ความคิดที่จะกำจัดโรคหนึ่งๆ ให้หมดไปจากโลกมีมาเกือบร้อยปีแล้ว ตั้งแต่ ค.ศ. 1909 มูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ริเริ่มโครงการกวาดล้างโรคพยาธิปากขอ และค.ศ. 918 ก็เริ่มดำเนินการกวาดล้างโรคไข้เหลือง
แต่หลังจากที่พยายามอยู่หลายปีโครงการดังกล่าวก็ไม่ประสบความสำเร็จ.
ในเวลาต่อมามีรายงานว่ายุงก้นปล่องที่เป็นพาหะของเชื้อมาลาเรียมีแนวโน้มดื้อต่อยาดีดีทีมากขึ้น. องค์การอนามัยโลกจึงชักชวนให้สมาชิกทำการกวาดล้าง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน อีกโรคที่มีการกวาดล้างแต่ก็ไม่สำเร็จคือโรคคุดทะราด.
ความล้มเหลวที่ผ่านมาทำให้ ดร.บรอค คริสโฮล์ม (ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกในขณะนั้น) เสนอโครงการกวาดล้างไข้ทรพิษเมื่อ ค.ศ. 1953 แต่ที่ประชุมสมัชชาใหญ่มีมติไม่เห็น ด้วยเพราะคิดว่าเป็นไปไม่ได้.
ต่อมา ค.ศ. 1958 ศ.ดร.วิคเตอร์ เอ็ม. ซดานอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขสหภาพโซเวียตรัสเซียผลักดันโครงการนี้ใหม่จนเป็นผลสำเร็จและเริ่มดำเนินการในปีถัดมา.แต่งานดำเนินไปได้ ช้าเนื่องจากได้รับงบประมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดของโครงการ.
ค.ศ. 1961 ไข้ทรพิษเริ่มคลืบคลานเข้าสู่ยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ประเทศสหรัฐอเมริกานำโดยนายแพทย์ Donald Ainslie Henderson (เกิด ค.ศ. 1928) กระโดดเข้าร่วมโครงการนี้ในปี ค.ศ. 1965 โดยขอรับผิดชอบในส่วนของแอฟริกาจำนวน 18 ประเทศซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยากในการดำเนินการ. ประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาพร้อมกับเงินสนับสนุนและผู้เชี่ยวชาญทำให้โครงการรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว.
โครงการกวาดล้างไข้ทรพิษช่วงแรก (ค.ศ. 1959-ค.ศ. 1965) ใช้กลวิธีหลักอย่างเดียวคือปลูกฝีให้ครอบคลุมพื้นที่ให้ได้มากที่สุด แต่ผลที่ได้ไม่ค่อยน่าพอใจ. เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามา Alexander Duncan Langmuir ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ควบคุม โรคของประเทศสหรัฐอเมริกา เสนอให้ใช้ระบบเฝ้าระวังและปิดล้อมโรค (surveillance &containment) คือการเฝ้าระวังถ้ามีโรคเกิดขึ้นที่ใดก็เข้าไปรณรงค์ปลูกฝีให้กับประชาชนในพื้นที่นั้นเพื่อปิดล้อมโรค พบว่ากลวิธีดังกล่าวได้ผลเป็นอย่างดี.
มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อไข้ทรพิษ (ตามธรรมชาติ) รายสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1978 คือ Ali Maow Moalin พ่อครัวในเมืองเมอร์กา ประเทศโซมาเลียและเขาได้รับการรักษาจนหาย. หลังจากที่องค์การอนามัยโลกรอดูระยะหนึ่ง ในที่สุด ค.ศ. 1980 ก็ประกาศว่ากวาดล้างไข้ทรพิษได้สำเร็จแล้ว.
มาดูประเทศไทยของเรากันบ้าง ทราบแล้วว่าคนในสมัยโบราณสร้างภูมิคุ้มกันต่อไข้ทรพิษด้วยวิธี Inoculation (ในที่นี้ขอใช้คำว่าการปลูกทรพิษ) ซึ่งป็นวิธีที่อันตราย. ต่อมา ค.ศ.1796 Jenner จึงค้นพบวิธีการใหม่ที่ปลอดภัยกว่าเรียกว่า Vaccination หรือการปลูกฝี.
ค.ศ. 1836 นายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ (แพทย์มิชชันนารีจากประเทศสหรัฐอเมริกาผู้สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทยมากมาย) ได้ขอความเห็นชอบจากเจ้าพระยาพระคลังในการที่จะทดลองปลูกฝีให้กับเด็กไทย ปรากฏว่าได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีการทดลองจึงเริ่มขึ้น. แต่ทำอย่างไรการปลูกฝีก็ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อมีการระบาดของโรคนี้ในปี ค.ศ. 1838 เขาจึงจำใจปลูกทรพิษให้แก่บุตรของพวกมิชชันนารี โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอันตราย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีรับสั่งให้หมอหลวงไปศึกษาวิธีปลูกทรพิษจากนายแพทย์บรัดเลย์ เพื่อจะได้ปลูกให้แก่ราษฎร.
การปลูกฝีมาประสบความสำเร็จเอาในปี ค.ศ. 1940 โดยใช้หนองฝีโคที่ส่งมาจากเมืองบอสตัน แต่หนองฝีโคกว่าจะเดินทางมาถึงก็เริ่มเสื่อมคุณภาพทำให้การปลูกฝีไม่ค่อยได้ผลเป็นเหตุให้ราษฎรนิยมการปลูกทรพิษมากกว่า.
