Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » อุบัติเหตุในหญิงตั้งครรภ์ (Trauma in Women)
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

อุบัติเหตุในหญิงตั้งครรภ์ (Trauma in Women)

โพสโดย somsak เมื่อ 1 กันยายน 2552 00:00

หญิงอายุ 30 ปีมาด้วยอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้ม ขณะที่เธอกำลังตั้งครรภ์โดยอายุครรภ์ประมาณ 24 สัปดาห์ เมื่อถึงโรงพยาบาลภายหลังเกิดเหตุไม่นานพบว่าผู้ป่วยมีอาการปวดท้องเล็กน้อยและยังคงรู้สึกว่าทารกในครรภ์ดิ้นดีอยู่.

แรกรับตรวจพบว่าสัญญาณชีพปกติและผู้ป่วยมีอาการปวดทั่วท้องเล็กน้อย นอกจากนี้การวัดอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ก็เป็นปกติ. แพทย์ที่ห้องฉุกเฉินได้จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนตะแคงทับซ้ายและปรึกษาสูตินรีแพทย์ให้ร่วมดูแลรวมทั้งรับผู้ป่วยไว้ เฝ้าดูอาการต่อเนื่อง. หลังจากเฝ้าดูอาการนาน 24 ชั่วโมงในหอผู้ป่วยแล้วพบว่าอาการปกติดี สูตินรีแพทย์ จึงอนุญาตให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ในที่สุด.


อภิปราย
การตั้งครรภ์ทำให้สรีรวิทยาและกายวิภาคเปลี่ยน แปลงจนอาจทำให้อาการและอาการแสดงเปลี่ยนไปในขณะได้รับบาดเจ็บ. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การรักษาและดูแลจึงแตกต่างจากหญิงที่ไม่ตั้งครรภ์ การดูแลต้องคิดถึง 2 ชีวิตคือ มารดาและทารกในครรภ์.

หญิงที่มีอายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ขึ้นไปจะมีมดลูกค่อนข้างโตซึ่งในท่านอนหงายผู้ป่วยอาจเกิดอาการหน้ามืดเป็นลมหรือความดันเลือดตกเพราะมดลูกไปกดทับหลอดเลือดดำ inferior vena cava ที่เรียกกันว่า supine hypotensive syndrome. ดังนั้นในผู้ป่วยรายนี้ซึ่งมีอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ แพทย์ที่ห้องฉุกเฉินจึงแนะนำให้ผู้ป่วยนอนตะแคงทับซ้ายตั้งแต่แรกและตรวจวัดสัญญาณชีพทั้งของมารดาและทารกในครรภ์ไปพร้อมกัน แล้วปรึกษาสูตินรีแพทย์ให้ร่วมดูแลรวมทั้งรับผู้ป่วยไว้เฝ้าดูอาการต่อเนื่อง.



หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับอุบัติเหตุ
หญิงอายุระหว่าง 10-50 ปีเมื่อได้รับบาดเจ็บแพทย์ควรตรวจหาว่ามีภาวะตั้งครรภ์หรือไม่เสมอ การตั้งครรภ์ทำให้สรีรวิทยาและกายวิภาคเปลี่ยนแปลง ไป จนมีนัยยะสำคัญต่อลักษณะทางคลินิกและแนวทางการดูแลรักษาดังกล่าวแล้ว.



กายวิภาคและสรีรวิทยาในหญิงตั้งครรภ์
กายวิภาค
เมื่ออายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขอบบนของมดลูกเริ่มอยู่เหนือช่องกระดูกเชิงกรานเล็กน้อยแล้วขยายมาอยู่ตรงระดับสะดือเมื่ออายุครรภ์ 20 สัปดาห์ และอยู่บริเวณขอบล่างของกระดูกทรวงอกเมื่ออายุครรภ์ 34-36 สัปดาห์. ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนคลอด มดลูกจะอยู่ต่ำลงมาเล็กน้อยเนื่องจากศีรษะของทารกเริ่มเข้ามาอยู่ในช่องกระดูกเชิงกราน ในขณะที่มดลูกขยายใหญ่ขึ้นก็จะทำให้ลำไส้ถูกดันขึ้นไปอยู่ส่วนบนของช่องท้องมากขึ้น ดังนั้นถ้าช่องท้องถูกกระแทกก็มักจะกระทบกระเทือนต่อมดลูกและทารกในครรภ์มากกว่าลำไส้ได้.

ระหว่าง 3 เดือนแรกของอายุครรภ์ มดลูกยังคงอยู่ภายในอุ้งเชิงกราน แต่เมื่ออายุครรภ์ 4-6 เดือนมดลูกจะโตจนเลยขอบอุ้งเชิงกรานโดยมีทารกลอยตัวอยู่ในน้ำคร่ำของมดลูก ซึ่งถ้าได้รับการกระทบกระเทือนก็อาจทำให้น้ำคร่ำนี้รั่วออกมาในกระแสเลือด จนอุดตันหลอดเลือดได้หรือก่อให้เกิด DIC (disseminated intravascular coagulation) แก่มารดา.

ช่วงท้ายของอายุครรภ์ ศีรษะของทารกจะเข้าไป อยู่ในอุ้งเชิงกราน ดังนั้นถ้ากระดูกเชิงกรานหักในช่วงเวลานั้นก็จะทำให้ศีรษะของทารกได้รับบาดเจ็บง่าย นอกจากนี้รกอาจลอกหลุดออกจากมดลูกจนเกิด abruptio placenta ได้ ทำให้มารดาเสียเลือดอย่างมากจนทำให้หลอดเลือดที่เลี้ยงมดลูกหดตัวและทารก ขาดออกซิเจนเป็นผลตามมาทั้งที่สัญญาณชีพของมารดายังคงปกติก็ได้.



ระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกายของหญิงตั้งครรภ์
ปริมาณสารน้ำในหลอดเลือดจะเพิ่มขึ้นจนกระทั่งคงที่เมื่ออายุครรภ์ 34 สัปดาห์ แต่เนื่องจากปริมาณเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นน้อยกว่าปริมาณสารน้ำในหลอดเลือดจึงทำให้เกิดภาวะเลือดจางขึ้นได้เล็กน้อย ในอายุครรภ์ท้ายๆ จะพบมีความเข้มข้นเลือด =31-34% เท่านั้น ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์อาจเสียเลือดประมาณ  1,200-1,500 มล. ก่อนที่จะเริ่มมีอาการแสดงของการขาดสารน้ำ แต่ทารกจะมีหัวใจเต้นเร็วขึ้นก่อนมารดาแสดงอาการขาดน้ำ.

เมื่ออายุครรภ์ >10สัปดาห์จะพบมีปริมาณ cardiac output เพิ่มขึ้น 1-1.5 ลิตร/นาที อันเกิดจากปริมาณสารน้ำในร่างกายเพิ่มขึ้นรวมทั้งหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงมดลูกและรกขยายตัว ท่านอนหงายจะทำให้มดลูกกดทับลงบนหลอดเลือดดำ inferior vena cava จนทำให้ปริมาณเลือดไปเลี้ยงร่างกาย (cardiac output) ลดลงไป 30% เพราะเลือดจากขาไม่สามารถไหลกลับสู่หัวใจได้ (ดังภาพที่ 1) ในที่สุดอาจพบมีความดันเลือดตกที่เรียกว่า supine hypotensive syndrome เหตุการณ์นี้สามารถพบได้ในอายุครรภ์ >4 เดือนขึ้นไป.

สำหรับอัตราการเต้นของหัวใจจะเพิ่มประมาณ 10-15 ครั้ง/นาทีซึ่งภาวะหัวใจเต้นเร็วนี้ต้องแยกออกจากภาวะขาดสารน้ำร่วมด้วยหรือไม่.

สำหรับความดันเลือดในหญิงตั้งครรภ์นั้นพบว่า อายุครรภ์ 4-6 เดือนจะเริ่มมีความดันเลือดลดลงประมาณ 5-15 มม.ปรอท ส่วนเมื่อใกล้คลอดนั้นพบว่า ความดันเลือดจะเพิ่มจนกลับสู่ระดับปกติได้.
 คลื่นไฟฟ้าหัวใจจะเป็น left axis deviation ประมาณ 15 องศา นอกจากนี้ยังพบมี inverted T waves ใน lead III, AVF และ precordial lead.

 

ระบบการหายใจ
Minute ventilation จะเพิ่มในหญิงตั้งครรภ์  อันเป็นผลจากปริมาณโปรเจสเตอโรนในเลือดเพิ่มขึ้นทำให้เพิ่ม tidal volume จนอาจพบ PaCO2 ลดลงเหลือ 30 มม.ปรอท ดังนั้นถ้าหญิงตั้งครรภ์มี PaCO2 35-40 มม.ปรอท อาจบ่งถึงว่ามีการหายใจล้มเหลวได้ กะบังลมที่ยกสูงขึ้นจะลด residual volume และทำให้พบมี lung markings เพิ่มขึ้นได้ในภาพถ่ายรังสีทรวงอก เนื่องจากหญิงตั้งครรภ์มีการใช้ออกซิเจน เพื่อเผาผลาญพลังงานให้แก่ร่างกายมากขึ้น ดังนั้นขณะได้รับบาดเจ็บจึงควรให้ออกซิเจนดมเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่หญิงตั้งครรภ์ด้วย.


ส่วนประกอบของเลือด
จำนวนเม็ดเลือดขาวจะเพิ่มขึ้นในหญิงตั้งครรภ์ โดยอาจพบมีปริมาณเม็ดเลือดขาว 15,000/มม.3       หรือมีปริมาณ 25,000/มม.3 ในช่วงคลอดลูก ระดับไฟบริโนเจนและสารกระตุ้นการแข็งตัวของเลือดอาจเพิ่มขึ้น จนทำให้ PTT (partial thromboplastin time) และ PT (prothrombin time) สั้นลง ปริมาณสาร แอลบูมินในเลือดต่ำ 2.2-2.8 กรัม/ดล. และ Serum osmolarity ประมาณ 280 mOsm/L.


ระบบทางเดินอาหาร
กระเพาะอาหารย่อยได้ช้าจึงมักมีอาหารค้างอยู่ในกระเพาะนาน ดังนั้นควรใส่สายสวนเพื่อดูดเศษอาหารที่ค้างทิ้งเพื่อป้องกันการสูดสำลักเข้าปอด สำหรับลำไส้มักถูกดันขึ้นไปอยู่ส่วนบนของช่องท้องแต่ตำแหน่งของม้ามและตับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง.
 

ระบบการทำงานของไต
เลือดไปเลี้ยงไตมากจึงมีการกรองของเสียที่ไตมากพบว่า ระดับ BUN และ Cr ต่ำลงไปครึ่งหนึ่งของค่าปกติ นอกจากนี้พบมีน้ำตาลกรองออกมาทางปัสสาวะมาก กรวยไตและท่อไตจะโป่งพองขึ้นเนื่องจาก มดลูกโตไปกดทับ พบว่ามดลูกมักกดทับท่อไตข้างขวาจนทำให้พบอุบัติการณ์ของท่อไตและกรวยไตข้างขวาโป่งบ่อยกว่าข้างซ้าย.
 

ระบบต่อมไร้ท่อ
ต่อมใต้สมองมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีน้ำหนักมากขึ้นร้อยละ 30-50 ถ้ามีความดันเลือดตกก็อาจทำให้ ต่อมใต้สมองส่วนหน้า (anterior pituitary gland) ขาดเลือดจนไม่สามารถทำงานได้.

 

ระบบกล้ามเนื้อ
ในอายุครรภ์ >7 เดือน รอยต่อของกระดูกหัวหน่าว (symphysis pubis) แยกห่างมากขึ้นประมาณ 4-8 มม. รอยต่อ sacroiliac joint ก็แยกห่างมากขึ้น ซึ่งทำให้ยากต่อการแปลผลภาพถ่ายรังสีของช่อง     เชิงกราน.

 

ระบบประสาท
ในอายุครรภ์ท้ายๆ อาจพบ eclampsia ได้ซึ่งมาด้วยอาการชัก อันจำเป็นต้องแยกจากสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดชักได้เช่น บาดเจ็บที่ศีรษะ เป็นต้น. สำหรับอาการของ eclampsia ประกอบด้วยอาการชัก ความดันเลือดสูง hyperreflexia ปัสสาวะมีโปรตีนและแขนขาบวมร่วมกันได้.


ลักษณะการบาดเจ็บ
1. บาดเจ็บจากการกระแทก
 ผนังหน้าท้องมดลูกและน้ำคร่ำช่วยลดแรงกระแทกไปสู่ทารกในครรภ์ แต่ทารกอาจได้รับผลกระทบจากรกลอกตัวได้ การคาดเข็มขัดนิรภัยในรถช่วยป้องกันมารดาไม่ให้พุ่งออกนอกรถจนเป็นอันตราย แต่ถ้าคาดเข็มขัดในตำแหน่งสะโพกที่สูงเกินไปนี้อาจกดรัดจนมดลูกฉีกขาดได้ การคาดเฉพาะเอวก็กดรัดมดลูกโดยตรงจนทำให้มดลูกฉีกขาดหรือรกลอกตัวได้ การคาดเข็มขัดนิรภัยทั้งไหล่และสะโพกจะลดการเกิดอันตรายต่อทารกได้ ดังภาพที่ 2.

2. บาดเจ็บจากถูกแทง
มีโอกาสแทงถูกมดลูกที่โตมากในช่องท้องได้ มากขึ้น การประเมินความรุนแรงของการบาดเจ็บนั้นพบว่าร‰อยละ 80 ของหญิงตั้งครรภ์ที่มีความดันเลือดตก มักพบทารกเสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์บ่อย การได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยก็อาจทำให้รกลอกตัวจนกระทั่งทารก เสียชีวิตในครรภ์ได้ ในช่วงแรกควรรักษามารดาก่อนแล้วการรักษาทารกในครรภ์เป็นลำดับต่อมา.


การประเมินเบื้องต้น
มารดา
แพทย์ควรประเมิน A-B-C-D ถ้ากระดูกสันหลังไม่ได้รับบาดเจ็บควรให้มารดานอนตะแคงทับซ้ายเพื่อไม่ให้มดลูกกดทับหลอดเลือดดำ inferior  vena cava เพื่อป้องกันความดันเลือดตก นอกจากนี้พบว่า มารดามีปริมาณสารน้ำเพิ่มขึ้นในร่างกายดังนั้นมารดาต้องเสียเลือดไปในปริมาณมากก่อนจะเกิดความดันเลือดตกหรือชีพจรเต้นเร็ว แต่ทารกจะแสดงภาวะมีหัวใจเต้นเร็วเนื่องจากขาดเลือดก่อนเสมอ การรักษาความดันเลือดตกจึงควรเลือกให้สารน้ำเข้าสู่หลอดเลือดอย่างรวดเร็วก่อนการใช้ยากระตุ้นหัวใจหรือยาทำให้หลอดเลือดหดตัวเพราะจะทำให้หลอดเลือดไปเลี้ยงมดลูกหดตัวได้ง่ายและทารกขาดเลือดได้.

 

ทารก
มดลูกฉีกขาดจะทำให้มารดาปวดท้อง ท้องแข็ง (guarding and rigidity) และ rebound tenderness ร่วมกับความดันเลือดตกได้ นอกจากนี้อาจคลำได้อวัยวะต่างๆ ของทารกทางหน้าท้องของมารดาหรือคลำขอบบนของมดลูกไม่ได้เป็นต้น. ภาพถ่ายรังสี อาจพบว่าทารกอยู่ในท่าผิดปกติหรือพบ free intraperitoneal air การรักษาต้องผ่าเปิดช่องท้องโดยทันที.

มารดาที่รกลอกตัวก่อนกำหนด (abruptio placentae) จะมาด้วยเลือดออกทางช่องคลอด (พบได้ร้อยละ 70 ของผู้ป่วย) มีอาการปวดท้อง มดลูกบีบตัวถี่ขึ้นหรือเมื่อแตะหน้าท้องจะพบว่ามดลูกหดตัวทุกครั้งที่เรียกว่า uterine irritability ในอายุครรภ์ท้ายๆ แม้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยก็อาจเสี่ยงต่อการ เกิดรกลอกตัวมากขึ้น (ดังภาพที่ 3) อัลตราซาวนด์อาจช่วยในการวินิจฉัยโรคได้.


การตรวจอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์เป็นการตรวจที่ไวต่อการวินิจฉัยอาการผิดปกติเบื้องต้นในมารดาและทารกในครรภ์. Doppler  สามารถฟังเสียงหัวใจเต้นในทารกตั้งแต่อายุครรภ์>10 สัปดาห์ขึ้นไป อัตราหัวใจเต้นในทารกปกติ 120-160 ครั้ง/นาที.


 

Secondary assessment
แพทย์สามารถส่งตรวจคอมพิวเตอร์ของช่องท้อง, ultrasound FAST หรือเจาะช่องท้องเพื่อใส่  น้ำตรวจ (diagnostic peritoneal lavage, DPL) ถ้าทำ DPL ก็ควรเจาะช่องท้องในตำแหน่งที่สูงกว่าสะดือ.

ถ้ามดลูกมีการบีบตัวบ่อยขึ้น แพทย์ควรสงสัยว่าอาจอยู่ในภาวะใกล้คลอดหรือรกลอกตัวก่อนกำหนด ถ้าตรวจภายในพบมีน้ำคร่ำในปากช่องคลอดที่มี pH 7-7.5 ก็ควรสงสัยว่ามีถุงน้ำคร่ำแตกรั่ว นอกจากนี้แพทย์ควรตรวจภายในเพื่อดูท่าของทารกในครรภ์ว่าอยู่ในระยะใกล้คลอดหรือไม่.

แพทย์ควรรับผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้ไว้เฝ้าระวังอาการผิดปกติกล่าวคือ มีเลือดออกทางช่องคลอด มีอาการปวดท้อง มี uterine irritability ความดันเลือดตก อัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์เปลี่ยนแปลง หรือมีลักษณะถุงน้ำคร่ำแตกรั่ว เป็นต้น


การรักษา
ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนดหรือน้ำคร่ำรั่วไปอุดตันหลอดเลือดสามารถกระตุ้นให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน     ทั่วร่างกาย (DIC) แพทย์จะตรวจพบระดับ fibrinogen ในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ < 250 มก./ดล. และปริมาณเกล็ดเลือดต่ำ การรักษาควรรีบทำแท้งและให้ส่วนประกอบต่างๆ ของเลือดชดเชย.

นอกจากนี้ถ้ามารดามีเลือดกรุ๊ป Rh-negative เมื่อมีลูกเป็นเลือดกรุ๊ป Rh-positive ก็อาจเกิด  ภาวะเลือดไม่เข้ากันของมารดากับลูก เนื่องจากเลือดกรุ๊ป Rh-positive เพียง 0.01 มล. อาจปนเปื้อนในร่างกาย มารดา ซึ่งพบว่าร้อยละ 70 ของมารดาจะเกิดอาการจากการที่เลือดไม่เข้ากันระหว่างมารดาและ  ลูกได้ซึ่งต้องให้การรักษาด้วยการฉีด Rh immuno-globulin เข้าหลอดเลือด ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ที่มีเลือดกรุ๊ป Rhnegative เมื่อได้รับบาดเจ็บบริเวณมดลูก ก็ควรรีบให้ Rh immunoglobulin เข้าหลอดเลือดภายใน 72 ชั่วโมงเพื่อป้องกันภาวะนี้.

การมีหลอดเลือดมาเลี้ยงมดลูกมากขึ้นทำให้     เมื่อเกิดกระดูกเชิงกรานหักก็อาจมีเลือดไหลเซาะใน retroperitoneam ในปริมาณมาก.

การป้องกันและรักษาภาวะความดันเลือดต่ำที่พบใน supine hypotensive syndrome ก็ควรแนะนำให้ผู้ป่วยนอนตะแคงทับซ้ายหรืออาจใช้เครื่องมือต่างๆ ช่วยให้ผู้ป่วยนอนตะแคงทับซ้ายได้ดังนี้

1. การใช้เตียงนอนตะแคง ดังภาพที่ 4, 5, 6.

2. การใช้มือช่วยดันมดลูกไปทางซ้าย ดังภาพ ที่ 7.



การผ่าท้องคลอดฉุกเฉิน (perimortem cesa-reansection)
ถ้าอาการของมารดาไม่คงที่จะทำให้ทารกในครรภ์มีอันตรายสูง ถ้ามารดาอยู่ในภาวะหัวใจหยุดเต้น อาจ ต้องตัดสินใจผ่าท้องคลอดฉุกเฉินภายใน 4-5 นาที หลังมารดามีหัวใจหยุดเต้นจึงอาจพอจะช่วยทารกในครรภ์ได้.


สรุป
หญิงที่มีอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ได้รับอุบัติเหตุ รถจักรยานยนต์ล้มมายังโรงพยาบาล แรกรับพบว่ามีอาการปวดท้องเล็กน้อย แพทย์ได้ให้การรักษาเบื้องต้นด้วยการแนะนำให้ผู้ป่วยนอนตะแคงทับซ้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะมดลูกไปกดทับหลอดเลือดดำ inferior vena cava จนเกิดความดันเลือดตกที่เรียกกันว่า supine hypotensive syndrome อันพบได้ในท่านอนหงายของหญิงที่มีอายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ขึ้นไป การดูแลหญิงตั้งครรภ์ต้องทำการประเมินความปลอดภัยทั้งของมารดาและลูกในครรภ์ นอกจาก นี้สรีรวิทยาและกายวิภาคที่เปลี่ยนแปลงไปของหญิงตั้งครรภ์ก็ทำให้อาการบาดเจ็บและการรักษาแตกต่าง จากคนทั่วไปอีกด้วย.


เอกสารอ้างอิง
 1. American College of Surgeons Committee on Trauma. Advanced Trauma Life Support For Doctors. In: Trauma in Women. 7th edition. American College of Surgeons; 2004. p. 275-82.
 

รพีพร โรจน์แสงเรือง พ.บ., อาจารย์
ยุวเรศ สิทธิชาญบัญชา พ.บ.,อาจารย์
ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

ป้ายคำ:
  • แม่และเด็ก
  • การตั้งครรภ์
  • แพทย์เวร
  • พญ.ยุวเรศ สิทธิชาญบัญชา
  • พญ.รพีพร โรจน์แสงเรือง
  • อ่าน 43,685 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

297-009
วารสารคลินิก 297
กันยายน 2552
แพทย์เวร
พญ.ยุวเรศ สิทธิชาญบัญชา, พญ.รพีพร โรจน์แสงเรือง
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <