5. ภัยแล้ง
ภัยแล้ง (drought) หมายถึง ภาวะที่เกิดจากน้ำ น้ำฝน น้ำใต้ดิน หรือน้ำในแม่น้ำลำคลอง หรือในอ่างเก็บน้ำ มีน้อยกว่าปกติ จนไม่เพียงพอต่อความต้องการของคน สัตว์ และพืช.
ในประเทศไทยมักเกิดในฤดูแล้งหรือในระยะที่ฝนทิ้งช่วง (มิถุนายน-กรกฎาคม) พื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้ง คือ พื้นที่ที่เคยเกิดภัยแล้งมาก่อนและการเกิดภาวะอากาศแปรปรวน (ในพ.ศ. 2550 นี้ เกิดภัยแล้งมากบ้างน้อยบ้างถึง 48 จังหวัด).
สิ่งเตือนภัยว่าอาจเกิดภัยแล้ง คือ อากาศร้อนแห้ง ไฟป่า แม่น้ำ ลำคลอง และลำธารมีน้ำน้อยหรือแห้งผาก น้ำในบ่อขุดแห้ง ต้นไม้ใหญ่เหี่ยวเฉา เป็นต้น.
ก่อนเกิดเหตุ : เนื่องจากภัยแล้งเกิดขึ้นช้าๆ และมีสิ่งเตือนภัยล่วงหน้าเป็นเวลาพอสมควร โรงพยาบาลจึงควรเตรียมที่กักเก็บน้ำไว้ให้เพียงพอ และหาแหล่งที่จะส่งน้ำเพิ่มเติมให้แก่โรงพยาบาลได้นอกเหนือจากหน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งมาตรการในการประหยัดน้ำในทุกส่วนของโรงพยาบาล และร่วมรณรงค์ให้ประชาชนรู้จักการใช้น้ำให้คุ้มค่าที่สุด และเป็นภัยต่อสุขภาพน้อยที่สุด.
ขณะเกิดเหตุ : แม้ภัยแล้งจะเป็นภัยพิบัติที่อาจทำให้ประชาชนเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้เป็นจำนวนมากๆ ในบางประเทศจากการขาดอาหารและน้ำบริโภค แต่ในประเทศไทยภัยแล้งมักทำให้เกิดเพียงความทุกข์ยากในการทำมาหากินและการดำรงชีวิต แต่ไม่ถึงกับทำให้เจ็บป่วยและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก.
โรงพยาบาลจึงไม่ต้องรับดูแลผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก แต่สามารถช่วยรณรงค์ให้ประชาชนรู้จักใช้น้ำสะอาดและอาหารที่มีราคาถูกและมีคุณค่าต่อสุขภาพในภาวะภัยแล้ง เพราะการเจ็บป่วยในภาวะภัยแล้งมักเกิดจากการบริโภคอาหารและน้ำที่ไม่สะอาดหรือมีสิ่งเป็นพิษเจือปนอยู่ และจากภาวะทุพโภชนาการโดยเฉพาะในเด็กและคนชรา.
หลังเกิดเหตุ : ควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูหลังภัยพิบัติทั้งสำหรับโรงพยาบาลและสำหรับชุมชนด้วย.
6. ภัยร้อน
ภัยร้อน อาจเกิดขึ้นตามฤดูกาล ซึ่งในบางแห่ง อุณหภูมิอาจสูงกว่า 40oซ. แต่ความร้อนตามฤดูกาล มักเกิดขึ้นช้าๆ ทำให้ผู้คนสามารถปรับตัวได้ตามสมควร จึงไม่เกิดการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก.
แต่ภัยร้อนที่เกิดจาก "คลื่นร้อน" (heat wave) ที่ร้อนและชื้นอย่างรวดเร็ว รุนแรง และคงอยู่เป็นเวลาหลายวัน ทำให้ผู้คนที่ไม่ชินกับความร้อน เช่นในทวีปยุโรป และอเมริกาเหนือ เจ็บป่วยและล้มตายเป็นจำนวนมากในแต่ละปี.
