั้งสำหรับโรงพยาบาล และสำหรับชุมชนด้วย (ดูภัยพิบัติตอนที่ 10 คลินิกฉบับเดือนมีนาคม 2550).
ภาพที่ 6. ศูนย์กลางของแผ่นดินไหว (วงกลมเล็กๆ ในรูป) ที่เคยเกิดขึ้นทั่วโลก
จะเห็นว่าในประเทศไทยจะเกิดขึ้นทางภาคเหนือและชายแดนด้านตะวันตก.
4. แผ่นดินไหว
แผ่นดินไหว (earthquake) หมายถึง ภาวะที่มีการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของแผ่นดินในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเกิดจากแรงเสียดทานระหว่างชั้นหิน และชั้นดินใต้ผิวโลก ตามรอยเลื่อน (fault lines) ของเปลือกโลกที่มีพลังและยังเคลื่อนตัวอยู่ รวมทั้งในบริเวณภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ การระเบิดของภูเขาไฟจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงได้
พื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว คือ พื้นที่ที่เคยเกิดแผ่นดินไหวมาก่อน (ภาพที่ 6) พื้นที่ในบริเวณรอยเลื่อนของเปลือกโลก พื้นที่บริเวณภูเขาไฟ เป็นต้น.
ขนาดของแผ่นดินไหว
< 5 ริกเตอร์ ไม่รุนแรง รู้สึกได้ สิ่งห้อย/แขวนแกว่งไกว
5-5.9 ริกเตอร์ รุนแรงน้อย เครื่องเรือนเคลื่อนที่ ถ้วยชามตกแตก
6-6.9 ริกเตอร์ รุนแรงปานกลาง อาคารเสียหาย/พังทลาย
ณ 7 ริกเตอร์ รุนแรงมาก อาคารพังทลาย แผ่นดินแยก
ก่อนเกิดเหตุ : ในปัจจุบัน ยังไม่มีสิ่งเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับภาวะแผ่นดินไหว ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่างๆ ควรสร้างบ้านและอาคารให้ทนทานต่อภาวะแผ่นดินไหวได้ตามสมควร การวางท่อก๊าซ ท่อประปา และเสาไฟต่างๆ ต้องเตรียมมาตรการไว้ปิดท่อหรือตัดไฟได้เป็นช่วงๆ ในยามที่ท่อแตกหรือรั่ว หรือเสาไฟล้ม มิฉะนั้นจะทำให้เกิดไฟไหม้/น้ำท่วม/ไฟฟ้าลัดวงจร และอันตรายอื่นๆ ได้.
ในพื้นที่ที่มีแผ่นดินไหวบ่อยๆ ควรมีการฝึกซ้อมประชาชนให้รู้จักการป้องกันตนเองในขณะที่มีแผ่นดินไหว เช่น ให้ออกไปอยู่ในที่โล่ง ใช้หมอนหรือสิ่งอื่น คลุมศีรษะของตนไว้ อย่ารีบกลับเข้าไปในบ้าน/อาคารหลังแผ่นดินไหว เพราะอาจมีการไหวอีก (after-shocks) ทำให้บ้าน/อาคารที่ร้าวอยู่จากการไหวครั้งแรกพังลงมาได้.
ขณะเกิดเหตุ : ผู้คนควรรีบออกจากบ้าน/อาคารมาอยู่ในที่โล่ง ถ้าออกมาไม่ทัน ให้มุดเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะ/เตียงที่แข็งแรงพอ และใช้มือและแขนทั้ง 2 คลุมศีรษะไว้ เมื่อแผ่นดินหยุดไหว ให้รีบออกจากบ้าน/อาคารมาสู่ที่โล่งโดยเร็ว และรอจนกว่าอาการไหวซ้ำจะค่อยๆ ซาลง จนไม่มีอันตรายจึงค่อยกลับเข้าบ้าน.
โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ควรเตรียมส่งทีมกู้ชีพพร้อมเวชภัณฑ์ไปยังที่เกิดเหตุ ในภาวะแผ่นดินไหวรุนแรง ถนนและสะพานอาจถล่ม ทำให้การเข้าสู่ที่เกิดเหตุต้องอาศัยเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น จึงต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ให้ทราบถึงความเป็นไปได้ในการส่งทีมกู้ชีพ/ทีมปฐมพยาบาลไปยัง ที่เกิดเหตุ.
ผู้ป่วยจากแผ่นดินไหวมักบาดเจ็บจากบ้าน/อาคารถล่ม ไฟไหม้ (ท่อก๊าซรั่ว) น้ำท่วม (ท่อประปาแตก) การหายใจเอาควันไฟ/ฝุ่น/สารพิษเข้าไป การขาดที่พักอาศัย (หนาวตาย ฯลฯ) กลุ่มอาการจากแรงอัด/ทับ (crush syndrome) การกำเริบของโรคเดิม (เช่น โรคหัวใจ/ปอด เบาหวาน) เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาตามความเหมาะสม.
หลังเกิดเหตุ : นอกจากการรักษาพยาบาลผู้ป่วย และส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่สามารถให้การรักษาที่ดีกว่าแล้ว บุคลากรสาธารณสุขยังต้องดำเนินการตามแผนฟื้นฟูหลังภัยพิบัติทั้งสำหรับโรงพยาบาลและสำหรับชุมชนด้วย (ดูภัยพิบัติตอนที่ 10 คลินิกฉบับเดือนมีนาคม 2550)
สันต์ หัตถีรัตน์ พ.บ.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 3,764 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้