ในปีที่ผ่านมา สปสช. ก็ได้มีพัฒนาการไปสู่ขั้น 30 บาทช่วยคนไทยห่างไกลโรค ซึ่งมีนัยที่ต้องการส่งสัญญาณว่า การสร้างหลักประกันสุขภาพแห่งชาติขึ้นมา เพื่อไปสู่ระบบสุขภาพที่คนไทยทั้งมวลได้มีโอกาส "ห่างไกลโรค" ได้ รับบริการด้วยความ "มั่นใจในคุณภาพบริการ" ไม่ล้มละลายทางการเงินเมื่อป่วยหนัก และผู้ให้บริการก็มีความสุขในการได้จัดบริการตามวิชาการทั้งการแพทย์ สาธารณสุข และการสร้างเสริมสุขภาพ
ปัญหาหนึ่งเมื่อเริ่มดำเนินการเมื่อคราว " 30 บาทรักษาทุกโรค" ก็คือผู้ที่มีภาวะเรื้อรัง ผู้มีความเสี่ยงต่อโรค ผู้เป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง ไม่ได้รับการดูแลต่อเนื่อง เพราะกลัวต่างๆ นานาและกลัวค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้มาก ระบบส่งต่อก็สร้างความกังวลด้านต้นทุนค่าใช้จ่ายแก่ผู้ให้บริการ โรงพยาบาลตั้งใจรักษาแต่ไม่มีเงินซื้อยาแพง ฉายแสงแพงๆ ค่าผ่าตัดแพงๆ ให้ ก็เลยยิ่งทำให้คนไทยเหล่านี้ " เข้าใกล้โรค เป็นภาระแก่การรักษา" มากขึ้นทุกที
แล้ว 30 บาทช่วยคนไทย ห่างไกลโรค ทำอะไรที่แตกต่างจากเดิม??
สำหรับบุคคลที่ป่วยหรือมีความเสี่ยงโรคที่เรื้อรังต้องการดูแลต่อเนื่อง โรคค่าใช้จ่ายสูง หากได้มาบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมกัน ทั้งหน่วยบริการ สปสช. ภาคประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดรูปแบบการดูแลที่ต่อเนื่องครบวงจร " รายโรค" ที่สอดคล้องกับการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการที่เหมาะสมเป็นธรรม ตามมาตรฐานการรักษาที่กำหนดแล้ว (ตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงโรค การคัดกรองความเสี่ยง การวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ ที่ดี การรักษาที่มาตรฐานการส่งต่อ การติดตามฟื้นฟูต่อเนื่องภายใต้การอุ้มชูดูแลของครอบครัว ชุมชน)
โรคฮีโมฟีเลีย เด็กป่วยด้วยโรคนี้ที่ใช้สิทธิบัตรทองไม่น้อยกว่า 1,500 คน จะได้รับการดูแลรักษาโดยครอบคลุมค่ายาและค่ารักษาที่ต้องใช้ในแต่ละปี
โรคมะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ไม่ต่ำกว่า 10,000 คน จะได้รับการดูแลรักษาตามแผนการรักษาที่แพทย์เจ้าของไข้ได้ประเมินไว้ โดยสปสช.เหมาจ่ายตามแผนการรักษานั้นๆ
ผู้ที่มีภาวะโรคลมชัก ที่มีมากถึงประมาณ 600,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่รักษาด้วยยา จะได้รับการสนับสนุนการรักษา ในรายที่ต้องการการผ่าตัดอีกประมาณ 300 ราย ซึ่งต้องใช้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
เด็กที่มีภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่ โครงการยิ้มสวยเสียงใส เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ จะได้รับการผ่าตัดรักษาและฟื้นฟู
ตาต้อกระจกซึ่งเกิดจากเลนส์ตาขุ่นมัว ซึ่งเกิดในผู้สูงอายุ คาดว่าน่าจะมีกว่า 50,000 คน จะได้รับการผ่าตัดรักษา
โรคลิ้นหัวใจ ผนังหัวใจรั่ว หลอดเลือดผิดปกติ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ กว่า 6,000 คน ต้อง ได้รับการดูแลที่ครอบคลุมการตรวจวินิจฉัย รักษา ฟื้นฟูครบวงจร
ผู้ติดเชื้อ เอช ไอ วี กว่าแสนคน ที่ต้องได้รับยาต้านไวรัสเอดส์ จะได้รับการดูแลตรวจกรอง เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมกับระยะของโรค
การจัดการ " รายโรค" เบียดบัง "รายหัว"หรือไม่?
คำตอบคือ ไม่ใช่!! ด้วยเหตุผล 2 ประการ
1. งบรายจ่ายรายหัวที่จัดสรรให้จังหวัดเพื่อการดูแลรักษาทั่วไปสำหรับผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน และสร้างเสริมสุขภาพ เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2548 อยู่แล้วตามตาราง
แต่งบที่จะเอามาบริหารจัดการโรคเรื้อรังและโรคค่าใช้จ่ายสูงเป็น " คนละงบ" กับตารางข้างต้น หรือกล่าวให้ง่ายคือจะบริหารจัดการแยกกัน ภายใต้วงเงินปีงบประมาณ 2549 (บาท) เหมาจ่ายรายหัวต่อประชากรทั้งประเทศ 190 บาทเป็นงบกองทุนเพื่อจ่ายในค่าใช้จ่ายสูง การเบิกจ่ายเป็นการเบิกจากส่วนกลาง การบริหารระบบบริการ เป็นลักษณะเครือข่ายส่งต่อขนาดใหญ่ โดยไม่ " เบียดบัง " งบเหมาจ่ายรายหัวต่อประชากรของจังหวัด
2. การบริหารจัดการโรคเรื้อรังและโรคค่าใช้จ่ายสูงในผู้ป่วยกลุ่มเป้าหมาย หากบริหารจัดการโรค (management of disease) เรื้อรัง และค่าใช้จ่ายสูงให้ดี ต่อเนื่อง ครบวงจรแล้ว ความเจ็บป่วยทั่วไปของบุคคลเหล่านี้ก็จะน้อยลง ทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนของเหมาจ่ายรายหัวของผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยในทั่วไป ทำให้มีเงินเหลือพอที่จะใช้บริหารภายในจังหวัดมากขึ้น
ดังนั้น หากการดำเนินงานในโครงการบริหารจัดการโรคเรื้อรัง ค่าใช้จ่ายสูง เฉพาะโรค สำเร็จลุล่วงไป จะทำให้ประชาชนไทยสามารถเข้าถึงบริการได้ถ้วนหน้า อย่างมีคุณภาพ ด้วยความมั่นใจ และผู้ให้ บริการมีความสุข เป็นโบนัสชีวิตแก่คนไทยในสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
- อ่าน 2,451 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้