ในประเทศไทย ภัยร้อนมักเกิดกับบุคคลที่ออกกำลังกลางแดดหรือในอากาศที่ร้อนอบอ้าว โดยไม่คุ้นเคยกับสภาวการณ์เช่นนั้นมาก่อน เช่น พลทหารเกณฑ์ ผู้เข้าร่วมวิ่งมาราธอน เป็นต้น.
พื้นที่เสี่ยงภัย คือ พื้นที่ที่เคยเกิด "คลื่นร้อน" มาก่อน พื้นที่ที่ร้อนอบอ้าว.
ภาวะที่เสี่ยงภัย คือ เด็กเล็ก คนชรา คนอ่อนแอ คนขาดน้ำ และคนป่วย โดยเฉพาะถ้าเป็นโรคที่ทนความร้อนไม่ได้.
ก่อนเกิดเหตุ : แพทย์และพยาบาลควรรณรงค์ให้ประชาชนรู้จักป้องกันตนเองจากภัยร้อน เช่น หลีกเลี่ยงสถานที่ร้อนอบอ้าว อย่าทำงานหรือออกกำลังกลางแดด ใส่เสื้อสีขาวหรือสีจางที่ทำด้วยผ้าบาง โปร่ง และหลวม ดื่มน้ำมาก/บ่อย หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่าออกกำลังมากเกินไป เป็นต้น.
ขณะเกิดเหตุ : ผู้ที่ประสบภัยร้อน อาจเกิดการเจ็บป่วย เช่น
1. บวมร้อน (heat edema) โดยบวมที่มือ เท้า และข้อเท้าเล็กน้อย หลังทนร้อนได้ไม่กี่วัน เกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดที่มือเท้า และน้ำคั่งในส่วนต่ำ (dependent edema) ร่วมกับการหลั่ง aldosterone และ antidiuretic hormone เพิ่มขึ้นจากความเครียดเพราะความร้อน.
ภาวะนี้ไม่มีอันตราย และจะหายเองเมื่อพยายามยกส่วนที่บวมให้สูงขึ้น ห้ามให้ยาขับปัสสาวะ เพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ.
2. ผด (prickly heat, heat rash, lichen tropicus, miliaria rubra) เป็นผื่นคันแดงในร่มผ้า โดยเฉพาะบริเวณที่อบหรืออับเหงื่อ เกิดจากท่อเหงื่ออุดตันเพราะขี้ไคล การอาบน้ำเย็นบ่อยๆ หรืออยู่ในที่เย็นจะช่วยลดอาการคันและทำให้ผดหายเร็วขึ้น การใช้ chlorhexidine lotion หรือครีมทา ก็จะช่วยให้หายเร็วขึ้น (การทาแป้งไม่ช่วยหรือช่วยได้น้อยมาก).
ถ้าผดเป็นมากหรือเป็นนาน ท่อเหงื่อจะถูกอุดตันมากขึ้นและเกิดเป็นเม็ดพองลึกลงไป เรียกว่า miliaria profunda ซึ่งอาจกลายเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง (chronic dermatitis) ถ้าเป็นหนองก็ต้องให้ยาปฏิชีวนะ เช่น dicloxacillin, erythromycin ช่วย.
3. ตะคิวร้อน (heat cramps) เป็นอาการปวดกล้ามเนื้ออย่างฉับพลันจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อโดยไม่ตั้งใจ มักจะเป็นที่น่อง ต้นขา และ/หรือไหล่.
มักเกิดในคนที่เหงื่อออกมาก แล้วดื่มน้ำเปล่าที่ไม่มีเกลือแร่ผสมอยู่ มันอาจเกิดขึ้นขณะออกกำลังหรือหลายชั่วโมงหลังออกกำลังแล้วก็ได้ เกิดจากการขาดเกลือแร่โดยเฉพาะโซเดียมและน้ำ.