ต่อมา ค.ศ. 1942 เกิดการระบาดขึ้นอีกแต่หนองฝีโคหมดพอดี เขาจึงพยายามที่จะทำขึ้นมาเองโดยการฉีดหนองจากผู้ป่วยเข้าไปในโค. เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบจึงพระราชทานโคให้ตามจำนวนที่ต้องการ แต่ไม่ทันเริ่มทดลองบุตรีวัย 7 เดือนของเขาก็ป่วยเป็นไข้ทรพิษ เขาจึงต้องปลูกทรพิษให้แก่ลูกๆ ของมิชชันนารี. บุตรีของเขาเสียชีวิตหลังป่วยได้ 19 วัน ส่วนเด็กคนอื่นๆ เกือบทั้งหมดปลอดภัย ยกเว้นหนึ่งคนที่ป่วยเป็นไฟลามทุ่งและเสียชีวิต.
มีหลักฐานว่าต่อมารัฐบาลได้สั่งหนองฝีจากไซ่ง่อนมาใช้ จนกระทั่ง ค.ศ. 1904 นายแพทย์แมคเคนได้ตั้งสถานผลิตหนองฝีขึ้นที่เชียงใหม่และส่งให้รัฐบาลใช้แต่ความนิยมในการปลูกทรพิษยังมีอยู่ตลอด ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการปลูกฝีเป็นอย่างมาก จนรัฐบาลต้องออกพระราชบัญญัติจัดการป้องกันไข้ทรพิษในปี ค.ศ. 1913 โดยห้ามทำการปลูกทรพิษเป็นอันขาดและมีการขยายการปลูกฝีให้ทั่วถึงทุกจังหวัด.
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นายแพทย์แฮน อะดัมสัน (แพทย์ใหญ่ผู้ตรวจการกรมพยาบาล) และนายแพทย์อัทย์ หะสิตะเวช (หลวงวิฆเนศประสิทธิ์วิทย์) ไปศึกษาเทคนิคการทำหนองฝีเปียกที่ประเทศฟิลิปปินส์ แต่วัคซีนดังกล่าวกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ไม่ดีและเสื่อมคุณภาพง่าย. ต่อมาจึงไปศึกษาการทำหนองฝีแห้งที่สถาบันลิสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เป็นผลให้ประเทศไทยสามารถผลิตหนองฝีแห้งได้เองเป็นประเทศแรกในเอเชีย และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยกวาดล้างไข้ทรพิษได้ในปี
ค.ศ. 1962 ก่อนองค์การอนามัยโลกจะประกาศถึง 18 ปี.
ความสำเร็จในการปลูกฝีของนายแพทย์บรัดเลย์เมื่อ ค.ศ.1940 อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการริเริ่มงานสาธารณสุขด้านการป้องกันโรคของประเทศไทยเลยทีเดียว
แม้ไข้ทรพิษจะหายไปจากโลกของเราแล้ว แต่ยังมีเชื้อโรคนี้เก็บไว้ที่สถาบันต่างๆอยู่.เกิดเรื่องน่าเศร้าที่โรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งในอังกฤษ เมื่อ Janet Parker ช่างภาพทางการแพทย์ที่ทำงานอยู่ห้องข้างบนเหนือห้องปฏิบัติการที่เก็บเชื้อมรณะนี้เกิดป่วยด้วย ไข้ทรพิษ เธอเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเมื่อวันที่24 สิงหาคม ค.ศ. 1978 และเสียชีวิตในเดือนต่อมา.
ก่อนเข้าโรงพยาบาลมีผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับเธอหลายคน มีเพียงมารดาของเธอที่ป่วยเป็นโรคนี้แต่โชคดีที่รักษาหาย ส่วนบิดาของเธอเสียชีวิตจากหัวใจวายตอนที่มาเยี่ยมเธอในโรงพยาบาล. ศาสตราจารย์ Henry Bedson หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยาเสียใจกับเรื่องนี้มากจนทำอัตวินิบาตกรรม.
อุบัติเหตุดังกล่าวทำให้เกิดการเรียกร้องให้ทำลายเชื้อไวรัสนี้ที่เก็บไว้ตามสถาบันต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งได้รับการตอบสนองยกเว้น 3 สถาบันใหญ่ๆ ของโลกยังคงเก็บรักษามันไว้ด้วยเหตุผลเพื่อใช้ในการวิจัยทางไวรัสวิทยา.
น่าน้อยใจแทนสัตว์ป่านะครับ บางชนิดใกล้จะสูญพันธุ์แล้วแต่กลับไม่ได้รับการใส่ใจ ตรงข้ามกับเชื้อฝีดาษที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ กลับได้รับการคุ้มกันอย่างดี ในห้องปฏิบัติการที่มีชื่อเสียงของโลก ถ้าผู้ก่อการร้ายขโมยเอาไปทำอาวุธเชื้อโรคได้ มันคงออกมาวาดลวดลายครั้งใหญ่แน่นอน.
ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์ พ.บ. ,โรงพยาบาลบ้านแหลม, จังหวัดเพชรบุรี
E-mail : [email protected]
- อ่าน 2,218 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้