การดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่แสนดื้อ (Working with Chronically ill and stubborn patient)
เคยไหมที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการรักษาโรคเรื้อรัง จำพวกเบาหวาน ความดันโลหิตสูง รักษาไปก็ไม่เห็นจะหาย คนไข้เก่าก็มานัดติดตามมากมาย คนไข้ใหม่ก็ไปคัดกรองได้มาเพิ่มอีก แน่นขนัดไปหมดทุกคลินิก มันทั้งเหนื่อยและเครียดนะสำหรับผู้รักษา.
เคยไหมที่จะรู้สึกเซ็งกับคนไข้ดื้อ พูดไม่รู้เรื่อง สั่งแล้วไม่ทำตาม อวดรู้ อยากทำอย่างนั้นอย่างนี้ สั่งจะเอายานั้นยานี้ เห็นเราเป็นร้านขายยาหรืออย่างไร มาเลือกซื้ออย่างกับห้างสรรพสินค้า.
หากเอาความยากสองกรณีมารวมกัน "ป่วยเป็นโรคเรื้อรังแล้วยังไม่พอ จะมาออก อาการแสนดื้ออีก" แพทย์จะดูแลอย่างไร เรามาทำความรู้จักกับผู้ป่วยกลุ่มนี้กันดีกว่า.
กรณีศึกษา
ชายไทยมุสลิม อายุ 55 ปี.
ป่วยด้วยโรคเบาหวานมานาน 10 ปี ร่วมกับมีภาวะแทรกซ้อนที่จอประสาทตา และไต ผู้ป่วยมารับยาอินซูลินเป็นประจำ.
ครั้งนี้มาตามนัด มีแผลเรื้อรังที่นิ้วโป้งเท้าซ้าย หลังจากเดินเหยียบเสี้ยนไม้ที่พื้นบ้าน เมื่อ 3 เดือนก่อน. แพทย์ตรวจพบลักษณะนิ้วโป้งเท้าซ้ายดำคล้ำ มีแผลเหม็นและเนื้อตายบริเวณปลายนิ้ว จึงส่งปรึกษาศัลยแพทย์ ซึ่งแนะนำให้ตัดนิ้วเท้า ผู้ป่วยปฏิเสธ และไม่มาตรวจตามนัดศัลยกรรมอีก.
2 เดือนต่อมา ผู้ป่วยกลับมาพบแพทย์เดิม เนื่องจากยาเบาหวานหมด.
ผู้ป่วย "หมอ วันนี้ยาผมหมด ขอยาเบาหวานเหมือนเดิม สัก 2 เดือนนะ ขอยาทำแผล น้ำเกลือ และสำลีด้วย ...อ้อ! แล้วไม่ต้องส่งผมไปศัลยกรรมแล้วนะ เอะอะอะไรก็จะตัดนิ้วผมท่าเดียว แผลผมเป็นแค่นี้... เอ้อ! แล้วอย่าลืมเข็มฉีดยาผมด้วยนะ แอลกอฮอล์ด้วย"
แพทย์ (ชักสีหน้าไม่พอใจ เมื่อถูกผู้ป่วยออกคำสั่งเป็นชุด) "ลุง ที่นี่เป็นโรงพยาบาลนะครับ ไม่ใช่ร้านขายยาที่ลุงจะมาสั่งเอาตามใจแบบนี้ เรามีความสามารถทำได้มากกว่านั้น ผมดูแผลลุงแล้ว มันไม่ดีเลย อย่างนี้เก็บไว้ไม่ได้หรอก น่าจะต้องตัดนิ้ว เดี๋ยวผมทำเรื่องให้ลุงนอนโรงพยาบาลวันนี้เลยแล้วกัน เป็นกรณีพิเศษนะครับเนี่ย คนอื่นไม่ได้เร็วอย่างนี้หรอกนะ"
ผู้ป่วย "เอ๊ะ! หมอ ก็ผมบอกแล้วไงว่าไม่ตัด แผลผมแค่นี้ คราวก่อนส่งผมไปห้องฉุกเฉิน แผลผมดีๆ ก็เอายามาราดให้เป็นฟอง แล้วบอกว่าแผลเน่า นี่รวมหัวกันแกล้งผมใช่ไหม ผมไม่ตัดหรอก ขอแต่ยาแล้วกัน"
แพทย์ (รู้สึกหมดความอดทนที่ผู้ป่วยปฏิเสธความปรารถนาดีของตน) "อย่างนั้นผมถือว่าลุงปฏิเสธการรักษานะ ลุงเซ็นต์ใบไม่ยินยอมรับการรักษานี่แล้วกัน นี่เป็นเพราะลุงไม่คุมเบาหวานให้ดีเอง แผลถึงได้แย่อย่างนี้ อย่างนี้ผมก็ไม่รู้จะนัดลุงมาอีกทำไม"
ประเด็นคำถาม
- เกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยรายนี้ ทั้งๆที่แพทย์ปรารถนาดี และพยายาม เสนอสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย ทำไมผู้ป่วยไม่รับความปรารถนาดีนี้.
- ผู้ป่วยรายนี้ ไม่ให้ความร่วมมือและไม่สนใจดูแลตนเองจริงหรือ ถ้าเช่นนั้นทำไมถึงมาขอต่อยาเบาหวาน.
- ทำไมผู้ป่วยถึงบังอาจมาสั่งแพทย์เป็นชุด ทำไม ไม่เคารพเชื่อฟัง แพทย์ที่มีความรู้มากกว่า.
- จริงหรือที่ภาวะแทรกซ้อนของโรคเรื้อรังเกิดจากการกระทำของผู้ป่วยที่ไม่ดูแลตนเอง หากดูแลตนเองได้ดี ภาวะเหล่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น.
โรคเรื้อรังต่างจากโรคเฉียบพลันอย่างไร1
การที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเรื้อรัง สักโรค เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นเพียง "โรคธรรมดาที่แสนน่าเบื่อ" ของแพทย์โดยทั่วไป แต่สำหรับผู้ป่วยแล้ว โรคเรื้อรังคือข่าวร้าย ที่บ่งบอกว่า ต่อไปนี้ร่างกายเขาจะมีความเสียหายอย่างถาวร ถึงจะไม่ทำให้ตายในเวลาอันสั้น แต่ต่อไปนี้ชีวิตจะมีแต่ทรงกับทรุด ฉุดดิ่งลงไปเรื่อยๆ เหมือนตายผ่อนส่ง จะอยู่ได้ก็ต้องเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตทั้งชีวิต.
ในขณะที่โรคเฉียบพลัน หากไม่หายเอง ก็มักจะขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของแพทย์เป็นหลัก ผู้ป่วยมีหน้าที่เพียงปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ผู้ป่วยจึงมักจะกินยาหรือปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ได้เนื่องจากเป็นการปฏิบัติเพียงระยะเวลาสั้นๆ "อดทนสักหน่อย เดี๋ยวก็หาย".
แต่โรคเรื้อรังเป็นโรคที่ไม่หาย สิ่งต่างๆที่แพทย์สั่งให้ผู้ป่วยทำ ดูจะยืดยาวไม่มีที่สิ้นสุด ต้องปฏิบัติตลอดเวลา จนกลายเป็นชีวิตใหม่ที่ไม่ใช่ของตนเอง แพทย์ก็มักยึดติดกับบทบาทการเป็นผู้นำในการรักษา จนบางครั้งลืมนึกไปว่าผู้ป่วยและครอบครัวต่างหากที่เป็นผู้กำกับตัวจริง.
ในหลายกรณีที่ผู้ป่วยมีประสบการณ์ใช้ชีวิตอยู่กับโรคของตนเองมายาวนานกว่าแพทย์ที่มีประสบการณ์การเป็นแพทย์เสียอีก ผู้ป่วยผ่านการลองผิดลองถูกเพื่อดูแลตนเองมาหลายวิธี ซึ่งรวมถึงวิธีที่แพทย์ทุกคนแนะนำซ้ำๆซากๆเหมือนกัน ผู้ป่วยจึงมีสิทธิที่จะไม่เชื่อ เพราะผ่านการทดสอบด้วยตนเองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน.
ใครคือผู้ป่วยแสนดื้อ (Stubborn patient)
ทัศนคติต่อโรคและการดูแลสุขภาพตนเองขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตและบริบทด้านต่างๆของผู้ป่วย แต่ละราย สิ่งที่แพทย์คิดว่าดีที่สุดสำหรับโรคนั้น อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยรายนี้ หากแพทย์ไม่เข้าใจ ความแตกต่างระหว่างคนกับโรค แพทย์จะไม่ยืดหยุ่น และจะทำการรักษาแบบเหมาโหลไปหมด ผู้ป่วยรายใดที่ไม่เห็นด้วยก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ป่วย "แสนดื้อ เรื่องมาก ไม่ให้ความร่วมมือ" (Stubborn, manipulative, non-compliance patient).
การทำความเข้าใจกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่แสนดื้อแต่ละรายนั้น เริ่มง่ายๆเพียงการใช้คำถามปลายเปิดให้ผู้ป่วยเล่าเรื่องของตนเอง แทนการยิงคำถามให้ตอบเป็นคำๆ ซึ่งเป็นธรรมชาติของแพทย์ส่วนใหญ่ที่จะชอบขัดจังหวะและไม่สนใจในเรื่องเล่าของคนไข้ ดังงานวิจัยในต่างประเทศที่พบว่า แพทย์มักอดรนทนไม่ได้ จนต้องขัดจังหวะการเล่าเรื่องของผู้ป่วย หลังจากถามคำถามผู้ป่วยไปได้เพียง 18 วินาที.2
ตัวอย่างการพูดคุยกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังแสนดื้อคนเดิม
แพทย์ "แผลคุณลุงเป็นอย่างไรบ้างคะ เห็นหมอเขาว่ายังไม่ค่อยหายดี"
ผู้ป่วย (ขึ้นเสียงโวยวาย ท่าทีโกรธค้างมาตั้งแต่ครั้งก่อน) "ผมว่ามันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ผมเคยเห็นคนข้างบ้านเป็นยิ่งกว่านี้ ขาเขาบวมแดงทั้งขา ไข้ขึ้นสูง เขาแค่ฉีดยา ก็ยังหายได้ ไม่เห็นต้องตัดขา นี่ของผม แผลเล็กแค่นี้ หมอก็ไม่ฟังผม มาถึงก็บอกให้ตัดเลย หมอดูแผลผมแป็บเดียวเอง"
แพทย์ (รับฟังประเด็นสำคัญโดยไม่ขัดจังหวะ แม้จะเห็นว่าเพื่อนบ้านที่คุณลุงพูดถึง น่าจะเป็น cellulitis มากกว่า diabetic foot ) "ฟังดูคุณลุงไม่อยากให้ตัดนิ้ว"
ผู้ป่วย "ผมไม่ได้กลัวเจ็บนะ หมอรู้ไหม เราเป็นมุสลิม ร่างกายเป็นสิ่งประเสริฐสุดที่พระเจ้าประทานมาให้ ผมจะไปตัดนิ้วทิ้งได้อย่างไร อีกอย่างนะ ผมเคยเห็นคนที่ถูกตัดนิ้วแล้วก็ต้องตัดสูงขึ้นมาเรื่อยๆ เดี๋ยวตัดเท้า ตัดถึงเข่า แล้วก็หายไปทั้งขา หมอรับรองกับผมได้ไหมล่ะว่า ถ้าตัดแล้วจะแค่นี้จริงๆ ไม่มีการตัดเพิ่มอีก"
(นี่เองเป็นที่มาพฤติกรรมแสนดื้อของผู้ป่วยรายนี้ จริงๆแล้วเป็นเรื่องของความเชื่อทางศาสนาที่มีมุมมองต่อสุขภาพคนละแบบกับแพทย์ และการที่ผู้ป่วยเรียนรู้จากประสบการณ์เดิมว่าการสูญเสียอวัยวะลักษณะนี้จะไม่มีวันจบสิ้น เขารู้ว่าการผ่าตัดไม่ใช่คำตอบของปัญหาเท้าเน่า ดังนั้นจึงไม่ใช่เพราะเขาดื้อ ไม่เชื่อฟังคำสั่งแพทย์ แต่เขาสังเกตจากประสบการณ์จริงรอบตัว และคิดว่ามันน่าจะมีคำตอบอื่นที่ดีกว่าการตัดอวัยวะออก)
แพทย์ "แล้วคุณลุงคิดว่าจะดูแลแผลอย่างไรคะ"
ผู้ป่วย "........ผมอยากลองทำแผลเองดูก่อนสัก 2 เดือน ขอทำให้ถึงที่สุดก่อน นี่อาจเป็นบททดสอบ จากพระเจ้า ถ้าถึงเวลาแล้วแผลไม่หายจริงๆ ผมคิดว่าจะยอมให้ตัดนิ้ว พระเจ้าอาจมีพระประสงค์เช่นนั้น"
แพทย์ "อย่างนั้นก็ได้ค่ะ แต่ 2 เดือนอาจนานไป ยังไงคุณลุงแวะมาให้หมอช่วยดูแผลบ้างทุก 1-2 สัปดาห์จะได้ไหมคะ ถ้ามีอะไร หมอจะได้มีส่วนช่วยคุณลุงด้วย" (ต่อรองเพื่อช่วยเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น)
การติดตามผู้ป่วยแสนดื้อรายนี้
หลังจากนั้นผู้ป่วยมาโรงพยาบาลให้แพทย์ติดตามดูแผลทุกสัปดาห์ ปรากฏว่าแผลผู้ป่วยค่อยๆดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อด้วยตำรับยาเฉพาะของผู้ป่วยเอง (น้ำมันมะพร้าวและเบตาดีนของโรงพยาบาล) ผู้ป่วยยิ้มอย่างมีชัยชนะในที่สุด เมื่อแผลแห้งสนิท เล็บงอกใหม่จนเป็นปกติ.
แท้จริงแล้วผู้ป่วยรายนี้ไม่ใช่ผู้ป่วยที่ดื้อแบบไม่ดูแลตนเอง แต่ตรงกันข้าม ผู้ป่วยพยายามพึ่งตนเองและดูแลสุขภาพตนเองเป็นอย่างมาก จนดูเหมือนว่าเป็นผู้ป่วยที่ดื้อและชอบขัดคำสั่ง.
ทำไมผู้ป่วยจึงแสนดื้อ
จริงๆแล้ว ความดื้อของคนไข้มีที่มาที่ไปเสมอ ในกรณีที่สาเหตุเกิดจากตัวผู้ป่วยเอง มักเป็นเพราะมี ความเชื่อในการควบคุมดูแลสุขภาพ (Locus of control) แตกต่างกัน 3 ประเภท3 คือ
1. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน (The Internal Controller)
เชื่อว่าตนควบคุมสุขภาพตนเองได้ "ฉันป่วยเพราะฉันดูแลตนเองไม่ดี ฉันกินมากไป ฉันไม่ได้ออกกำลังกาย ฉันจะต้องดูแลตนเองให้มากขึ้น" ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพยายามดูแลสุขภาพตนเอง ซึ่งอาจพบได้สองรูปแบบ ได้แก่
แบบแรก ทำตามหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด เชื่อที่หมอพูด เพราะตั้งใจว่าตนจะต้องสามารถควบคุม และเปลี่ยนแปลงสุขภาพตนเองได้ อาจจะแสดงออกด้วยการเป็นคนชอบจดบันทึกรายละเอียดปลีกย่อยเรื่องสุขภาพของตนเอง มีวินัยอย่างมากในการดูแลสุขภาพ จัดเวลาส่วนใหญ่ของวันเพื่อการทำนุบำรุงสุขภาพ ช่างซักไซ้ไล่เลียงเกี่ยวกับเรื่องการดูแลสุขภาพ.
แบบที่สอง ไม่ทำตามแพทย์สั่งหรือไม่เข้าหาแพทย์เลย เพราะคิดว่าแพทย์ไม่ใช่คนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสุขภาพ คนที่สำคัญคือตัวเอง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะทดลองวิธีการรักษาตามรูปแบบและทฤษฎีของตนเอง สรรหาการรักษาแบบใหม่ๆ ระมัดระวังอาหาร ติดตามอ่านบทความสุขภาพเป็นประจำ จุกจิก และกังวลอย่างมากกับผลตรวจที่เกินเกณฑ์ไปเพียงเล็กน้อย มักไม่ค่อยกินยาตามแพทย์สั่ง เพราะทดลองปรับลดและเพิ่มขนาดยาเองอยู่เสมอๆ ส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะงดหรือลดการใช้ยา เพราะคิดว่าพฤติกรรมตนเองน่าจะควบคุมโรคได้โดยไม่ต้องใช้ยามากำกับ.
ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพึงพอใจหากแพทย์อธิบายข้อมูลให้มากพอตามความต้องการ เปิดโอกาสให้ตนเป็นคนสำคัญในการเลือกรักษา และร่วมชื่นชมในความสำเร็จของตน กรณีศึกษารายนี้ก็น่าจะจัดเป็นผู้ป่วยกลุ่มนี้ด้วยที่พยายามรักษาตนเองอย่างถึงที่สุด.
2. ปล่อยไปตามยถากรรม (The External Controller)
เชื่อว่าตนเองไม่สามารถควบคุมดูแลสุขภาพได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด สิ่งที่ควบคุมสุขภาพคือ สิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น เทพยดาฟ้าดิน บุญกรรม พระเจ้า เมื่อกำหนดมาก็ต้องเป็นตามนั้นเท่านั้น ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงได้ แม้แพทย์จะพยายามอธิบาย ให้ความรู้เท่าใด ก็ไม่ค่อยใส่ใจ ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่ไม่เชื่อตามแพทย์มากกว่า.
เป็นการยากที่จะทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพของตนเอง ผู้ป่วยมักจะยังคงพฤติกรรมเสี่ยงอยู่ต่อไปแม้จะรู้ว่าอันตราย เช่น ดื่มสุราหรือสูบบุหรี่ต่อทั้งๆที่กำลังป่วย การดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องอาศัยความไว้วางใจ เชื่อใจในระยะยาว อย่าตอกย้ำ ประชดประชัน ข่มขู่ หรือจับผิด.
ถ้าดื้อลักษณะนี้จนเข้าขั้นรุนแรง แพทย์อาจต้องทำใจ อย่าคาดหวังสูง ให้ความช่วยเหลือเฉพาะในจุดที่ผู้ป่วยต้องการก็พอ นึกเสียว่าเขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากแพทย์ในทุกเรื่อง แต่ต้องการบางเรื่องเท่านั้น ซึ่งเป็นสิทธิของเขา.
3. ชีวิตนี้ขอฝากไว้ในมือแพทย์ (The Powerful Other)
ผู้ป่วยกลุ่มนี้เชื่อว่าผู้ที่ควบคุมดูแลสุขภาพตนเองได้คือ คนอื่น ที่ไม่ใช่ตนเอง เช่น แพทย์ โดยเชื่อว่าเป็นหน้าที่ของแพทย์เท่านั้น ผู้ป่วยจึงอาจออกอาการได้สองแบบที่พบบ่อย คือ
แบบแรก โอนอ่อนผ่อนตาม คิดอะไรเองไม่เป็น รอมาปรึกษาแพทย์อย่างเดียว แม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนดูเสมือนติดแพทย์ ไม่พึ่งตนเอง แต่ก็ไม่ได้ละเลยปัญหาสุขภาพ นัดแล้วมาตรงนัด เพราะกลัวว่าแพทย์จะทอดทิ้ง ชื่นชมแพทย์อย่างออกหน้าออกตาว่าดีกว่าใครๆที่เคยพบมา อาจเอาข้าวของมากำนัลมากมายเพื่อเป็นสินน้ำใจ โดยรวมแล้วเพื่อฝากชีวิตและสุขภาพทั้งหมดของตนเองไว้ในมือแพทย์ และไม่คิดว่าตนจะเปลี่ยนแปลงสุขภาพอะไรเองได้ นอกจากมาปรากฏตัวให้แพทย์ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงให้.
แบบที่สอง แยกเรื่องสุขภาพออกจากชีวิตส่วนอื่น และยกให้หมอทำหน้าที่ไปเลย เป็นหน้าที่ของแพทย์เท่านั้น ไม่ใช่ความรับผิดชอบของตนเอง ดังนั้นตนเองจะใช้ชีวิตส่วนอื่นอย่างไรก็ได้ และจะไม่ยอม เปลี่ยนแปลงชีวิตส่วนอื่นเพื่อมารักษาความเจ็บป่วย "ผมไม่หยุดสูบบุหรี่หรอก เป็นหน้าที่หมอต่างหากที่จะรักษาให้ผมหยุดไอให้ได้" การดูแลผู้ป่วยลักษณะนี้ คือการพยายามโน้มน้าวหรือท้าทายให้ผู้ป่วยเข้ามารับผิดชอบในปัญหาสุขภาพของตนเองให้มากขึ้น.
แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่แสนดื้อ4
1. ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง อย่าคาดเดาว่าการที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังมานาน จะทำให้ผู้ป่วยมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ตรงกันข้ามยิ่งป่วยมานาน ยิ่งมีประสบการณ์แปลกๆมามาก ความคิดต่อโรคและการรักษาก็จะไม่ตรงกับความรู้ที่แพทย์มี ควรแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้ป่วยมากกว่าให้ฝ่ายเดียว.
2. ทำความเข้าใจกับความสูญเสียที่เกิดจากการเจ็บป่วยเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นความสูญเสีย ความสนุกในการใช้ชีวิตประจำวัน กำลังใจ ความรู้สึก ภาพลักษณ์ และบทบาทต่างๆของตนเอง.
3. ทำความเข้าใจกับอาการดื้อที่เกิดขึ้นเนืองๆตลอดการรักษา ว่าเกิดจากอะไร ต้องการความช่วยเหลือแบบใด.
4. สนับสนุนให้ครอบครัวของผู้ป่วยเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาแต่เนิ่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา.
5. วางแผนควบคุมอาการต่างๆให้สบายที่สุด โดยตั้งเป้าหมายอยู่ที่การรักษาคนมากกว่าโรค อย่าดูแต่เพียงตัวเลขของผลเลือด อย่าตั้งเป้าหมายการรักษาให้เป็นไปตามเกณฑ์จนกระทั่งจำกัดการใช้ชีวิตที่ปกติสุขของผู้ป่วยและครอบครัว.
6. ให้ความช่วยเหลือเพื่อให้สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้.
7. ถ้าอาการของโรคกลับซ้ำหรือกำเริบมากขึ้น ควรประเมินผู้ป่วยและครอบครัวใหม่ว่าเกิดการเปลี่ยน แปลงอะไรขึ้น อย่าดูแต่โรค ให้ดูคนและครอบครัว.
บทสรุป
♦ ทัศนคติของแพทย์เป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังให้มีประสิทธิภาพ แพทย์มักมีอคติว่าโรคควบคุมได้ไม่ดีเพราะผู้ป่วยทำไม่ดีพอ ทั้งที่จริงแล้วโรคเรื้อรังมีการดำเนินโรคที่ทรุดลงอยู่ตลอดเวลา แม้ผู้ป่วยจะพยายามมากเพียงใดก็ไม่อาจฝืนชนะธรรมชาติของโรคได้.
♦ การรักษาทางวิทยาศาสตร์ของแพทย์เองก็ไม่จริงแท้แน่นอน วิธีที่เคยเชื่อว่ามีประโยชน์ในเวลานี้ อาจพบว่าเป็นโทษในอนาคตได้ แพทย์จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นอยู่กับกฎเกณฑ์ตามตำรา จนลืมคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลของผู้ป่วย.
♦ ความสัมพันธ์ที่ดีและต่อเนื่องระยะยาวระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ จะมีผลดีต่อการรักษามากกว่าฤทธิ์ของตำรับยาตามลำพัง (Therapeutic relationship).
♦ ข้อสำคัญเมื่อแพทย์สังเกตว่าผู้ป่วยออกอาการดื้อ แทนที่จะคิดกล่าวโทษและอคติเพิ่มเติม แพทย์ควรทำความเข้าใจและค้นหาข้อดีในความดื้อนั้นเสียก่อน เช่น เขาอาจจะอยากควบคุมสุขภาพด้วยตนเอง มากกว่าทำตามคำสั่ง นับว่าเป็นข้อดีของความเป็นมนุษย์ ที่เป็นตัวของตัวเอง.
♦ เมื่อเข้าใจเขา เราถึงจะเอาชนะผู้ป่วยแสนดื้อเพราะแท้จริงแล้ว คนที่ดื้อที่สุด มักจะเป็นตัวเราเอง.
เอกสารอ้างอิง
1. สายพิณ หัตถีรัตน์. คู่มือหมอครอบครัว ฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน, 2549:133.
2. Beckman HB, Frankel RM. The effect of physician behavior on the collection of data. Ann Intern Med 1984;101:692-6.
3. Tate P. The doctors communication handbook. 4th ed. Oxford : Radcliffe Medical Press, 2003:21-30.
4. McDaniel SH, Campbell TL, Hepworth J, Lorenz A. Family-Oriented Primary Care. 2nded. New York : Springer, 1990:304-25.
วัจนา ลีละพัฒนะ พ.บ., ว.ว.(เวชศาสตร์ครอบครัว) อาจารย์
สายพิณ หัตถีรัตน์ พ.บ. ว.ว.(เวชปฏิบัติทั่วไป), อ.ว.(เวชศาสตร์ครอบครัว) อาจารย์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 13,472 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้