การรักษาคือ การให้พักในที่เย็น และเหยียดกล้ามเนื้อที่เกร็งแข็งให้ยืดออก ให้ดื่ม 0.1-0.2 % น้ำเกลือ (หรือเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬา) ถ้าเป็นมากอาจให้น้ำเกลือ IV.
4. ชักเกร็งเพราะร้อน (heat tetany) การเผชิญกับความร้อนรุนแรงในช่วงสั้นๆ อาจทำให้เครียด จนหายใจเกิน (hyperventilation) ทำให้เกิดอาการเหน็บชาที่ปากและมือเท้า ซึ่งถ้าเป็นมากจะทำให้ มือจีบ และชักเกร็งได้เช่นเดียวกับภาวะหายใจเกิน (hyperventilation syndrome) จากสาเหตุอื่นๆ.
การรักษาคือ การนำผู้ป่วยเข้าพักในที่เย็น และให้ผู้ป่วยหายใจช้าลงหรือหายใจในถุง.
5. เป็นลมเพราะร้อน (heat syncope) ส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยขาดน้ำ เมื่อหลอดเลือดขยายตัวจากความร้อน ทำให้ความดันเลือดตกและเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ผู้ป่วยก็จะหน้ามืดและเป็นลม.
การรักษาคือ การนำผู้ป่วยเข้านอนพักในที่เย็น และให้การปฐมพยาบาลเช่นเดียวกับภาวะ หน้ามืดเป็นลมอื่นๆ.
6. หมดแรงเพราะร้อน (heat exhaustion) เป็นภาวะที่เกิดจากร่างกายขาดน้ำมาก ทำให้หิวน้ำ อ่อนเพลีย หมดแรง ปวด/เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว อุณหภูมิร่างกายอาจปกติหรือสูงขึ้นก็ได้ ชีพจรเร็ว ความดันเลือดตกเมื่อยืนขึ้น หายใจเร็วและเหงื่อแตก แต่ผู้ป่วยยังรู้สึกตัวดี.
การรักษาคือ การให้นอนพักในที่เย็น ให้น้ำเกลือแร่ทางปากหรือเข้าเส้น และป้องกันไม่ให้กลายเป็นภาวะสมองเสียเพราะร้อน.
7. สมองเสียเพราะร้อน (heat stroke) บ้างเรียกว่า "โรคลมแดด" แต่ไม่ใช่อาการเป็นลม (ดูข้อ 5. "เป็นลมเพราะร้อน") และไม่จำเป็นต้องโดนแดด แต่เป็นภาวะที่สมองทำงานผิดปกติเพราะความร้อน (ทำให้สับสน เพ้อ คลั่ง หลอน ซึม โซเซ ชัก อัมพาต/หมดสติ) อุณหภูมิร่างกายมักสูงกว่า 40oซ. ผิวหนังจะร้อนแห้ง (ไม่มีเหงื่อ) ยกเว้นในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดภาวะนี้หลังออกกำลังมากเกินไปในที่ร้อนก็จะมีเหงื่อได้. ผู้ป่วยที่มีไข้ > 40oซ. และสมองทำงานผิดปกติ ต้องนึกถึงภาวะนี้ด้วยเสมอ เพราะภาวะนี้เป็นภาวะฉุกเฉิน และทำให้เสียชีวิตหรือพิการได้.
การรักษาคือ
(1) รีบนำผู้ป่วยเข้าสู่ที่เย็น ถอดเสื้อผ้าออก ใช้ถุงน้ำแข็งวางที่ซอกคอ รักแร้ และขาหนีบ ใช้ผ้าเปียกน้ำคลุมตัว แล้วใช้พัดลมเป่าเพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายลง (ห้ามให้ยาลดไข้ เช่น แอสไพริน พาราเซตามอล).
(2) ให้ NSS หรือ LRS 250 มล./ชม. IV ถ้าน้ำตาลในเลือดต่ำ (โดยเฉพาะในคนที่ขาดอาหารหรือออกกำลังมากเกิน) ก็ให้กลูโคสด้วย.
(3) ให้ O2 และรักษาอาการและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ.
