บทนำ
ปัญหาสุขภาพที่สัมพันธ์กับการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่มีมากมายส่งผลกระทบต่อตัวผู้ป่วย ครอบครัวและสังคมอย่างมาก.
การดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ของโรงพยาบาลส่วนใหญ่จำกัดอยู่เพียงการบำบัดภาวะแทรกซ้อนในระยะเฉียบพลัน เมื่ออาการดีขึ้นก็ถือว่าจบภารกิจ อาจจะมีการติดตามผู้ป่วยเป็นระยะแต่ก็เป็นการติดตามเฉพาะปัญหาทางร่างกายที่เกี่ยวข้อง และมีผู้ป่วยส่วนหนึ่งกลับไปดื่มและเกิดภาวะแทรกซ้อนทางร่างกายต้องกลับเข้ารับการรักษาซ้ำหลายครั้ง. ปัญหาที่พบซ้ำๆ ได้บ่อยคือ alcohol withdrawal syndrome, ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร, อุบัติเหตุ เป็นต้น. ทัศนคติของผู้ดูแลรักษาผู้ป่วยมักจะเป็นไปในทางลบ เพราะได้บอกให้ผู้ป่วยทราบถึงอันตรายของการดื่มหลายครั้ง หรือแม้กระทั่งขู่ว่า ถ้าไม่เลิกกินสุราตับจะแข็ง บางครั้งก็แสดงความ เบื่อหน่าย สิ้นหวังที่จะรักษาผู้ป่วย. ผู้ป่วยบางรายถูกมองว่าเป็นเดนสังคม สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการดูแลผู้ป่วยติดสุรายังมีปัญหาที่เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ และทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้ป่วย.
บทความนี้เสนอมุมมองเกี่ยวกับปัญหาผู้ติดสุราที่ได้จากประสบการณ์การบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยและทบทวนทฤษฎีวงจรของการเปลี่ยนแปลง (stage of change) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับผู้บำบัดและผู้ป่วย.
สมองกับการเสพติด
การติดยาเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อน มีปัจจัยด้านจิตสังคมเป็นทั้งสาเหตุและผลที่ตามมา. อย่างไรก็ตามประเด็นหลักคือ การติดยาเป็นปรากฏการณ์ทางชีววิทยาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในสมองหลังจากได้รับสารเสพติดเป็นเวลานาน1 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงานของสมองโดยเฉพาะสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจที่เรียกว่า brain reward system. การเปลี่ยนแปลงนี้นำไปสู่ปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมของผู้ป่วยหลายอย่าง เช่น หงุดหงิดง่าย ไม่ค่อยมีเหตุผล ขาดความกระตือรือร้น ความคิดหมกมุ่นอยู่กับการเสพการดื่ม เป็นต้น. การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรมนี้ทำให้ผู้ป่วยถูกมองว่าเป็นคนมีปัญหาเป็นคนไม่ดี ไม่รับผิดชอบ ไม่สนใจความทุกข์ของคนอื่น ทำให้ดูเป็นคนน่ารังเกียจ ทั้งๆ ที่มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน และเริ่มเปลี่ยนแปลงหลังจากดื่มจัดได้ระยะหนึ่ง. หากมองว่า “คนที่ติดยาหรือสุราป่วยเป็นโรคทางสมองโดยโรคนี้เป็นผลของการได้รับสารพิษเป็นเวลานานสารพิษนี้ไปทำลาย
สมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ พฤติกรรม การใช้เหตุใช้ผล การรักษาสามารถช่วยให้สมองมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงปกติ แต่ต้องอาศัยเวลา เปรียบเสมือนการรักษาโรคอัมพาตที่ต้องอาศัยเวลาในการฟื้นฟู บางรายก็หายปกติ บางรายมีอาการเหลืออยู่ บางรายเป็นซ้ำอีก” ก็อาจจะช่วยให้มีเจตคติต่อผู้ป่วยดีขึ้น.
