Cortisone อาจจะฟังดูไม่คุ้นหูนักแต่มันมีความสำคัญมากในด้านประวัติศาสตร์การแพทย์.
ค.ศ. 1563 Bartolomeo Eustachi (?-1574) นักกายวิภาคศาสตร์ชาวอิตาเลียนบรรยายไว้ว่าที่บริเวณเหนือ (epi) ขอบบนของไต (nephros) มนุษย์มีสิ่งที่มีลักษณะเหมือนต่อม (gland) วางอยู่ ปัจจุบันคือ ต่อมหมวกไต (adrenal gland) นั่นเอง.
ค.ศ. 1854 Kolliker นักกายวิภาคศาสตร์ชาวเยอรมันพบว่าต่อมหมวกไตแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนคือ ส่วนขอบนอกที่เนื้อค่อนข้างแน่นเรียกว่า cortex และส่วนในที่นุ่มกว่าเรียกว่า medulla.
ค.ศ. 1855 Thomas Addison (1795-1860) แพทย์ชาวอังกฤษตีพิมพ์ผลงานชื่อ " On the Constitutional and Local Effects of Disease of Suprarenal Capsule " รายงานผู้ป่วย 11 รายที่ มีอาการอ่อนเพลีย, ปวดท้องและผิวคล้ำ ซึ่งต่อมาไม่นานก็เสียชีวิต เขาพิสูจน์ได้ว่าสาเหตุเกิดจากต่อมหมวกไตถูกทำลาย. ต่อมา Armand Trousseau (1901-1967) เป็นผู้ริเริ่มเรียกโรคนี้ว่า Addison' s disease เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ.
ค.ศ. 1893 George Oliver และ Edward A. Schafer ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สกัดสารจากต่อมหมวกไตและทดลองฉีดสารนี้ให้แก่สัตว์ทดลองที่ถูกตัดต่อมหมวกไตออกไป ปรากฏว่าสัตว์ทดลองยังคงเกิดอาการของ Addision' s disease พวกเขาสังเกตว่ามันมีฤทธิ์กระตุ้นความดันเลือดให้สูงขึ้นและให้ความเห็นว่าสารนี้มาจากส่วน medulla. ต่อมาค.ศ. 1901 Jokichi Takamine (1854-?)ชาวญี่ปุ่นสกัดสารดังกล่าวได้เขาตั้งชื่อว่า adrenalin ขณะที่ในประเทศสหรัฐอเมริกา John Jacob Abel (1857-1938) ก็แยกสารดังกล่าวได้เช่นกันแต่เขาตั้งชื่อว่า epinephrin (ปัจจุบันใช้ทั้ง 2 ชื่อแต่เติมท้ายด้วย e เป็น adrenaline และ epinephrine).
Biedl เสนอว่า cortex น่าจะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ คริสต์ทศวรรษที่ 1920s-1930s จึงมีการวิจัยมากมายเพื่อสกัดสารจาก cortex จนในที่สุดก็ได้สารที่เรียกว่า cortin เมื่อฉีดสารนี้ให้แก่สัตว์ทดลองที่เป็น Addision ' s disease พบว่าพวกมันมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น.
ค.ศ. 1926 Nikolai Mikhailovich Itsenko รายงานผู้ป่วยที่มีอาการหน้าบวมเป็นพระจันทร์, มีโหนกที่ท้ายทอย, ผิวหนังบางและแตกเป็นลายสีม่วงที่หน้าท้อง 6 ปีต่อมา Harvey William Cushing (1869-1939) ศัลยแพทย์ระบบประสาทชาวอเมริกันพบว่าสาเหตุเกิดจากเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง โรคนี้จึงมีชื่อว่า Cushing ' s disease.
ต่อมามีหลักฐานว่าอาการเหล่านี้ไม่ได้พบเฉพาะในผู้ป่วย Cushing ' s disease เท่านั้นแต่เกิดได้จากหลายสาเหตุ ค.ศ. 1943 Fuller Albright (1900-1969) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อจึง ตั้งชื่อกลุ่มอาการนี้ว่า Cushing 's syndrome.
Edward Calvin Kendall (1886-1972) นักเคมีชาวอเมริกันที่ Mayo Clinic ใน Rochester และ Tadeus Reichstein (1897-1996) นักเคมีเชื้อสายโปแลนด์ที่ Basel พบว่า cortin ไม่ใช่สารบริสุทธิ์แต่ประกอบด้วยสารหลายชนิดผสมกันอยู่ ต่างจึงพยายามแยกส่วนประกอบที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกันเหล่านี้ออกมาจนได้สารประกอบหลักที่มีชื่อว่า Compound E ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในกลุ่มสตีรอยด์เช่นเดียวกับฮอร์โมนเพศและกรดน้ำดี.
26 กรกฎาคม ค.ศ. 1948 Philip Sho-walter Hench (1896-1965) แพทย์ชาวอเมริกัน ที่ Mayo Clinic รับผู้ป่วยหญิงวัย 29 ปีคนหนึ่งไว้ในความดูแลชื่อว่า Gardner เธอป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) ซึ่งมีอาการปวดข้อต่างๆ อย่างมากแค่ขยับตัวก็ลำบากแล้ว.
Hench สังเกตว่าผู้ป่วย rheumatoid arthritis จะมีอาการดีขึ้นในช่วงที่ตั้งครรภ์หรือตอนที่เป็นดีซ่าน (jaundice) เขาจึงคิดหาความสัมพันธ์ของ 2 ภาวะนี้และได้คำตอบว่า ตอนตั้งครรภ์ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนเพศเพิ่มขึ้น ส่วนดีซ่านเป็นภาวะที่มีการคั่งของน้ำดีจุดร่วมของสภาวะทั้ง 2 คือสารสตีรอยด์นั่นเอง!!!.
เป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้วที่ Gardner เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแต่อาการของเธอไม่ดีขึ้นเลย Hench จึงไปปรึกษากับ Kendall เพื่อนสนิทและได้รับ Compound E มา เขาฉีดมันให้แก่เธอวันละ 100 มก. มหัศจรรย์มากเพียงแค่ 2 วันเท่านั้นอาการปวด ก็หายไป และวันที่ 3 เธอก็สามารถลุกเดินได้ปกติ เขาจึงทดลองใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้อีก 13 รายพบว่าได้ผลดีเช่นกัน. Compound E ต่อมาได้รับการ ตั้งชื่อว่า cortisone.
นอกจากนี้ยังพบว่ามีโรคอีกมากมายที่ตอบสนองต่อ cortisone เช่น โรคหอบหืดและโรค SLE (Systemic lupus erythematosus) เป็นต้น. Hench, Kendall และ Reichstein จึงได้รับรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1950.
มีการพัฒนาต่อมาจนได้ยาในกลุ่มสตีรอยด์อีกหลายขนาน เช่น hydrocortisone, dexamethasone และ prednisolone เป็นต้น. ปัจจุบันศึกษาแล้วว่ามันมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย.
เป็นธรรมดาที่ทุกอย่างมักจะมีข้อดีและข้อเสียสตีรอยด์มีประโยชน์มากในทางการแพทย์ แต่หลังใช้ติดต่อกันเวลานานปรากฏว่าผู้ป่วยเกิดภาวะ Cushin ' s syndrome ตามมา บางรายเป็นแผลในกระเพาะอาหารจนทะลุก็มี บางรายกดภูมิคุ้มกันจนเกิดการ ติดเชื้อและเสียชีวิตได้.
ยากลุ่มนี้จึงเป็นยาอันตรายควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ผู้ป่วยไม่ควรซื้อใช้เอง สำหรับยาชุดหรือยาลูกกลอนที่ใช้แก้ปวดกันนั้นมักจะมีส่วนผสมของสตีรอยด์อยู่ด้วยจึงไม่ควรกินเช่นกัน.
ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์ พ.บ. ,โรงพยาบาลท่าแซะ, จังหวัดชุมพร
E-mail : [email protected]
- อ่าน 9,525 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้