Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » อย่าสักแต่...สอนให้รู้ ขู่ให้กลัว
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

อย่าสักแต่...สอนให้รู้ ขู่ให้กลัว

โพสโดย somsak เมื่อ 1 กันยายน 2547 00:00

จุดบกพร่องที่พบบ่อยที่สุดในการทำเวชปฏิบัติ ก็คือการสื่อสารกับผู้ป่วย. ภายใต้ภาระงานล้นมือที่มีเวลาตรวจผู้ป่วยเพียงไม่กี่นาที เรามักไม่มีโอกาสได้สื่อสาร (อธิบายแนะนำ) ให้ผู้ป่วยมีความกระจ่างเกี่ยวกับโรคที่เป็นและการปฏิบัติตัวต่างๆ. หรือในกรณีที่มีโอกาสพูดคุยกับผู้ป่วย ก็มักเป็นการสื่อสารแบบทางเดียว คือ พยายามสอนให้รู้และขู่ให้กลัว ดังตัวอย่างต่อไปนี้
 

= กรณีที่1  ผู้ป่วยความดันเลือดสูงระยะรุนแรงปานกลาง ผู้รักษาจะบอกกล่าวถึงภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่ตามมาในระยะยาว รวมทั้งย้ำเน้นว่าเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการ ต้องหมั่นมาตรวจตามนัดอย่างต่อเนื่อง. แต่ผู้ป่วยก็ยังคงขาดนัด และจะมาตรวจเมื่อมีอาการปวดศีรษะเท่านั้น จึงได้รับยาไม่สม่ำเสมอ และคุมความดันไม่ได้. เมื่อผ่านไป 10 ปี ผู้ป่วยก็ตายด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลันจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย.
 

= กรณีที่ 2  ผู้ป่วยเบาหวาน ให้ยารักษาเป็นเวลาแรมปีแล้วก็ยังควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ผู้รักษาก็แนะนำให้ปรับพฤติกรรมเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย แต่ผู้ป่วยก็ยังไม่ปฏิบัติตาม. เมื่อเห็นว่าผู้ป่วย  " ดื้อ " ผู้รักษาก็ขู่ว่าเดี๋ยวถูกตัดขา เดี๋ยวเป็นไตวายต้องฟอกเลือด เดี๋ยวเป็นโรคหัวใจหรือไม่ก็อัมพาต. แต่ผู้ป่วยก็ยังคุมเบาหวานไม่ได้ จนผู้รักษาเหนื่อยหน่าย จึงยื่นคำขาดว่า ถ้าไม่ยอมปรับพฤติกรรมก็ไม่อยากจะให้การรักษาอีกต่อไป.ผู้ป่วยเข้าใจว่าหมอไม่รับรักษาแล้ว จึงหนีไปหาหมอที่อื่น.
 

=กรณีที่ 3 ผู้ป่วยมีพฤติกรรมสูบบุหรี่จัด ผู้รักษาจึงเตือนให้ผู้ป่วยเลิกบุหรี่ โดยอธิบาย (กึ่งขู่) ให้ทราบถึงโทษภัยของบุหรี่. แต่ผู้ป่วยก็ยังไม่ยอมเลิก จนผู้รักษาเลิกให้ความสนใจในเรื่องนี้ไปในที่สุด.
 

=กรณีที่ 4 ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม ผู้รักษาก็บอกกล่าวให้ผู้ป่วยทราบว่า ต้องหลีกเลี่ยงท่านั่งงอเข่า ลดน้ำหนัก หมั่นบริหารเข่า อย่าซื้อยากินเอง. แต่ผู้ป่วยก็ไม่ได้ทำตาม มิหนำซ้ำยังไปซื้อยาสตีรอยด์ (ลูกกลอน) กินเองตามคำบอกเล่าของเพื่อนบ้านเนื่องเพราะกินแล้วรู้สึกหายดังปลิดทิ้ง ก็กินยานั้นต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นกลุ่มอาการคุชชิงตามมาในที่สุด.

กรณีเหล่านี้ แสดงถึงความล้มเหลวของการให้สุขศึกษาที่ใช้หลัก  " สอนให้รู้ ขู่ให้กลัว ". หลักการให้สุขศึกษานี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่คิดว่า ผู้ป่วยขาดความรู้ (เมื่อเสริมความรู้ ผู้ป่วยก็จะทำตาม) และผู้ป่วยมีความกลัว (เมื่อขู่ให้กลัว ก็จะยอมปรับพฤติกรรมโดยดี). วิธีนี้อาจได้ผลสำหรับบางคน แต่ส่วนใหญ่มักจะล้มเหลว เนื่องเพราะพฤติกรรมของคนเราขึ้นกับปัจจัยอีกมากมาย ไม่ใช่เรื่องของความรู้หรือความกลัวเพียงอย่างเดียว. ซ้ำร้าย ถ้าผู้รักษาใช้ลูกขู่ โดยขาดท่าทีที่ผู้ป่วยยอมรับ (เช่น ยังไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีเป็นพื้นฐาน ผู้รักษาใช้ท่าทีและวาจาแข็งกร้าว) ก็จะสร้างความไม่พอใจแก่กันและกัน. มีผู้รักษาหลายท่านปฏิเสธที่จะให้การรักษาผู้ป่วยต่อไป และมีผู้ป่วยหลายรายพาลโกรธและหนีไปหาหมอคนอื่น หรือขาดการรักษาไปเลย.


เราจะคุ้นเคยและมีความถนัดในการรักษาโรคเฉียบพลันที่อาศัยแต่เทคโนโลยี (เช่น ยา การผ่าตัด) เป็นพื้นฐาน แต่เมื่อต้องเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านพฤติกรรม การใช้เทคโนโลยีเพียงประการเดียวย่อมได้ผลไม่มาก จำเป็นต้องใช้หลักพฤติกรรมศาสตร์มาประกอบ จึงจะได้ผลเต็มที่.


ในการปรับพฤติกรรมผู้ป่วย จะต้องอาศัยวิธีการในการให้คำปรึกษาแนะแนว (coun-selling) ซึ่งผู้รักษาจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ป่วย และมีเวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนจนเข้าใจมุมมองของผู้ป่วย (รวมทั้งญาติ) ทั้งในด้านความคิด (idea) ความรู้สึก (feeling) และความคาดหวัง (expectation) ที่มีต่อปัญหาการเจ็บป่วย หนทางการเยียวยารักษา และการบริการที่ได้รับ รวมทั้งจะต้องเข้าใจในบทบาทหน้าที่ (function) ของผู้ป่วยในครอบครัวและสังคม. นอกจากนี้ยังจะต้องเข้าใจในวิถีการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย, สภาพครอบครัว, การได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว (family support) และสังคม (social support), ปัญหาและอุปสรรคในการแสวงหาบริการ (เช่น การเงิน การเดินทาง ความสะดวก) และ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (ทำไมควบคุมอาหารไม่ได้ ทำไมยังต้องสูบบุหรี่ต่อไป ทำไมต้อง        ซื้อยาลูกกลอนมากินเอง).


เมื่อเข้าใจสภาพปัญหาของผู้ป่วยดังกล่าว จึงจะสามารถให้คำแนะนำและหาวิธีการช่วยเหลือให้ผู้ป่วยเกิดแรงจูงใจและสามารถค่อยๆ ปรับพฤติกรรมให้ดีขึ้นจนเป็นที่พึงประสงค์ในที่สุด.

อุปสรรคใหญ่ที่ไม่อาจทำเวชปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แบบนี้ได้ ก็คือ ผู้รักษาขาดทักษะกับเวลา. เรื่องของทักษะเป็นเรื่องไม่ยากเกินจะฝึกปรือได้. แต่เรื่องของเวลา ถ้าเป็น โรงพยาบาลที่แบกภาระผู้ป่วยมากเกินก็ยากที่ผู้รักษาจะเจียดเวลามาทำตรงนี้ได้. ทางออก ก็คือ จะต้องส่งต่อให้ทีมงานทำแทน โดยสร้างทีมให้คำปรึกษาแนะแนวและทีมเยี่ยมบ้าน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ป่วยและญาติ และทำความเข้าใจในสภาพปัญหาของผู้ป่วยอย่างรอบด้าน.

ข้อสำคัญ ผู้รักษากับทีมงานจะต้องประสานงานอย่างใกล้ชิด แลกเปลี่ยนข้อมูล และ ร่วมกันวางแผนแก้ปัญหาของผู้ป่วย จึงจะสามารถปรับพฤติกรรมของผู้ป่วยได้จริง.

 

(รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ)
 

ป้ายคำ:
  • คุยสุขภาพ
  • บทบรรณาธิการ
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
  • อ่าน 1 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

237-001
วารสารคลินิก 237
กันยายน 2547
บทบรรณาธิการ
รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <