Cholesterol ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1769 โดย Poulletier de la Salle เขาได้บรรยายเกี่ยวกับสารที่มีลักษณะแข็งสีขาวเป็นองค์ประกอบของนิ่วในถุงน้ำดีแต่ตอนนั้นยังไม่มีชื่อเรียก จน ค.ศ. 1816 Michel Eugene Chevreul (1786-1889)นักเคมีชาวฝรั่งเศสค้นพบสารนี้เช่นกัน เขาเชื่อว่าน่าจะเป็นสารประเภทไขมันและตั้งชื่อว่า Cholesterine มาจากภาษากรีก " Chole " ที่แปลว่า " น้ำดี " กับ " Stereos " ที่แปลว่า " แข็ง " ชื่อนี้ถูกใช้อยู่หลาย 10 ปี จน ค.ศ. 1900 พบว่าสารนี้มี Hydroxyl group เป็นส่วนประกอบจึงเปลี่ยนชื่อเป็น cholesterol และใช้มาจนถึงทุกวันนี้.
ค.ศ. 1927 และค.ศ. 1928 Henrich Otto Wieland (1877-1957) และ Adolf Otto Reinhold Windaus (1876-1959) 2 นักเคมีชาวเยอรมันได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีจากการศึกษาโครงสร้างของ cholesterol.
ทศวรรษที่ 1930 Shoenheimer เสนอว่าน่าจะมีกลไกบางชนิดที่ควบคุมสมดุลระหว่าง cholesterol ในร่างกายกับไขมันที่ได้รับจากอาหาร.
ค.ศ. 1938 Carl Muller แพทย์ชาวนอร์เวย์รายงานผู้ป่วยเด็กที่มี cholesterol ในเลือดสูงมากโดยการถ่ายทอดทางพันธุกรรมเรียกว่าโรค Familial Hypercholesterolemia (FH) แต่ไม่ทราบสาเหตุ.
ค.ศ. 1956 Feodor Lynen (1911-1979) นักเคมีชาวเยอรมันประสบความสำเร็จในการแยกสาร acetic acid ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของไขมันทั้งหมดในร่างกายและ Konrad Bloch (1912-2000) ก็ค้นพบวิถีทาง (pathway) อันซับซ้อนที่เปลี่ยน acetic acid ที่มีคาร์บอน 2 อะตอมจนเป็น cholesterol ที่มีคาร์บอนถึง 27 อะตอม. นอกจากนี้ Bloch ยังพบว่า cholesterol เป็นสารตั้งต้นของกรดน้ำดีและฮอร์โมนเพศหญิงด้วย (ทั้ง 2 ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1964).
Cholesterol เป็นสารที่ละลายในไขมัน ดังนั้น เมื่อถูกดูดซึมจากทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือด มันจึงต้องอยู่ในรูปของ lipoprotein ที่ละลายในน้ำ. Oncley, Gofman และ Fredrickson แบ่ง lipoprotein ออกเป็น 4 ชนิดตามความหนาแน่นคือ high,intermediate, low และ very low density lipo-protein (HDL, IDL, LDL และ VLDL ตามลำดับ) โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของ LDL ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีใครทราบเมตาบอลิซึมของ cholesterol.
จนกระทั่งค.ศ. 1972 Michael S. Brown(เกิด ค.ศ. 1941) และ Joseph L. Goldstein (เกิด ค.ศ. 1940) แพทย์ชาวอเมริกันศึกษาเปรียบเทียบระหว่างเซลล์ของคนปกติกับคนที่เป็น FH ทำให้ ค้นพบว่าเซลล์ปกติจะมี LDL receptor ที่เยื่อหุ้มเซลล์และมีเอนไซม์ Hydroxymethylglutaryl-coenzyme A (HMG-CoA) reductase ที่อยู่ภายในเซลล์เป็นกลไกสำคัญในการนำ LDL จากกระแสเลือดไปใช้เรียกว่า
" LDL pathway " (ทั้ง 2 ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปี ค.ศ. 1985).
