9. ภัยพิบัติฝูงชน
ภัยพิบัติฝูงชน (crowd or mass gathering disaster) หมายถึง การบาดเจ็บ ล้มตายเมื่อมีผู้คนจำนวนมากมาร่วมกันอย่างแออัดยัดเยียดแล้วเกิดการผลัก/อัด/เบียด/ ล้มทับ/เหยียบกันตาย (human stampede) หรือเกิดความไม่สงบ (civil unrest) หรือการจลาจล (riot) หรืออื่นๆ.
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภัยพิบัติฝูงชน (อาจทำให้จำได้ง่ายขึ้นโดยคำย่อ FIST หรือ Force, Incitement, Space และ Time) คือ
1. จำนวนคนและแรงผลัก/เบียด (Force) จำนวนคนและแรงผลัก/เบียดจะมาก หรือน้อยย่อมขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนคนกับขนาดของพื้นที่และสภาพร่างกายของผู้คนในฝูงชน เช่น ในโรงภาพยนตร์หรือไนท์คลับ คนไม่กี่ร้อยคนที่แออัดยัดเยียดกันอยู่ ถ้ามีคนตะโกนว่าไฟไหม้หรือระเบิด และเกิดการแตกตื่นแย่งกันหนีออกทางประตูแคบๆ จะเกิดการผลัก/เบียด/เหยียบกันตายได้ โดยเฉพาะเด็ก สตรี และคนชราที่อ่อนแอกว่า เป็นต้น.
2. สิ่งกระตุ้น (Incitement or information) อาจจะเป็นเหตุการณ์หรือข้อมูล (ข่าวจริง ข่าวลือ) ที่ทำให้ผู้คนตื่นตกใจ หรือกลัวว่าจะไม่ได้สิ่งที่ตนต้องการ (เช่น จตุคามรามเทพ การเข้าชมกีฬา/คอนเสิร์ต) หรือโกรธ จนเกิดการวิ่ง/การผลัก/การลุกฮือขึ้นพร้อมๆ กัน จนไม่สามารถควบคุมได้ เป็นต้น.
3. พื้นที่ (Space) ขนาดและสภาพของพื้นที่เป็นปัจจัยสำคัญของการเกิดภัยพิบัติ เช่น พื้นที่แคบ สะพาน/อัฒจันทร์/ท่าเรือ (โป๊ะข้ามฟาก) ที่ไม่แข็งแรง พื้นที่ใกล้สิ่งอันตราย (ดอกไม้ไฟ พลุ บั้งไฟ ฯลฯ) อากาศร้อน/หนาวเกินไป เป็นต้น.
ในที่ที่มีฝูงชนรวมกันอย่างแออัด แล้วเกิดเหตุการณ์หรือข่าวที่ทำให้เกิดการแตกตื่นหรือลุกฮือขึ้น ฝูงชนจะเกิดปฏิกิริยาคล้ายกันและตามกันไปเป็น พรวน จนบางครั้งแม้จะมีประตู/ทางออกหลายแห่ง แต่ฝูงชนมักจะแห่กันไปออกทางประตู/ทางออกที่มีคนกลุ่มแรก (ซึ่งเปรียบเสมือน "จ่าฝูง") วิ่งออกไปก่อน แทนที่จะกระจายกันออกทางประตู/ทางออกอื่น จึงเกิดการแย่งชิงกัน ผลัก/เบียดกัน จนล้มและเหยียบกันตายขึ้น.
อนึ่ง ประตู/ทางออกที่แคบและผ่านได้ทีละคน จะทำให้มีการ "เข้าคิว" กันเดินออกอย่างเป็นระเบียบ และทำให้ระบายคนได้เร็วกว่าประตู/ทางออกที่ออกได้หลายคนพร้อมกัน ซึ่งในยามแตกตื่น ผู้คนจะวิ่งแย่งชิงกันออก ทำให้เกิดการผลัก/เบียดกัน จนออกได้ยากขึ้นและทำให้ระบายคนได้ช้าลง และเกิดภัยพิบัติเพิ่มขึ้น.
ดังนั้น ถ้าประตูหรือทางเข้า-ออกกว้าง จะต้องมีเชือกหรือแผงกั้นเป็นหลายช่อง โดยแต่ละช่องกว้างพอให้คน 1 คนผ่านได้เท่านั้น จึงจะทำให้การระบายคนเข้า-ออกเป็นระเบียบและรวดเร็ว และลดการบาดเจ็บล้มตายลงได้.
4. เวลา (Time) ระยะเวลาทั้งหมดที่เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ ถ้าสั้น การบาดเจ็บล้มตายจะน้อย ถ้ายาว (เพราะคุมสถานการณ์ไม่ได้) การบาดเจ็บล้มตายจะมาก.
รูปแบบของภัยพิบัติฝูงชน ที่สำคัญคือ
1. การอัด/เหยียบกันตาย (human stampede) การแตกตื่นของฝูงชนจะทำให้เกิดการวิ่ง/ผลัก/เบียด/อัด/ล้ม/เหยียบกันจนเกิดการบาดเจ็บล้มตาย ซึ่งนอกจากจะเกิดจากการล้มทับกัน/เหยียบกันแล้ว ยังเกิดจากการถูกอัดกับของแข็ง (เช่น กำแพง ประตูเหล็ก คนที่แข็งแรงกว่า) จนหายใจไม่ได้ (compressive asphyxia) และมักมีการบาดเจ็บแบบอัด (crush injury) ที่อก และ/หรือท้องด้วย ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากแรงดันเลือดดำที่สูงขึ้นทันที (acute severe venous hypertension).
ทำให้หัวใจหยุดเต้น (asystolic cardiac arrest) ชักต่อเนื่อง (status epilepticus) สับสนอยู่นาน (prolonged confusion) ตาถลน/ตาบอด หน้าบวม มีจุดเลือดออก (petechiae) เลือดออกที่ตาขาว (subconjunctival hemorrhage) จ้ำเลือด (ecchymosis) ที่หน้าและอก เป็นต้น.
การบาดเจ็บอื่น เช่น ซี่โครงหัก อกรวน (flail chest) ปอดช้ำ (pulmonary contusion) ลมในช่องอก (pneumothorax) หัวใจช้ำ (myocardial contusion) ข้อเคล็ด/แพลง กระดูกหัก ตับ/ม้ามแตก เลือด ออกในกระเพาะลำไส้ ช็อก ไตล้มเฉียบพลัน กล้ามเนื้อสลายตัว (rhabdomyolysis).
การรักษาขั้นต้นจะมุ่งไปที่การช่วยการหายใจและการไหลเวียนเลือดเป็นสำคัญ.
2. การก่อความไม่สงบและการจลาจล (civil unrest and riots) ซึ่งการบาดเจ็บล้มตายเกิดได้ทุกรูปแบบ เช่น ถูกตี ถูกแทง ถูกลูกปืน ถูก ระเบิด ถูกชน (ด้วยรถ ด้วยคน ฯลฯ) ถูกแก๊สน้ำตา (tear gas) ถูกสิ่งแสบร้อนพ่น (pepper spray) ถูกไฟไหม้/ลวก เป็นต้น.
การรักษาขั้นต้น จึงเป็นเช่นเดียวกับการรักษาการบาดเจ็บเฉียบพลันต่างๆ โดยทั่วไป.
การก่อความไม่สงบหรือการจลาจล แม้เมื่อเริ่มต้นมักจะเกิดในพื้นที่จำกัด แต่เมื่อเนิ่นนานออกไป มักจะแผ่ขยายและกระจายออกไปทั่วเมืองหรือทั่วประเทศได้ ขึ้นอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจอย่างกว้างขวางเพียงใดและขึ้นอยู่กับวิธีการแก้ปัญหาและความศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม/ความชอบธรรมของวิธีการแก้ปัญหานั้น.
คนที่รวมกันอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน มักจะคิดเห็นและกระทำการไปในทิศทางเดียวกัน (group cohesion) ซึ่งถ้ามีสิ่งที่ไปกระตุ้นให้โกรธหรือไม่พอใจ อาจเกิดปฏิกิริยารุนแรงหมู่ (mob mentality) ทำให้เกิดการจลาจลได้ โดยเฉพาะถ้าเกี่ยวกับศาสนา สีผิว ชนชั้น หรือการเมือง จึงเกิดการทุบ/ทำร้าย/ทำลาย/เผา/ลักขโมย และอื่นๆ โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายและคำสั่งใดๆ.
ภัยพิบัติฝูงชนนอกจากจะเกิดจากการบาดเจ็บต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังเกิดจากภาวะเหนื่อย ล้า/หมดแรง (exhaustion) ป่วยเพราะร้อน (heat-related illness) พิษสุรา/ยาเสพติด โรคเดิม (หัวใจ ปอด ฯลฯ) กำเริบ และอื่นๆ.
ก่อนเกิดเหตุ : การรวมกลุ่มของฝูงชนมักจะรู้/คาดการณ์ได้ล่วงหน้า โดยเฉพาะเกี่ยวกับการกีฬา คอนเสิร์ต พิธีกรรมทางศาสนา และอื่นๆ.
ผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้จัด ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ผู้นำชุมชน หน่วยงานฉุกเฉินต่างๆ ควรจะได้ปรึกษาหารือกัน และหาทางป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติฝูงชนที่อาจเกิดขึ้นได้.
โดยคาดการณ์ถึง จำนวนคนและแรงผลัก (F) สิ่งกระตุ้น (I) พื้นที่ (S) และเวลา (T) ดังกล่าวข้างต้น และรูปแบบของภัยพิบัติและลักษณะการบาดเจ็บที่ น่าจะเกิดขึ้น เพื่อเตรียมบุคลากร ยานพาหนะ อุปกรณ์เวชกรรม และวิธีการเข้าถึงผู้ป่วย (วิธีการเข้าถึงผู้ป่วย หรือการนำผู้ป่วยออกจากฝูงชนที่แออัดยัดเยียดมักจะทำได้ยากและเสียเวลามากจนอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้) รวมทั้งการบริการอาหาร น้ำ และห้องสุขา การห้ามจำหน่ายสุราและสิ่งที่ทำให้เกิดการมึนเมา อันจะนำมาซึ่งการทะเลาะวิวาทกันได้ง่าย เป็นต้น.
ในบางประเทศ จะให้มีแพทย์ 1-2 คนต่อฝูงชน 50,000 คน มีพยาบาลเวชศาสตร์ฉุกเฉินหรือบุคลากร เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (paramedic) 1-2 คนกับบุคลากรผู้ช่วย (emergency medical technician) 1-2 คนต่อฝูงชน 10,000 คน และมีบุคลากรปฐมพยาบาล (basic first-aid provider) 1 คนต่อฝูงชน 1,000 คน โดยประจำอยู่ในตำแหน่งที่ฝูงชนในส่วนต่างๆ จะสามารถเดินไปยังตำแหน่งนั้นๆ ได้ภายใน 5 นาที โดยจะต้องมีเสาธงสูงๆ เพื่อบอกตำแหน่งอย่างชัดเจน (เช่น ธงกาชาด) และมีรถเล็กๆ เช่น รถจักรยานยนต์ที่ดัดแปลงให้ด้านข้างเป็นเปลสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยได้ในที่แออัดหรือที่แคบ เพื่อส่งไปยังหน่วยฉุกเฉินนอกที่ชุมนุมที่สามารถให้การรักษาพยาบาลที่เพียบพร้อมกว่า ก่อนจะนำส่งโรงพยาบาล เป็นต้น.
การมีแพทย์ที่ชำนาญ (เช่น แพทย์ฉุกเฉิน) ประจำอยู่ที่หน่วยฉุกเฉิน จะช่วยให้การคัดแยกผู้ป่วยและการรักษาพยาบาลเบื้องต้น เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้น และทำให้จำนวนผู้เจ็บป่วยที่จะต้องส่งโรงพยาบาลลดลง.
อนึ่ง การมีตำรวจนอกเครื่องแบบ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาฝูงชนและการดูแลฝูงชนปะปนอยู่กับฝูงชน จะช่วยให้การสอดส่อง ดูแล และควบคุมกลุ่มคนเล็กๆ ที่เริ่มมีพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย กลายเป็นภัยพิบัติฝูงชนได้.
จุดอ่อนที่ทำให้เกิดภัยพิบัติฝูงชน เช่น
1. ไม่มีกฎหมายหรือกฎระเบียบเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำเพื่อป้องกันภัยพิบัติฝูงชนในสภาวะฝูงชนแต่ละเหตุการณ์ เช่น กีฬา คอนเสิร์ต พิธีกรรมทางศาสนา การชุมนุมทางการเมือง/การนัดหยุดงาน เป็นต้น.
2. ไม่มีการประสานงานกันระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจ อาสาสมัครกู้ภัย/กู้ชีพ/ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน หน่วยบรรเทาสาธารณภัย ฝ่ายปกครอง แพทย์ พยาบาล และอื่นๆ เพื่อเตรียมการรับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น.
3. ไม่มีการวางแผนและซ้อมแผนร่วมกันระหว่างฝ่ายต่างๆ จึงไม่มีผู้สั่งการที่มีอำนาจสั่งการแต่ผู้เดียว และไม่มีลำดับขั้นตอนที่ชัดเจนในการปฏิบัติในด้านต่างๆ ทางด้านการแพทย์ก็จะต้องมีแพทย์ที่มีอำนาจสั่งการในด้านการแพทย์เพียงคนเดียวเช่นกัน.
4. คาดการณ์ผิดพลาด เช่น ในด้านปริมาณ/ลักษณะของฝูงชน ในด้านภูมิอากาศ/การก่อการร้าย.
5. ไม่ได้เตรียม/ฝึกอบรม/ฝึกซ้อม บุคลากรและวัสดุอุปกรณ์สำหรับการเผชิญภัยพิบัติฝูงชน เป็นต้น.
ขณะเกิดเหตุ : ให้การดูแลรักษาผู้เจ็บป่วย ตามสภาวะการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับภาวะภัยพิบัติอื่นๆ โดยต้องรักษาความปลอดภัยของบุคลากร ให้พ้นจากความรุนแรงของฝูงชนและของเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย.
หลังเกิดเหตุ : ควรดำเนินการตามแผนฟื้นฟูสำหรับโรงพยาบาลและชุมชนด้วย.
สันต์ หัตถีรัตน์ พ.บ.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 5,509 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้