เมื่อปี พ.ศ. 2544 ได้มีโอกาสไปเรียนฝังเข็มที่จังหวัดเชียงใหม่ ช่วงนั้นชีวิตน่าเบื่อมากจะหาเรื่องเรียนค่อนข้างเยอะ ทั้งเรียนทำอาหาร กีฬาว่ายน้ำ วิ่ง เรียนการทำสมาธิ. โชคดีไปเจอเพื่อนเก่าแนะนำว่าควรเรียนโยคะน่าจะดี เพราะหุ่นผอมๆ กล้ามเนื้อไม่เยอะออกกำลังแบบยืดหยุ่นเส้นเอ็นทั้งหลายจะดี แต่ถ้าเป็นพวกธาตุดินหุ่นล่ำ ควรจะออกกำลังแบบวิ่งจึงจะดี.
เมื่อไปเรียน อาจารย์ที่สอนเป็นชาวเยอรมัน ถามตั้งแต่วันแรกว่า " จิตแพทย์ที่โรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ส่งมาเรียนหรือเปล่า" ก็ตอบไปว่า " เปล่า สนใจที่จะเรียนเอง ".
การเรียนใช้เวลาเรียนทั้งหมด 10 ครั้ง เป็นเวลา 3 สัปดาห์ วันหลังๆ ชักขี้เกียจเรียน แต่ว่าเสียสตางค์แล้วตั้ง 3,500 บาท รู้สึกเสียดาย และมารู้ตอนหลังว่าครูที่สอนจะดูหมอไพ่ยิปซีและนวดฝ่าเท้าให้เพื่อคลายเครียดในครั้งสุดท้ายจึงเป็นกำลังใจให้ไปเรียนจนจบ. สมัยเมื่อ 3-4 ปีก่อน ทั้งโยคะและนวดฝ่าเท้านี้ยังใหม่มากสำหรับแพทย์ที่จะยอมรับโดยไม่ขัดแย้ง แต่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับในต่างประเทศ.
ครูที่สอนให้กำลังใจดีมากๆ บอกว่าทำเก่งทุกครั้งที่เรียนและแนะให้กลับไปสอนต่อที่โรงพยาบาลนะ. ตอนนั้นยังแย้งในใจว่า ไม่หรอกจะทำเพื่อตัวเองก่อน. พอกลับมาทำได้ระยะหนึ่งก็ชักเบื่อ ก็คิดเองว่า คงต้องหาคนมาร่วมเรียนก็แล้วกัน เผื่อจะได้มีความรู้อยู่กับตัวนานๆ และจะได้หายเบื่อด้วย. แล้วจะหาใครร่วมสนใจดีนะ จะเปิดสอนที่บ้านก็ไม่ได้ เป็นหมอคงต้องสอนที่โรงพยาบาลสอนผู้ป่วยคงจะดี. การสอนโยคะช่วยฝึกเรื่องการสอนหน้าชั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นธรรมชาติไม่เครียด ฝึกด้วยลมหายใจตัวเองอย่างสม่ำเสมอให้ต่อเนื่อง จนตอนหลังวิถีโยคะก็เข้ามาอยู่ในชีวิต เวลาทำงานก็ตามลมหายใจด้วยตัวเองจนคล่อง.
ต่อมาก็สังเกตว่า เวลาจะวางยาสลบผู้ป่วย ตัวเองนิ่งขึ้น ทำงานสบาย แต่ผู้ป่วยมักจะบ่นว่าเวลาเข้าห้องผ่าตัดตื่นเต้นมาก พยาบาลที่ตึกก็บอกมาแล้วว่าไม่ต้องกลัว แต่ยิ่งบอกก็ยิ่งกลัวใหญ่. ความดันเลือดที่วัดได้ขณะนั้นส่วนมากมักจะสูงกว่าขณะอยู่ที่ตึกไม่มากก็น้อย จึงทดลองให้ผู้ป่วยขี้กังวลทั้งหลายลองหายใจเข้าออกลึกๆ หลายๆ ครั้ง ก่อนจะให้ยาหลับสัก 3-5 นาที แล้วค่อยให้ยาหลับ.
ขณะนั้นวัดความดันเลือดก็พบว่า ผู้ป่วยส่วนหนึ่งความดันเลือดลดลงเอง โดยไม่ต้องให้ยาลดความดันเลือดเลย. แล้วค่อยให้ยาสลบ ผู้ป่วยเข้าสู่การผ่าตัดอย่างปลอดภัย และการทำแบบนี้จะดีในแง่ที่ช่วยให้หมอดมยาไม่เครียดเรื่องความดันเลือดที่สูงไปด้วย แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ยังต้องอาศัยยาลดความดันเลือดช่วยอยู่.
ถ้าก่อนให้ยาสลบ ผู้ป่วยมีความดันเลือดสูงมากจะทำให้ในขณะผ่าตัดความดันเลือดเพิ่มสูงกว่าเดิมอีก ซึ่งเป็นผลจากความเจ็บปวด อาจทำให้เกิดอันตรายได้. เมื่อตามไปถามความรู้สึกหลังผ่าตัด ผู้ป่วยบอกว่าหลับสบาย ถึงแม้จะมีปวดแผลหลังผ่าตัดบ้าง ความกังวลลดลง และขอขอบคุณที่บอกวิธีให้ไม่กังวลขณะผ่าตัดด้วยโดยที่ไม่เคยมีใครบอกมาก่อนเลย.
ตอนนี้กำลังคิดอยู่ว่า ถ้าจะทำเป็นงานวิจัยจะทำได้อย่างไร เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้สอนในโรงเรียนแพทย์มาก่อน. เวลาจะวางยาสลบแต่ละครั้ง ถ้าผู้ป่วยกังวล เราก็มักถูกสอนให้สั่งผู้ป่วยว่าอย่ากังวลเป็นแบบอัตโนมัติ ถ้ายังกังวลอยู่อีก ก็มักให้ยาทั้งหลายเพื่อลดความกังวล ถ้าความดันเลือดสูงขึ้นก็ให้ยาลดความดันเลือดด้วยเลย. ระหว่างนั้นหมอดมยาก็มักจะกังวลตามผู้ป่วยไปด้วยว่าจะใช้ยาอะไรดีถ้าความดันเลือดไม่ลด งดผ่าตัดไปก่อนดีไหม ซึ่งจะมีปัญหาที่ต้องตอบหมอผ่าตัดด้วยว่าจะพูดอย่างไรให้ทั้งผู้ป่วยและญาติเข้าใจ.
ความเครียด ความดันเลือดสูง ความกังวลที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยสามารถช่วยหมอจัดการตัวเองให้สงบลง ความดันเลือดลดลงได้ด้วยตัวเองก่อนการให้ยาสลบ ผู้ป่วยจะสามารถทำอะไรเล็กน้อยเพื่อตัวเองบ้างก่อนจะผ่าตัด.
ในหนังสือหัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ ที่นายแพทย์วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ได้เขียนถึงในบทเรื่องลมหายใจไว้ว่า ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เรื่องลมหายใจแบบโยคะ หรือไทจี้-ชี่กง ที่ใช้หายใจด้วยกะบังลมนั้น ดร.ดีน ออร์นิส (Dean Ornish M.D.) เขียนไว้ว่า มีการทดลองที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นการหายใจที่ช่วยลดความดันในช่องปอดลง ซึ่งช่วยให้ความกดดันต่อหัวใจและหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจลดลง.อีกทั้งการทำงานของกะบังลมที่ขึ้นๆ ลงๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ยังทำให้เกิดความต่างของความกดดันในช่องท้องเป็นช่วงๆ ทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวปั๊มอีกตัวหนึ่งที่ช่วยหัวใจปั๊มเลือดไปเลี้ยงร่างกายส่วนล่าง. กะบังลมทำหน้าที่นี้เหมือนเป็นหัวใจอีกดวง จึงเป็นการช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจไม่ต้องทำงานหนักเกินกว่าที่ควร เป็นการถนอมหัวใจซึ่งทำให้หัวใจทำงานดีขึ้น.
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาอีกหลายเรื่องที่สนับสนุนการหายใจด้วยท้องว่ามีผลต่อสุขภาพที่ดีขึ้น และในบทเดียวกันยังอ้างถึงงานของ MuKunda เขียนในหนังสือ Structural Yoga Therapy ของเขาว่า การหายใจแบบโยคะ ทำให้ฮอร์โมนประเภท endorphins ที่ถือว่าเป็นฮอร์โมนด้านบวกที่จะส่งผลดีต่อร่างกายหลั่งออกมาได้.
โดยสรุปก็คือว่า ความสำคัญของการหายใจเพื่อลดความตื่นเต้นในระหว่างผ่าตัดมีความสำคัญ ผู้ป่วยสามารถควบคุมความสงบ และลดโอกาสที่ความดันเลือดจะสูงขึ้นได้ด้วยตัวเองอีกด้วย.
ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ พ.บ., น.บ., สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี,
กรมการแพทย์ (บรรณาธิการ)
สิรีธร โชลิตกุล พ.บ., วิสัญญีแพทย์, โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์, จังหวัดเชียงราย
- อ่าน 4,297 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้