ค.ศ. 1973 Akira Endo และ Masao Kurada สกัดสารจากเชื้อรา Pennicillium citrinum ได้สารที่เรียกว่า ML-236B (ภายหลังมีชื่อว่า Mevastatin) ทั้ง 2 พบว่ามันมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ HMG-CoA reductase เมื่อทดลองให้สารนี้กับหนูทดลองปรากฏ ว่าสามารถลดระดับ cholesterol ในเลือดได้ นับเป็นการบุกเบิกยากลุ่ม statin ซึ่งเป็นยาลดไขมันที่ใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน.
นอกจากนี้ Brown และ Goldstein ยังเสนอว่าชาวตะวันตกบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงทำให้อ้วนและเพิ่มอุบัติการณ์ของโรคหลอดเลือดหัวใจ ก่อให้เกิดกระแสนิยมบริโภคอาหารตะวันออกที่มีไขมันต่ำและคาร์โบไฮเดรตสูงตามมา. โดย 3 อันดับแรกคือ อาหารจีน, ไทย และญี่ปุ่น น่าภูมิใจนะครับที่อาหารไทยก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่วัยรุ่นสมัยนี้กลับสวนทางไปนิยมบริโภคอาหารตะวันตกเพิ่มมากขึ้น.
คนส่วนใหญ่เชื่อตามนั้น แต่มีแพทย์คนหนึ่งที่ไม่คิดเช่นนั้น ค.ศ. 1972 ปีเดียวกับที่ LDL pathway ถูกค้นพบ Robert Coleman Atkins (1930-2003) หทัยแพทย์ชาวอเมริกันก็ตีพิมพ์หนังสือชื่อ " Atkins" Diet Revolution. " ซึ่งจำหน่ายได้มากกว่า 15 ล้านฉบับและติดอันดับหนังสือขายดี. Atkins เสนอว่าคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารแรกที่ร่างกายจะนำไปใช้ ถ้าเหลือก็จะเปลี่ยนเป็นไขมัน แต่ถ้าได้รับคาร์โบไฮเดรตไม่เพียงพอร่างกายจะหันไปเผาผลาญไขมันออกมาใช้แทน. ดังนั้นการลดน้ำหนักควรกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ (ไม่ใช่กินอาหารที่มีไขมันต่ำ) ส่วนโปรตีนและไขมันนั้นให้กินสูงกว่าปกติเพื่อคงแคลอรีต่อวันไว้ (ที่จริงแล้วการกินอาหารแบบนี้ Alfred W. Pennington บุกเบิกไว้ตั้งแต่สมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 โดย Atkins เป็นผู้นำมาสานต่อ).
แนวคิดนี้ถูกคัดค้านอย่างมากจากแพทย์ทั่วไปเพราะเกรงว่าอาจจะเกิดผลเสียในระยะยาว จึงมีการศึกษา Atkins ' diet มากมายแต่มักจะเป็นเพียงการศึกษาขนาดเล็กในระยะสั้นๆ. ค.ศ. 2003 ทีมแพทย์จาก Standford และ Yale จึงทำการวิเคราะห์งานวิจัยทั้งหมด 3,268 การศึกษาและตีพิมพ์ในวารสาร JAMA ฉบับเดือนเมษายน จากการวิเคราะห์พบว่าแคลอรีของ Atkins' diet นั้นค่อนข้างต่ำ ด้วยเหตุนี้น้ำหนักตัวที่ลดลงน่าจะเป็นผลจากการกินอาหารแคลอรีต่ำมากกว่าจะเกิดจากการกินอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำแต่โดยรวมก็ไม่พบผลเสียที่ร้ายแรงของการกินอาหารแบบนี้.
ปัจจุบันมีชาวอเมริกันที่กิน Atkins' diet กว่า 30 ล้านคน ทำให้สถาบันอนามัยแห่งชาติสหรัฐ (NIH) เริ่มทำการศึกษาขนาดใหญ่เพื่อวิจัยผลระยะยาวโดยจะใช้เวลาในการศึกษา 5 ปี. คงต้องรอคอยกันนะครับว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ตามความเห็นของผมแนะนำว่าเราควรเดินสายกลางกล่าวคือ กินอาหารให้ครบทุกหมู่ในปริมาณที่พอเหมาะ, หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ, งดบุหรี่และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ แล้วครับ.
ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์ พ.บ. โรงพยาบาลท่าแซะ, จังหวัดชุมพร
E-mail : [email protected]
- อ่าน 2,911 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้