วงล้อของการเปลี่ยนแปลง (wheel of change)
เป้าหมายที่ผู้บำบัดและผู้ป่วยจำนวนมากต้องการ คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือวิถีชีวิตที่ไม่ต้องพึงพิงการดื่มสุรา. ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งสามารถหยุดดื่มได้อย่างถาวรด้วยตนเองหลังจากได้รับทราบข้อมูลจากแพทย์มีผู้ป่วยหลายรายที่พยายามเลิกดื่มหลายครั้งแต่เลิกไม่ได้บางรายหยุดดื่มได้ 2-3 สัปดาห์ บางรายหยุดได้ 6 เดือนหรือเป็นปี แล้วก็กลับไปดื่มอีก แม้ผู้รักษาจะพยายามอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงอันตรายของสุราต่อร่างกายหลายครั้งก็ตามไม่เพียงแต่ผู้บำบัดรู้สึกสิ้นหวังกับตัวผู้ป่วยเท่านั้น ผู้ป่วยเองก็ผิดหวังกับตัวเอง บางคนรู้ว่าตนอ่อนแอ และคิดว่าคงจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนไม่ได้ เป้าหมายของความสำเร็จถูกตั้งไว้ที่การเลิกดื่มให้ได้ เมื่อเลิกไม่ได้ก็ถือว่าล้มเหลว ทั้งแพทย์และผู้ป่วยรู้สึกว่า ความพยายามนั้นสูญเปล่า ทัศนคติแบบนี้เป็นอุปสรรคต่อการบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วย. การทำความเข้าใจขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างแรงจูงใจ (motivation) จะช่วยสร้างทัศนคติเชิงบวกสำหรับแพทย์และผู้ป่วย.
ประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับการบำบัดผู้ติดสารเสพติดคือ เรื่องแรงจูงใจที่จะเลิกเสพ โดยทั่วไปแรงจูงใจถูกมองเป็นคุณลักษณะประจำตัวผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีแรงจูงใจดีก็จะเลิกเสพได้ ผู้ป่วยที่ไม่คิดจะเลิก หรือไม่พยายามเต็มที่ถือว่าเป็นคนที่ไม่มีแรงจูงใจ แต่มีแนวคิดใหม่เกี่ยวกับแรงจูงใจที่แตกต่างไปจากเดิมและช่วยให้กระบวนการบำบัดฟื้นฟูมีประสิทธิผลมากขึ้น. แนวคิดใหม่มองว่าแรงจูงใจไม่ใช่คุณลักษณะที่ผู้ป่วยมีหรือไม่มี แต่เป็นกระบวนการที่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นโดยอาศัยกระบวนการปฏิสัมพันธ์ แนวคิดนี้แบ่งขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนเป็น 5 ขั้นตอน2 (ดูภาพที่ 1).
ตั้งแต่ขั้นแรกซึ่งยังไม่มีความต้องการจะเปลี่ยนแปลงเฉยเมยต่อปัญหาที่เผชิญ เช่น ไม่ตระหนักว่าการสูบบุหรี่หรือดื่มสุราของตนเป็นปัญหา ขั้นนี้เรียกว่า precontemplation stage ขั้นที่สอง เริ่มมีความตระหนักถึงปัญหาและคิดที่จะเปลี่ยนแปลงหรือเลิกเสพ. ขั้นที่สองนี้เรียกว่า contemplation stage พบว่าผู้ป่วยจำนวนมากอยู่ในระยะนี้ แต่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรขาดความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนแปลง ทำให้ไม่สามารถเลิกเสพได้ แม้ว่าจะพยายามทดลองด้วยตนเอง. ขั้นที่สามเรียกว่า preparation stage เป็นขั้นเตรียมการสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่จริงจัง สิ่งที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ได้แก่ การศึกษาหาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับวิธีการเลิกยา หรือหาสถานบำบัด. เมื่อเตรียมการพร้อมแล้วก็เข้าสู่ระยะที่สี่ ซึ่งเรียกว่า action stage คือเริ่มปฏิบัติตัวเพื่อให้ปลอดจากยาหรือสารเสพติด ถ้าผ่านระยะนี้ไปได้ก็จะเข้าสู่ระยะ maintenance stage ถึงระยะนี้ไม่ได้ประกันว่าเลิกเสพได้เด็ดขาดยังมีโอกาสที่จะหวนกลับไปเสพ (relapse) ได้อีก บางรายต้องกลับไปขั้นตอนที่ 2, 3, 4, 5 ใหม่หลายรอบกว่าจะเลิกเสพได้อย่างถาวร.
กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงตามขั้นตอนที่กล่าวมาแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่
1. Experiential Process เป็นกระบวนการที่เกี่ยวกับประสบการณ์ที่ประสบและนำไปสู่การเปลี่ยน แปลงพฤติกรรม ประกอบด้วย 5 กระบวนการคือ
1.1 Consciousness raising คือเกิดความตระหนักโดยการได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาพฤติกรรมสุขภาพ ความเข้าใจ ที่ถูกต้องอาจจะนำไปสู่ความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม จากประสบการณ์การบำบัดผู้ป่วยติดสุราพบว่า ผู้ป่วยที่สามารถหยุดดื่มได้สำเร็จบางราย ไม่เคยแม้แต่คิดว่าตนเองติดสุรา เพราะดื่มเฉพาะวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ วันที่ไม่ดื่มก็ไม่มีปัญหาทำงานได้จนกระทั่งได้มาเข้ากลุ่มบำบัด และได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาการของผู้ติดสุราอย่างถูกต้องจึงยอมรับว่า ตนเองติดสุรา เริ่มตระหนักว่าปัญหาของตนรุนแรงและต้องแก้ไข.
1.2 Dramatic relief ประสบการณ์ที่มีผลกระทบต่อความรู้สึกจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เช่น การได้บอกถึงความรู้สึกที่มีต่อปัญหาครอบครัวที่เกิดจากการดื่มของตนหรือเมื่อได้ยินปัญหาของคนอื่น.
1.3 Self reevaluation การประเมินพฤติกรรมในปัจจุบันและตระหนักว่าไม่สอดคล้องกับเป้าหมายหรือคุณค่าของชีวิตของตน หรือไม่เป็นที่น่าภาคภูมิใจ กระตุ้นให้เกิดความพยายามเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้ป่วยสามารถนึกภาพของตนเองได้ว่าหากเปลี่ยนแปลงหรือเลิกดื่มได้สำเร็จ จะมีอนาคต มีความภาคภูมิใจ เป็นแรงจูงใจให้อยากจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตน.
1.4 Environmental reevaluation แรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงอาจจะเกิดจากการตระหนักถึงผลกระทบของการดื่มที่ไม่เพียงแต่กระทบต่อสุขภาพ ของตนเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบถึงคนรอบข้างในครอบครัวหรือที่ทำงานด้วย.
1.5 Social liberation การเปลี่ยนแปลงของสังคมบางอย่างช่วยสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมได้ง่ายขึ้น สังคมยกย่องสนับสนุนคนที่ไม่สูบบุหรี่มากขึ้น ก็สามารถช่วยสร้างแรงจูงใจให้เลิกสูบบุหรี่ได้มากขึ้น. ตัวอย่างที่เห็นชัดในสังคมไทยคือ การงดดื่มในช่วงเข้าพรรษา มีผู้ป่วยจำนวนมากสามารถหยุดดื่มได้ในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างน้อยก็รู้สึกว่าได้ทำบุญกุศล แม้จะชั่วคราวก็ตาม.
2. Behavioral Process เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ต้องอาศัยกระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยตรง
2.1 Stimulus control คือการกำจัดสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้อยากดื่มอยากเสพ เช่น แก้วสุรา ขวดสุราในตู้โชว์ การเดินผ่านร้านขายสุรา มีเงินเหลือในกระเป๋า มีบัตร ATM หรือบัตรเครดิต เป็นต้น.
2.2 Counter conditioning การหาสิ่งอื่นที่มาทดแทนการดื่มการเสพ เช่น การออกกำลัง หรือ การทำกิจกรรมยามว่าง หรือฝึกการแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์.
2.3 Reinforcement management เป็นการกำหนดเงื่อนไขการให้รางวัลเมื่อสามารถเลี่ยง การดื่ม การเสพได้ อาจจะเป็นการให้รางวัลตนเองหรือ ผู้อื่นให้ก็ได้.
2.4 Self-liberation เกี่ยวข้องกับความเชื่อในความสามารถของตนว่า สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเริ่มลงมือกระทำโดยเข้าร่วมกิจกรรมที่ทำให้ตนเอง ปลอดภัยจากการกลับไปดื่มหรือเสพอีก เช่น การเข้ากลุ่มบำบัด หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการ เลิกดื่มที่ชุมชนหรือสังคมจัดขึ้น.
2.5 Helping relationship คือสัมพันธภาพที่ดีกับคนที่ให้กำลังใจ เข้าใจ ยอมรับและพร้อมที่จะ ช่วยเหลือ ผู้ป่วยจำนวนมากรู้สึกโดดเดี่ยว การมีสัมพันธภาพดังกล่าวช่วยให้ผู้ป่วยมีกำลังใจ ยอมรับและเปิดเผยปัญหาของตนเองได้มากขึ้น นำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง. การเข้ากลุ่มบำบัดคือรูปธรรมที่ชัดเจน เพราะจะมีผู้บำบัดและผู้ป่วยด้วยกันคอย เป็นกำลังใจ และช่วยเหลือ.
รูปแบบการทำกลุ่มบำบัด
ใช้แนวการบำบัดที่เรียกว่า matrix model3 ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยทีมนักวิจัยของ UCLA เริ่มต้นมี เป้าหมายเพื่อใช้กับผู้ป่วยติดสารกระตุ้นประสาท เช่น amphetamine และ cocaine. ในทางปฏิบัติไม่ได้จำกัดประเภทของสารหรือยาที่ใช้. แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมาจะรวมอยู่ในโปรแกรมบำบัดแบบ matrix model.
กิจกรรมกลุ่มจัดเตรียมไว้อย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ ละ 3 วัน (จันทร์ พุธ และศุกร์) ใช้เวลาครั้งละประมาณ
1.5-2 ชั่วโมง เป็นเวลา 4 เดือน รวม 48 ครั้ง โดยมีเนื้อในการดำเนินกลุ่มที่ชัดเจน มีคู่มือสำหรับผู้บำบัด และผู้ป่วย. ในวันพุธเป็นกิจกรรมที่จัดไว้สำหรับครอบครัว. เมื่อครบ 48 ครั้งถือว่าผู้ป่วยบำบัดครบตามโปรแกรม. รายละเอียดของโปรแกรมจะไม่กล่าวในที่นี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อขอรายละเอียดและคู่มือได้ที่ สถาบัน ธัญญรักษ์ กรมการแพทย์ โรงพยาบาลในสังกัดกรมสุขภาพจิต หรือที่แผนกผู้ป่วยนอก ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี.
การเรียนรู้ที่ได้จากการฟื้นฟูผู้ป่วยที่ติดสุรา
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีได้เปิดบริการกลุ่มบำบัดสำหรับผู้ติดยาหรือสารเสพติดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ในระยะแรกผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นที่ติด amphetamine ระยะหลังจำนวนผู้ป่วย amphetamine ลดลง เหลือผู้ป่วยติดสุราเป็นส่วนใหญ่. ประสบการณ์ที่ได้จากการบำบัดผู้ป่วยเหล่านี้มีประเด็นข้อเท็จจริงที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยดังนี้
1. มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่พยายามจะเลิกดื่มด้วยตนเองแต่ไม่สำเร็จเพียงเพราะไม่มีความรู้ ไม่ทราบวิธีการ ขาดทักษะในการจัดการกับปัญหาที่ ต้องเผชิญในการเลิกดื่ม. ผู้ป่วยต้องการการเรียนรู้ที่ จะเผชิญกับปัญหาในชีวิต อาการอยาก (craving) ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในสมอง สาเหตุและสิ่งกระตุ้นห้อยากดื่ม.
2.หลายครั้งเหตุอันทำให้กลับไปดื่มอีกเกิดจากผู้ป่วยเป็นคนสร้างขึ้นเอง เช่น ชวนทะเลาะ หาเรื่องทำให้รู้สึกโกรธ น้อยใจ เป็นต้น พบว่า ผู้ป่วยรู้สึกไม่ดี รู้สึกผิดกับการดื่มของตน เพื่อลดความรู้สึก ดังกล่าว จึงต้องทำให้มีเหตุผลที่อ้างได้ว่าดื่มเพราะมีเรื่องไม่สบายใจ หรือเพราะถูกไล่ หรือยั่วยุ. การหาเหตุให้การดื่มของตนดูดีมีเหตุผลเรียกว่า การหาข้ออ้างในการกลับไปดื่ม (relapse justification). ผู้ป่วย ส่วนมากไม่เคยตระหนักถึงประเด็นนี้ เมื่อมีการหยิบยกเรื่องนี้มาเรียนรู้และทำความเข้าใจ ทำให้ลดพฤติกรรมหรือความพยายามหาข้ออ้างลงได้.
3. เพียงแต่การบอกถึงโทษของการดื่มไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ผู้ป่วยเลิกดื่มได้ ผู้ป่วยหลายรายได้รับคำเตือนจากแพทย์หลายครั้งและเป็นเวลานานแล้วว่าตับทำงานไม่ดีแล้ว ดื่มต่อตับจะแข็ง คำเตือนนี้ทำให้ผู้ป่วยเกิดความกลัว และพยายามจะเลิกดื่มในช่วงเวลาสั้นๆ สุดท้ายก็มักกลับไปดื่ม ทั้งนี้เพราะฤทธิ์เสพติดของสุราที่มีต่อสมอง.
4. “ ทุกอย่างอยู่ที่ใจ” เป็นความจริงเพียงบางส่วนไม่ใช่ทั้งหมดของปัญหา. มีผู้ป่วยหลายรายมีความตั้งใจที่จะเลิกดื่มให้ได้เด็ดขาด แต่ไม่รู้ว่าจะทำให้ความตั้งใจของตนให้เป็นการกระทำได้อย่างไรไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะและวิธีการปฏิบัติตนให้ปลอดภัย ในที่สุดก็กลับไปดื่มอีก. ผู้บำบัดต้องช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีการและทักษะต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยแปลงความตั้งใจออกมาเป็นแผนปฏิบัติการลงมือปฏิบัติติดตามผล ทบทวน เรียนรู้จากความ ผิดพลาดหรือจุดอ่อนที่พบ และชื่นชม ภูมิใจกับความก้าวหน้า หรือการเปลี่ยนแปลงในทางบวก. คำพูดที่มักใช้บ่อยในการให้กำลังใจที่ว่า “คุณตั้งใจจะเลิกทำไม จะทำไม่ได้ ต้องเข้มแข็งสิ” จึงไม่มีประโยชน์ และอาจจะเป็นการตอกย้ำความอ่อนแอหากทำไม่ได้.
5. การบำบัดฟื้นฟูควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิตประจำวันมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ การฝึกปฏิบัติ และการต่อสู้กับอุปสรรคที่ขัดขวางการเลิกดื่ม เพราะชีวิตประจำวันเป็นทั้งแบบฝึกหัดให้ผู้ป่วยได้มีโอกาสได้ฝึกฝนในการเผชิญปัญหาในชีวิตจริงและในเวลาเดียวกันก็เป็นเหมือนข้อสอบที่เป็นเครื่องวัดความเปลี่ยนแปลงในความเข้าใจทักษะ และการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยที่ดีที่สุด.
6. การที่คนใกล้ชิดผู้ป่วยได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบำบัด ทำให้คนใกล้ชิดมีความสบายใจคลายความทุกข์ที่เกี่ยวกับปัญหาการดื่มของผู้ป่วย ได้ แม้ว่าผู้ป่วยอาจจะยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมากนัก. การที่คนใกล้ชิดคลายความทุกข์ความวิตกกังวลลงนี้ส่งผลเป็นแรงสนับสนุนความพยายามของผู้ป่วย เพราะเมื่อคลายความทุกข์ความกังวลลง การปฏิบัติต่อผู้ป่วยที่เป็นเหตุส่งเสริมการดื่มจะน้อยลง บรรยากาศและคุณภาพชีวิตของครอบครัวดีขึ้น.
7. ผู้ป่วยบางรายมีภาวะซึมเศร้า หรือโรคทางจิตเวชอื่นร่วมด้วย เช่น โรควิตกกังวล (anxiety disorder) การได้รับการรักษาอาการซึมเศร้า วิตกกังวลก็จะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูได้ดีขึ้น.
8. ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่การเลิกดื่มได้อย่างสิ้นเชิง การเผลอหรือหลุดไปดื่มเป็นครั้งคราว (slip) หรือการกลับไปเมาหัวราน้ำ (relapse) ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในกระบวนการฟื้นฟู (recovery process). หากผู้ป่วยยังมีความพยายามที่จะเรียนรู้ และหาวิธีการต่อสู้กับความอยาก สิ่งกระตุ้นต่างๆ ก็ยังถือว่าประสบความสำเร็จในระดับที่ 3 และ 4 ของ stage of change คือมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น. จุดนี้เป็นการมองเชิงบวก และสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วยได้อย่างมาก ถ้าผู้บำบัดเข้าใจธรรมชาติของ การเปลี่ยนแปลงก็จะมีทัศนคติและท่าทีที่มั่นคง พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยเสมอ.
ตัวอย่างของความพยายามของผู้ป่วยในการต่อสู้กับอาการอยากดื่ม
1. ไม่พกเงินติดตัวเกินกว่าที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อไม่ให้มีเงินเหลือพอที่จะเอาไปซื้อสุรา.
2. บอกตัวเองว่า “วันนี้ไม่ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” เป็นแนวคิดว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด หยุดทีละวัน ไม่คิดไปไกลว่าจะเลิกตลอดชีวิต หรือกังวลว่าจะหยุดได้นานแค่ไหน.
3. ไม่เปิดโอกาสให้ใครรินสุราใส่แก้วของตนเอง โดยเติมน้ำหรือเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ให้เต็มก่อนลุกจากโต๊ะ. ผู้ป่วยมีความคิดว่า หากมีคนหวังดีรินสุราให้แล้วผู้ป่วยเผลอดื่มแม้จะเล็กน้อย โอกาสที่จะดื่มต่อยาวมีสูงมาก ไม่ควรเสี่ยง.
4. กินอาหารให้อิ่ม แล้วอาการอยากจะลดลง.
5. ถ้าต้องเดินทางเป็นหมู่คณะจะขอนั่งกับคนขับเพราะช่วยให้ปลอดภัยจากการดื่ม.
6. งดการติดต่อกับเพื่อนที่เคยดื่มด้วยกัน เพราะบางครั้งแค่ได้ยินเสียงคุยทางโทรศัพท์ก็เกิดอาการอยากดื่มได้แล้ว.
7. ไม่เดินผ่านหรือแวะร้านที่เคยซื้อสุรา ถ้าจะซื้อของให้คนอื่นไปซื้อแทน.
บทบาทของแพทย์
แพทย์ผู้ดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวข้องกับการดื่มสุราเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ป่วยเลิกดื่ม
1. ปรับทัศนคติที่มีต่อผู้ป่วยในเชิงลบ ขอให้ตระหนักว่า การติดสุราเป็นความเจ็บป่วยหรือโรคชนิดหนึ่งที่ต้องการการรักษา เป็นโรคที่เรื้อรัง บางรายรักษาได้หายขาด บางรายแค่ทุเลา บางรายเป็นๆ หายๆ บางรายก็รักษาไม่ได้. คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีโรคทางกายจำนวนมากที่มีความเรื้อรัง รักษาไม่หาย หรือเป็นๆ หายๆ เช่นกัน แต่แพทย์ไม่รังเกียจผู้ป่วยเหล่านั้น ทั้งนี้เพราะเข้าใจว่า คนติดสุราหาเรื่องใส่ตัวเอง ไม่รักตัวเอง ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น หากแพทย์เข้าใจกลไกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสมองของผู้ป่วยทำให้เกิดปัญหาทางอารมณ์ พฤติกรรม และเลิกดื่มไม่ได้ ก็จะช่วยให้เปลี่ยนทัศนคติไปในทางที่ดีขึ้นพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย.
2. ให้ความสนใจกับการค้นหาหรือคัดกรองผู้ที่มีปัญหาในการดื่มสุรา ทั้งนี้เพราะผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยปัญหาสุขภาพจำนวนไม่น้อยดื่มสุรา. นอกจากนี้สุราอาจจะเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพทางกาย เช่น ปัญหาไขมันในเลือดสูง กระเพาะอาหารอักเสบ และอุบัติเหตุ เป็นต้น. วิธีการคัดกรองผู้ที่มีปัญหาในการดื่มสุราด้วยแบบสอบถามที่สั้นและใช้ได้ง่ายคือ CAGE questionnaire4,5 ซึ่งประกอบด้วยคำถาม 4 ข้อดังนี้
1. คุณเคยรู้สึกว่าตนเองควรลด (cut down) หรือหยุดการดื่มของตนเองหรือไม่?
2. คุณเคยรู้สึกรำคาญ (annoyed) จากเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับการดื่มของคุณหรือไม่?
3. คุณเคยรู้สึกผิด (guilt) จากการดื่มของคุณหรือไม่?
4. คุณเคยต้องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อทำให้ ตาสว่าง (eye-opener) กระปรี้กระเปร่า (ถอน) ใน ตอนเช้าหรือไม่?
ถ้าตอบใช่ตั้งแต่ 1 ข้อขึ้นไปถือว่าให้ผลบวก และควรประเมินให้ว่า ดื่มบ่อยเพียงใด และดื่มแต่ละครั้งมากแค่ไหน เมามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีปัญหาก็ควรให้การช่วยเหลือ.
3. ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยวิธีการ ที่เรียกว่า Brief Intervention ซึ่งเป็นวิธีการที่พบว่าได้ผลดีกว่าการไม่ให้ความช่วยเหลืออะไรเลย.5,6 Brief Intervention เป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้ป่วยเข้าสู่วงจร ของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดังที่กล่าวมาในตอนต้น รายละเอียดแสดงในตารางที่ 1.
ตารางที่ 1. Brief Intervention :FRAMES approach
ขั้นตอนนี้ช่วยสร้างความตระหนัก และเปลี่ยนจากขั้น precontemplation ไปสู่ขั้น comtemplation |
"หมอเป็นห่วงว่าการดื่มของคุณเป็นสาเหตุของ |
เปลี่ยนจาก contemplation ไปสู่ preparation |
|
|
"คิดว่าคุณน่าจะได้รับการบำบัดอย่างจริงจังเพราะ |
เป็นการให้ทางเลือกแก่ผู้ป่วย การมีทางเลือกทำให้
เข้าสู่ขั้น action |
|
มีส่วนสำคัญในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทุกขั้นตอน |
|
เกี่ยวข้องในระยะ Preparation,Action และ |
สิ่งที่แพทย์ต้องตระหนักคือ ผู้ป่วยแต่ละราย มีความแตกต่างกัน การคาดหวังให้ผลของการให้ความช่วยเหลือหรือรักษาเหมือนกันทุกรายย่อมเป็นไปไม่ได้ บางรายอาจจะได้ผลดีเกินความคาดหมายบางรายก็อาจจะไม่ได้ผลอย่างที่มุ่งหวัง เป็นธรรมชาติของปัญหา การมีทัศนคติเชิงบวกที่ให้โอกาส และพร้อมให้ความช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยเสมอถือเป็นความสำเร็จของผู้ให้บริการ. บางครั้งการให้คุณค่าของความสำเร็จที่ผลลัพธ์ (results) โดยไม่คำนึงถึงความหมายและคุณค่าของความพยายาม (process) ก็เป็นเหตุของความล้มเหลว.
สรุป
การติดสุราเป็นภาวะที่ซับซ้อน มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งด้านจิตสังคม และปัจจัยทางชีววิทยา. ปัจจัยทางชีววิทยาที่สำคัญคือ ผลของสุราต่อสมองทำให้เกิดปัญหาด้านพฤติกรรม การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของสมอง วงจรหรือธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง.สิ่งที่ต้องเผชิญและเรียนรู้ในการฟื้นฟูจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งสำหรับผู้บำบัดและผู้ป่วย แพทย์ควรให้ความสนใจประเมินปัญหาทางจิตสังคมโดยเฉพาะในประเด็นที่กระตุ้นการดื่มให้มากขึ้น และให้การดูแลช่วยเหลือ ผู้ป่วยด้วยความเห็นอกเห็นใจ.
เอกสารอ้างอิง
1. Nestler E. Neuroadaptation in addiction. In : Graham A, Schultz T, eds. Principles of addiction medicine. 2nd ed. Chevy Chase, Maryland : American Society of Addiction Medicine, 1998:57-71.
2. Prochaske J, DiClemente C. The transtheoretical approach : crossing traditional boundaries of treatment. Homewood, IL : Dow Jones-Irwin, 1984.
3. Matrix Institute. The Matrix intensive outpatient program : a 16-week program for the treatment of stimulant abuse and dependence disorders. Los Angeles : Matrix Center, 2000.
4. Mayfield D, McLeod G, Hall P. The Cage Quesitonnaire : validation of a new alcoholism screening instrument. Am J Psychiat 1974;131:1121-3.\
5. World Health Organization (WHO) Brief Intervention Study Group. A cross-national trial of brief interventions with heavy drinkers. Am J Pub Health 1996;86:948-55.
6. Fleming M, Barry K, Manwell L, Johnson K, London R. Brief physician advice for problem alcohol drinkers : a randomized trial in community-based primary care practices. JAMA 1997;277:1039-45.
7. Leake G, King A. Effect of counselor expectations on alcoholic recovery. Alcohol Health and Research World 1977;11:16-22.
ชัชวาลย์ ศิลปกิจ พ.บ., รองศาสตราจารย์, ภาควิชาจิตเวชศาตร์, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล
รัตนา สายพานิชย์ พ.บ., ผู้ช่วยศาสตราจารย์, ภาควิชาจิตเวชศาสตร์, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล
รุ่งทิพย์ ประเสริฐชัย ว.ทบ., ภาควิชาจิตเวชศาสตร์, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล
อุไร บูรณพิเชษฐ์ ว.ทบ., ภาควิชาจิตเวชศาสตร์, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล
อัญชลี จุมพฏจามีกร ว.ทบ., ภาควิชาจิตเวชศาสตร์, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล
- อ่าน 17,563 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้