(4) เฝ้าใกล้ชิด และติดตามสารเคมีในเลือด เพราะตับมักผิดปกติใน 24-72 ชม. ไตอาจเสื่อม กล้ามเนื้อลายอาจสลาย (rhabdomyolysis) เกลือแร่และกรดด่างเปลี่ยนได้บ่อย เป็นต้น.
หลังเกิดเหตุ : ควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูภัยพิบัติสำหรับโรงพยาบาลและชุมชนด้วย (ดูภัยพิบัติ ตอนที่ 10 เดือนมีนาคม 2550).
7. ภัยหนาว
ภัยหนาว (cold injuries) คือ การบาดเจ็บที่เกิดจากอุณหภูมิในสิ่งแวดล้อมลดลงต่ำกว่าปกติมากเป็นเวลานานๆ ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเร็วลม ความชื้น การออกกำลังเกินควร การใช้ยา/สุรา ความเจ็บป่วยอื่นๆ จะทำให้เกิดอันตรายจากภัยหนาวเพิ่มขึ้น.
ในประเทศไทย ภัยหนาวจะเกิดในบริเวณภาคเหนือและภาคอีสานตอนบน ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ที่อาจทำให้อุณหภูมิลดลงต่ำกว่า 15oซ. ติดต่อกันนานกว่า 7 วันในพื้นที่ราบ (บนเขาและเนินสูง อุณหภูมิอาจลงต่ำถึง 0oซ. และเกิดภาวะน้ำค้างแข็งตามยอดหญ้าและใบไม้ได้) แต่ก็ไม่หนาวพอที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติที่ทำให้คน และ/ หรือสัตว์ต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากแต่อย่างใด.
ก่อนเกิดเหตุ : ก่อนจะถึงฤดูหนาวคนในพื้นที่เสี่ยงควรจะเตรียมเสื้อผ้า ผ้าห่ม และที่พักอาศัย รวมทั้งฟืนหรือเครื่องทำความร้อนให้พร้อม.
ส่วนบุคคลที่จะไปเที่ยวในพื้นที่ที่หนาว ก็ควรจะเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญกับภัยหนาวโดยไม่คาดฝัน เช่น รถเสียบนเขา ไม่มีที่พัก เจอพายุฝน/ลูกเห็บ เป็นต้น.
ขณะเกิดเหตุ : ผู้ประสบภัยหนาวอาจเกิดอันตรายที่อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ
ก. ภัยในระดับไม่แข็ง (nonfreezing cold injuries) เช่น
ก.1 ผิวหนาว (chilblains, pernio) เป็นภาวะผิวหนังอักเสบที่สัมผัสความเย็นชื้นที่ไม่ถึงจุดเยือกแข็งเป็นระยะๆ ติดต่อกันนานๆ มักเป็นนอกร่มผ้าโดยเฉพาะหู มือ และเท้า อาจเกิดขณะ/หลังการสัมผัสกับความเย็นแล้วถึง 12 ชั่วโมง โดยบริเวณที่สัมผัสเริ่มบวม แดง/เขียว ต่อมาอาจเป็นปื้น/ตุ่ม และมีน้อยรายที่อาจเกิดตุ่มพอง และแผล ผู้ป่วยมีอาการคันและปวดแสบปวดร้อน.
การประคบร้อนเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดเป็นตุ่มเขียวและเจ็บอยู่หลายวัน มักเป็นในหญิงและเด็ก และคนที่มีอาการ Raynaud phenomenon.
การรักษาคือ การทำให้อุ่นขึ้นช้าๆ การให้กิน pentoxiphylline 400 มก. วันละ 3 ครั้ง การทาด้วยครีมสตีรอยด์ หรือการให้กินเพร็ดนิโซโลนในระยะสั้น เป็นต้น.
ก. 2 เท้าแช่เย็น (trench foot & immersion foot) คือ ภาวะที่ทหารยืนแช่น้ำเย็นในสนามเพลาะอยู่เป็นเวลานาน จนเกิดอาการเหน็บชาเท้าซีดเป็นจ้ำๆ ไม่มีชีพจร เคลื่อนไหวไม่ได้ (trench foot) และถ้าเป็นมาก ดังในชาวเรือที่เรือแตกและเท้าต้องแช่น้ำเย็นอยู่ในแพชูชีพหรืออื่นๆ เป็นเวลานานๆ (immersion foot) เท้ามักจะตาย (gangrene) และเนื้อจะเน่าหลุด.
การทำให้เท้าอุ่นขึ้นมักจะเห็นผลใน 2-3 ชั่วโมง โดยผิวหนังจะแดงขึ้น เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน ผิวหนังเริ่มรับความรู้สึกได้ใหม่ แต่หลัง 2-3 วัน เท้าจะบวม และเกิดตุ่มพอง และอาจแดงมากขึ้น ถ้าเป็นมากเนื้ออาจเน่าตายและหลุด.
หลังดีขึ้น อาการชา การมีเหงื่อมาก และการไวต่อความเย็นของเท้า อาจคงอยู่เป็นเดือน เป็นปี หรือตลอดไป.
การรักษาคือ การทำให้เท้าแห้ง ยกสูง และทำให้อุ่นขึ้นช้าๆ ระวังการติดเชื้อ ให้กิน pentoxifylline 400 มก. วันละ 3 ครั้ง เป็นต้น.
ข. ภัยในระดับแข็ง (freezing cold injuries) เช่น
ข.1 หนาวกัด (frostnip) คือ อาการที่ผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณจมูก หู หน้า มือ และเท้า ถูกกับอากาศหนาวจัด จนซีด ชา และ/หรือเจ็บ แต่ไม่ถึงกับไหม้ และเมื่อทำให้อุ่นขึ้น ก็จะหายเป็นปกติ.
ข.2 หนาวไหม้ (frostbite) คือ ข้อ ข.1 ที่เป็นรุนแรงขึ้น จนผิวหนังหนาวไหม้ตั้งแต่ระดับ 1-4 (first to fourth degree skin freezing burn) ระดับ 1 ผิวหนังจะแดง บวมเล็กน้อย แต่ไม่มีตุ่มพอง รู้สึกปวดแสบปวดร้อน และผิวหนังอาจลอกในอีกหลายวันต่อมา แต่จะหายเป็นปกติ ส่วนระดับ 4 การหนาวแข็งจะเกิดตั้งแต่ผิวหนังถึงกระดูก บวมน้อย ผิวจะแดงคล้ำหรือเขียวเป็นจ้ำ และต่อไปจะแห้งเหี่ยวดำ และตายแห้ง (mummified).
การรักษา ให้ดูในตำราทั่วไป.
ข.3 ตัวเย็น (hypothermia) คือ ภาวะที่อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า 36๐ซ. ระดับอ่อน (34- 36oซ.) ร่างกายไม่ได้รับอันตรายจากความเย็นมากนัก ระดับกลาง (30-34oซ.) เลือดเลี้ยงสมองน้อยลง สมองทำงานน้อยลง หายใจช้าและตื้น ชีพจรช้าและเบา ความดันเลือดตก ผิวหนังเย็นแข็ง ผู้ป่วยมักหมดสติ และหัวใจอาจหยุดเต้นได้ ระดับเย็นแข็ง (< 30oซ.) ตัวเย็นแข็ง หมดสติเต็มที่ หัวใจอาจเต้นช้าและเบามากจนตรวจไม่ได้ หายใจอาจช้าและตื้นมากจนมองไม่เห็น จึงต้องรักษาแบบภาวะหัวใจหยุดไปก่อน.
การรักษา ให้ดูในตำราทั่วไป หรือตำรากู้ชีพ.
หลังเกิดเหตุ : ควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูภัยพิบัติสำหรับโรงพยาบาลและชุมชนด้วย (ดูภัยพิบัติตอนที่ 10 เดือนมีนาคม 2550).
สันต์ หัตถีรัตน์ พ.บ.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 6,718 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้