เวลาของการใช้ทุนของแพทย์เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่สำคัญของชีวิตแพทย์.....บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการไปใช้ทุนในชนบทของนักศึกษาแพทย์ และเป็นกำลังใจแก่แพทย์จบใหม่ที่กำลังทำงานอย่างหนักในโรงพยาบาลชุมชน
ไม่เข้าใจ.....เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น
"ไม่ต้องมายุ่ง โอ้ย เจ็บ" "อย่าดิ้นนะ กำลังจะเย็บแผล" เป็นเสียงโวยวายสลับกันอย่างสับสนระหว่างคนไข้กับพยาบาล. "ไม่เย็บ ยังไงก็ไม่เย็บ" เสียงอ้อแอ้ ปนกลิ่นเหล้าเมาคลุ้ง "เบื่อจริงๆ เมาแล้วยังโวยวายอีก เย็บสดเลยพี่" เสียงหมอสาวท่าทางหงุดหงิด ปนเบื่อ เชียร์พยาบาลให้เย็บแผลโดยไม่ต้องฉีดยาชา. "มากันทุกวัน เมากันทุกวัน ไม่รู้จักคิด กินเหล้าแล้วยังไปขับรถอีก พอมอเตอร์ไซด์ล้ม ก็ลำบากหมออีก" หมอสาวคิดในใจ. "ถ้าไม่ยอมให้เย็บ ปิดแผล ให้กลับบ้าน พรุ่งนี้หายเมาค่อยมาเย็บ" หมอสาวหมดความอดทน.
เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นจริง กับหมอบางคนที่เบื่อกับการต้องพบกับคนเมาแล้วขับ หมอหลายคนไปเรียนเฉพาะทางอื่นๆ ด้วยเหตุผลหนึ่งคือไม่อยากพบคนเมา ไม่อยากตรวจคนเมา เป็นความรู้สึกเบื่อหน่ายกับคนไข้ เบื่อหน่ายกับพฤติกรรมของคน จนกลายเป็นความเกลียด และปฏิบัติกับผู้ป่วยโดย ปราศจากความเมตตา.
อีกกรณี "เหนื่อยหมอ ช่วยหน่อย" ชายแก่ ผู้ริ้วรอยบนใบหน้าแสดงถึงรุ่นกว่า 70 ปี หลังพ่นยาขยายหลอดลม อาการดีขึ้น. "หมอ ผมขอออกไปสูบบุหรี่หน่อย แป๊ปเดียว" คุณลุงยืนยันหนักแน่น "เป็นยังงี้ ยังสูบบุหรี่อีกหรือลุง เดี๋ยวก็ตายหรอก เลิกสูบเถิด" หมอหนุ่มบ่น. "ตายก็ตายไป ชั่งมัน สูบมาตั้งแต่ 14 ปีแล้ว ให้เลิกตายดีกว่า" ลุงสำทับอีก. "งั้นกลับบ้านไปเลย เวลาเหนื่อยไม่ต้องมาหาหมออีก ถ้ายังสูบอยู่ ไม่ต้องมาตรวจ" หมอทนไม่ไหว แล้วลุงก็ขอย้ายโรงพยาบาลไปรักษาที่อื่น เหตุการณ์จริง ที่ไม่รู้จะโกรธใครดี ระหว่างหมอกับคนไข้.
ผู้ชายวัยกลางคนอ้วนกว่า 150 กิโลกรัม พร้อมโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงครบชุด เคยบ่นให้ผมฟังว่า ชีวิตนี้จะไม่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งอีก เพราะหมอบอกว่า "ถ้าลุงยังไม่ลดน้ำหนัก เตรียมโลงไว้เลย" ลุงบอกด้วยเสียงเศร้า "ผมก็กินน้อยลงแล้ว แต่มันก็ไม่ลด ผมไม่รู้จะทำยังไง บางทีผมก็อดอาหาร แล้วมันก็อยากกิน ผมก็กิน".
ตอนเรียนจบใหม่ๆไปทำงานในโรงพยาบาลชุมชน ยอมรับว่าผมเคยมีความรู้สึกโมโห โกรธ จนถึงเบื่อคนไข้ที่พูดไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ทั้งที่รู้ตัวอยู่ว่าตับแข็งก็ยังกินเหล้า ทั้งที่รู้ว่าถุงลมโป่งพองก็ยังสูบบุหรี่ แม้ไม่บ่นออกไป แต่ก็เก็บไว้ในใจ เป็นขยะแห่งโมหะจริตที่พร้อมจะคละคลุ้งเสมอเมื่อเวลาอำนวย.
หนังสือเล่มเก่าๆ บนหิ้งที่มีฝุ่นจับในห้องที่เล็กไปถ้าจะเรียกว่าห้องสมุดของโรงพยาบาล มีบทความที่ว่า "คนชนบทจำนวนมากยังขาดการศึกษาและห่างไกลจากสีแสงแห่งนาครธรรม ความเชื่อต่างๆ ที่เราเห็นว่าผิดนั้นเขาได้รับการปลูกฝังและเชื่อถือสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน เราเองกว่าจะเรียนแพทย์จบต้องใช้เวลาในมหาวิทยาลัยอย่างน้อย 6 ปี เราจะหวังอะไรมากนัก เพราะจริงๆแล้วเราใช้เวลาพูดชักจูงเขาแค่ 2-3 นาที 10 นาที หรืออย่างเก่งก็ชั่วระยะไม่นานที่เขาอยู่กับเรา เรื่องที่เราคิดว่า "ง่ายๆ" เหล่านี้จึงไม่ง่ายเลยสำหรับผู้ป่วยจำนวนมาก".
"ถ้าเพียรพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ผู้ป่วยไม่ยอมเชื่อ ก็ควรจะวางใจให้เป็นอุเบกขา และควรจะให้ผู้ป่วยจากไปด้วยความเป็นมิตร มิใช่ไปข่มขู่หรือขับไล่ หรือกล่าวถ้อยคำดูถูกเหยียบย่ำ เพราะนั่นจะเป็นการปิดประตูกั้นความหวังดีของตัวเราเอง และก่อศัตรู". บทความเหล่านี้ปรากฏอยู่ในหนังสือจุลสารชมรมแพทย์ชนบทหัวเรื่อง "ทัศนะใหม่ในการปฏิบัติงานโรงพยาบาลอำเภอ" เขียนโดยนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน.
คำพูดนี้ดูเหมือนเป็นความจริงง่ายๆ ที่ไม่เห็นน่าทึ่งอะไร แต่ในช่วงที่โมหะจริตแห่งความเป็นแพทย์ก่อตัวรุนแรง ความเชื่อพวกนี้ไม่ได้ผุดในความคิดได้ง่ายๆ. ผมอ่านแล้วนึกทบทวนตนเองพบว่าก่อนหน้า นั้น แม้ผมจะไม่เคยโกรธจนถึงเกลียด และหลุดพฤติกรรมไม่ดีอะไรออกไป แต่ผมก็ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เขาเป็นจนรู้สึกปรารถนาดีต่อเขาได้ การมองในมุมที่เปลี่ยนไปช่วยเข้าใจอะไรได้มาก เนื้อหาที่น่าอ่านและสร้างแรงบันดาลใจที่อยากจะยกมาให้อ่านอีกดังนี้
เมื่อผู้เขียนออกไปทำงานโรงพยาบาลอำเภอใหม่ๆ มีคนไข้รายหนึ่งเป็นเด็ก อาการหนักมากเห็นท่าจะไม่ไหว ในระหว่างให้การรักษาเบื้องต้น จึงบอกให้พ่อเด็กไปหารถเพื่อเอาคนไข้ส่งต่อไปโรงพยาบาลจังหวัด สักพักใหญ่ๆ พ่อเด็กกลับมาพร้อมกลิ่นเหล้าโชยมาด้วย บอกว่าหารถไม่ได้ เพราะทั้งเนื้อทั้งตัว มีแค่ร้อยเดียว คนขับรถเขาจะเอาสามร้อยไปกลับ. ผู้เขียนรู้สึกไม่พอใจที่เห็นพ่อเด็กมีเงินไม่พอค่ารถยังแบ่งไปก๊งเสียอีก แต่ไม่ได้ว่าอะไร ตัดสินใจเอารถจี๊ปคันเก่าๆ ของโรงพยาบาลขับไปส่ง พอถึงโรงพยาบาลจังหวัดก็รีบเปิดประตูท้ายรถให้พ่อเด็กอุ้มลูกลงมา ปรากฏว่าเด็กตายเสียแล้ว. ผู้เขียนจึงให้พ่อเด็กกับญาติอีกคนรออยู่ก่อน เพราะเด็กตายไปแล้ว จะไปซื้อยาที่โรงพยาบาลขาดอยู่ พอกลับมาทีนี้ เมากันแอ๋ เลย. ผู้เขียนโกรธมากจึงว่าไปทำนองว่าลูกตายทั้งคนเงินก็ไม่ใคร่มียังเอาไปซื้อเหล้ากิน จากนั้นก็ขับรถพาญาติและศพไปส่งจนถึงหมู่บ้าน จำได้ว่าจิตใจตอนนั้นขุ่นมัวตลอดทาง.
ต่อมาภายหลัง ผู้เขียนจึงเข้าใจในเหตุการณ์ครั้งนั้นดีขึ้น และเสียใจที่ไม่น่าไประบายความโกรธเอากับคนที่เสียลูกไปทั้งคนเลย เพราะคนเรานั้น มิได้ครองสติอยู่กับเหตุผลตลอดเวลา เมื่อรู้ว่าลูกป่วยหนัก หมอใหญ่ของโรงพยาบาลช่วยเหลือไม่ได้ ต้องส่งไปโรงพยาบาลใหญ่กว่า. ความทุกข์ก็เพิ่มพูนขึ้น คนไร้การศึกษาและอยู่ในวงล้อมเช่นนั้น เมื่อหมดหนทางเพราะไปหารถก็ไม่ได้ จึงต้องดับทุกข์ด้วยเหล้า พอไปถึงโรงพยาบาลจังหวัดรู้ว่าลูกตาย ทุกข์ก็ทับทวีขึ้น จึงต้องเอาเหล้ามาดับเพิ่ม.
ภาพของคนอีสานในสายตาของผู้เขียนในสมัยที่ออกไปทำงานใหม่ๆนั้น นอกจากจะเป็นภาพของคนขี้เมาแล้ว ยังเป็นภาพของคนขี้เกียจ และถูกผีการพนันสิงอีกด้วย. เด็กหนุ่มตามหมู่บ้านก็ไว้ผมเผ้ายาวรุงรัง นุ่งกางเกงยีนส์ ทั้งที่ยากจนและท่าทางไม่เป็นมิตร. ภาพเหล่านี้บั่นทอนกำลังใจในการทำงานอย่างยิ่ง ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจชาวบ้านถูกกัดกร่อนอยู่ตลอดเวลา ต้องกินเวลาไม่น้อยกว่าผู้เขียนจะค้นพบว่าทำไมพวกเขาจึงเป็นเช่นนั้น.
คนเหล่านี้ยากไร้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เมื่อเกิดมาก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างตามยถากรรม ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อปากท้องตั้งแต่ยังเล็กๆ นอกจากจะช่วยเลี้ยงวัวเลี้ยงควายแล้ว ในที่หลายๆแห่งจะเห็นเด็กตัวเล็กๆใช้ตะแกรงช้อนกุ้งช้อนปลาตามแอ่งน้ำ หรือช่วยพ่อแม่ลอกปออยู่ริมคลองข้างถนน กลางคืนพอฝนตกก็ออกไปช่วยจับกบจับเขียด. พอเป็นนักเรียนน้อยคนจะมีข้าวกลางวันไปกิน เมื่อเติบโตออกไปทำงานก็ถูกขูดรีดเอารัดเอาเปรียบทุกทาง ต้องเสียดอกแพงลิบลิ่ว ข้าวของใช้ต้องซื้อแพง ในขณะที่ผลผลิตขายได้ราคาถูก ประเดี๋ยวฝนแล้ง ประเดี๋ยวน้ำท่วม ฯลฯ.
สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความท้อแท้ในชีวิต มองไม่เห็นทางออกในอนาคต. คนเหล่านี้จึงต้องฝากความหวังไว้กับการพนัน การเสี่ยงโชคต่างๆ และหาทางลืมความทุกข์ด้วยของมึนเมา เมื่อมีเทศกาลงานบุญต่างๆก็จะสนุกกันอย่างสุดเหวี่ยง การทุ่มเททำงานมักลงเอยด้วยความว่างเปล่า หรือได้ผลเพียงน้อยนิด ทำให้คนเหล่านี้มีสภาพเฉื่อยชา ดูเผินๆจะมองว่าขี้เกียจ ซึ่งความจริงไม่ใช่. การแต่งกายของพวกเด็กหนุ่มในหมู่บ้าน ก็เพราะตกอยู่ภายใต้อิทธิพล แห่งการโฆษณา ท่าทางดูไม่เป็นมิตร เพราะเขาต้องระมัดระวังคนแปลกหน้า และเพราะความไม่กล้าที่จะมาตีสนิท.
ถ้าเราเข้าใจประชาชน เราก็จะมีกำลังทำงานต่อไปได้อย่างมีความสุข ตรงกันข้ามถ้าเราติดอยู่แค่ปรากฏการณ์ไม่พึงปรารถนาบางอย่างหรือหลายๆอย่าง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ในไม่ช้าเราอาจอกหักเพราะรักเขา (ประชาชน) ข้างเดียว ประชาชนไม่รักตอบ ผลสุดท้ายก็พาลดูถูกเกลียดชังประชาชนไปเลย".
เหตุการณ์ดีๆ บทความดีๆ แนวคิดดีๆ มีอยู่ที่โรงพยาบาลชุมชน เมื่อแพทย์ได้เอาใจของเราเข้าไปสัมผัสใจของเขา ความเข้าใจก็จะเกิดขึ้น แล้วโอกาสในการใช้ทุนจะเป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้ ดังคำที่ว่า "เวลาแห่งการเรียนรู้ ไม่ใช่เวลาที่เปี่ยมด้วยศิลปะแห่งการสอน แต่เป็นเวลาที่องค์ประกอบของเหตุการณ์ที่กระแทกใจ กับความรู้สึกที่อ่อนไหว ก่อเกิดเป็นความเข้าใจในความเป็นไปแห่งชีวิต".
พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ พ.บ.
เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท และอดีตประธานชมรมแพททย์ชนบท
- อ่าน 2,501 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้