Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » การกวาดล้างโรค
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

การกวาดล้างโรค

โพสโดย somsak เมื่อ 1 ตุลาคม 2549 00:00

ความคิดที่จะกำจัดโรคหนึ่งๆ ให้หมดไปจากโลกมีมาเกือบร้อยปีแล้ว ตั้งแต่ ค.ศ. 1909 มูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ริเริ่มโครงการกวาดล้างโรคพยาธิปากขอ และค.ศ. 918 ก็เริ่มดำเนินการกวาดล้างโรคไข้เหลือง
 แต่หลังจากที่พยายามอยู่หลายปีโครงการดังกล่าวก็ไม่ประสบความสำเร็จ.


ในเวลาต่อมามีรายงานว่ายุงก้นปล่องที่เป็นพาหะของเชื้อมาลาเรียมีแนวโน้มดื้อต่อยาดีดีทีมากขึ้น. องค์การอนามัยโลกจึงชักชวนให้สมาชิกทำการกวาดล้าง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน อีกโรคที่มีการกวาดล้างแต่ก็ไม่สำเร็จคือโรคคุดทะราด.


ความล้มเหลวที่ผ่านมาทำให้ ดร.บรอค คริสโฮล์ม (ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกในขณะนั้น) เสนอโครงการกวาดล้างไข้ทรพิษเมื่อ ค.ศ. 1953 แต่ที่ประชุมสมัชชาใหญ่มีมติไม่เห็น ด้วยเพราะคิดว่าเป็นไปไม่ได้.


ต่อมา ค.ศ. 1958 ศ.ดร.วิคเตอร์ เอ็ม. ซดานอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขสหภาพโซเวียตรัสเซียผลักดันโครงการนี้ใหม่จนเป็นผลสำเร็จและเริ่มดำเนินการในปีถัดมา.แต่งานดำเนินไปได้ ช้าเนื่องจากได้รับงบประมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดของโครงการ.


ค.ศ. 1961 ไข้ทรพิษเริ่มคลืบคลานเข้าสู่ยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ประเทศสหรัฐอเมริกานำโดยนายแพทย์ Donald Ainslie Henderson (เกิด ค.ศ. 1928) กระโดดเข้าร่วมโครงการนี้ในปี ค.ศ. 1965 โดยขอรับผิดชอบในส่วนของแอฟริกาจำนวน 18 ประเทศซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยากในการดำเนินการ. ประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาพร้อมกับเงินสนับสนุนและผู้เชี่ยวชาญทำให้โครงการรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว.


โครงการกวาดล้างไข้ทรพิษช่วงแรก (ค.ศ.  1959-ค.ศ. 1965) ใช้กลวิธีหลักอย่างเดียวคือปลูกฝีให้ครอบคลุมพื้นที่ให้ได้มากที่สุด แต่ผลที่ได้ไม่ค่อยน่าพอใจ. เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามา Alexander Duncan Langmuir ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ควบคุม โรคของประเทศสหรัฐอเมริกา เสนอให้ใช้ระบบเฝ้าระวังและปิดล้อมโรค (surveillance &containment) คือการเฝ้าระวังถ้ามีโรคเกิดขึ้นที่ใดก็เข้าไปรณรงค์ปลูกฝีให้กับประชาชนในพื้นที่นั้นเพื่อปิดล้อมโรค พบว่ากลวิธีดังกล่าวได้ผลเป็นอย่างดี.


มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อไข้ทรพิษ (ตามธรรมชาติ) รายสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1978 คือ Ali Maow Moalin พ่อครัวในเมืองเมอร์กา ประเทศโซมาเลียและเขาได้รับการรักษาจนหาย. หลังจากที่องค์การอนามัยโลกรอดูระยะหนึ่ง ในที่สุด ค.ศ. 1980 ก็ประกาศว่ากวาดล้างไข้ทรพิษได้สำเร็จแล้ว.
มาดูประเทศไทยของเรากันบ้าง ทราบแล้วว่าคนในสมัยโบราณสร้างภูมิคุ้มกันต่อไข้ทรพิษด้วยวิธี Inoculation (ในที่นี้ขอใช้คำว่าการปลูกทรพิษ) ซึ่งป็นวิธีที่อันตราย. ต่อมา ค.ศ.1796 Jenner จึงค้นพบวิธีการใหม่ที่ปลอดภัยกว่าเรียกว่า Vaccination หรือการปลูกฝี.


ค.ศ. 1836 นายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ (แพทย์มิชชันนารีจากประเทศสหรัฐอเมริกาผู้สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทยมากมาย) ได้ขอความเห็นชอบจากเจ้าพระยาพระคลังในการที่จะทดลองปลูกฝีให้กับเด็กไทย ปรากฏว่าได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีการทดลองจึงเริ่มขึ้น. แต่ทำอย่างไรการปลูกฝีก็ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อมีการระบาดของโรคนี้ในปี ค.ศ. 1838 เขาจึงจำใจปลูกทรพิษให้แก่บุตรของพวกมิชชันนารี โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอันตราย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีรับสั่งให้หมอหลวงไปศึกษาวิธีปลูกทรพิษจากนายแพทย์บรัดเลย์ เพื่อจะได้ปลูกให้แก่ราษฎร.

 

การปลูกฝีมาประสบความสำเร็จเอาในปี ค.ศ. 1940 โดยใช้หนองฝีโคที่ส่งมาจากเมืองบอสตัน แต่หนองฝีโคกว่าจะเดินทางมาถึงก็เริ่มเสื่อมคุณภาพทำให้การปลูกฝีไม่ค่อยได้ผลเป็นเหตุให้ราษฎรนิยมการปลูกทรพิษมากกว่า.


ต่อมา ค.ศ. 1942 เกิดการระบาดขึ้นอีกแต่หนองฝีโคหมดพอดี เขาจึงพยายามที่จะทำขึ้นมาเองโดยการฉีดหนองจากผู้ป่วยเข้าไปในโค. เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบจึงพระราชทานโคให้ตามจำนวนที่ต้องการ แต่ไม่ทันเริ่มทดลองบุตรีวัย 7 เดือนของเขาก็ป่วยเป็นไข้ทรพิษ เขาจึงต้องปลูกทรพิษให้แก่ลูกๆ ของมิชชันนารี. บุตรีของเขาเสียชีวิตหลังป่วยได้ 19 วัน ส่วนเด็กคนอื่นๆ เกือบทั้งหมดปลอดภัย ยกเว้นหนึ่งคนที่ป่วยเป็นไฟลามทุ่งและเสียชีวิต.
 

มีหลักฐานว่าต่อมารัฐบาลได้สั่งหนองฝีจากไซ่ง่อนมาใช้ จนกระทั่ง ค.ศ. 1904 นายแพทย์แมคเคนได้ตั้งสถานผลิตหนองฝีขึ้นที่เชียงใหม่และส่งให้รัฐบาลใช้แต่ความนิยมในการปลูกทรพิษยังมีอยู่ตลอด ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการปลูกฝีเป็นอย่างมาก จนรัฐบาลต้องออกพระราชบัญญัติจัดการป้องกันไข้ทรพิษในปี ค.ศ. 1913 โดยห้ามทำการปลูกทรพิษเป็นอันขาดและมีการขยายการปลูกฝีให้ทั่วถึงทุกจังหวัด.


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นายแพทย์แฮน อะดัมสัน (แพทย์ใหญ่ผู้ตรวจการกรมพยาบาล) และนายแพทย์อัทย์ หะสิตะเวช (หลวงวิฆเนศประสิทธิ์วิทย์) ไปศึกษาเทคนิคการทำหนองฝีเปียกที่ประเทศฟิลิปปินส์ แต่วัคซีนดังกล่าวกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ไม่ดีและเสื่อมคุณภาพง่าย. ต่อมาจึงไปศึกษาการทำหนองฝีแห้งที่สถาบันลิสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เป็นผลให้ประเทศไทยสามารถผลิตหนองฝีแห้งได้เองเป็นประเทศแรกในเอเชีย และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยกวาดล้างไข้ทรพิษได้ในปี
ค.ศ. 1962 ก่อนองค์การอนามัยโลกจะประกาศถึง 18 ปี.


ความสำเร็จในการปลูกฝีของนายแพทย์บรัดเลย์เมื่อ ค.ศ.1940 อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการริเริ่มงานสาธารณสุขด้านการป้องกันโรคของประเทศไทยเลยทีเดียว


แม้ไข้ทรพิษจะหายไปจากโลกของเราแล้ว แต่ยังมีเชื้อโรคนี้เก็บไว้ที่สถาบันต่างๆอยู่.เกิดเรื่องน่าเศร้าที่โรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งในอังกฤษ เมื่อ Janet Parker ช่างภาพทางการแพทย์ที่ทำงานอยู่ห้องข้างบนเหนือห้องปฏิบัติการที่เก็บเชื้อมรณะนี้เกิดป่วยด้วย  ไข้ทรพิษ เธอเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเมื่อวันที่24 สิงหาคม ค.ศ. 1978 และเสียชีวิตในเดือนต่อมา.


ก่อนเข้าโรงพยาบาลมีผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับเธอหลายคน มีเพียงมารดาของเธอที่ป่วยเป็นโรคนี้แต่โชคดีที่รักษาหาย ส่วนบิดาของเธอเสียชีวิตจากหัวใจวายตอนที่มาเยี่ยมเธอในโรงพยาบาล. ศาสตราจารย์ Henry Bedson หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยาเสียใจกับเรื่องนี้มากจนทำอัตวินิบาตกรรม.

อุบัติเหตุดังกล่าวทำให้เกิดการเรียกร้องให้ทำลายเชื้อไวรัสนี้ที่เก็บไว้ตามสถาบันต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งได้รับการตอบสนองยกเว้น 3 สถาบันใหญ่ๆ ของโลกยังคงเก็บรักษามันไว้ด้วยเหตุผลเพื่อใช้ในการวิจัยทางไวรัสวิทยา.


น่าน้อยใจแทนสัตว์ป่านะครับ บางชนิดใกล้จะสูญพันธุ์แล้วแต่กลับไม่ได้รับการใส่ใจ ตรงข้ามกับเชื้อฝีดาษที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ กลับได้รับการคุ้มกันอย่างดี ในห้องปฏิบัติการที่มีชื่อเสียงของโลก ถ้าผู้ก่อการร้ายขโมยเอาไปทำอาวุธเชื้อโรคได้ มันคงออกมาวาดลวดลายครั้งใหญ่แน่นอน.

 

 

ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์ พ.บ. ,โรงพยาบาลบ้านแหลม, จังหวัดเพชรบุรี
E-mail : [email protected]<

 

ป้ายคำ:
  • อื่น ๆ
  • เล่าสู่กันฟัง (ประวัติศาสตร์ทางการแพทย์)
  • นพ.ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์
  • อ่าน 2,443 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

262-008
วารสารคลินิก 262
ตุลาคม 2549
เล่าสู่กันฟัง (ประวัติศาสตร์ทางการแพทย์)
นพ.ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <