เดิมทีมนุษย์รู้จักสารอาหารเพียง 4 อย่างนั่นคือ โปรตีน, ไขมัน, คาร์โบไฮเดรต และเกลือแร่ แต่ปัจจุบันทราบแล้วว่ามีสารอาหารทั้งหมด 5 หมู่ ประวัติการค้นพบวิตามินมีความสำคัญไม่น้อย ผมจึงไม่อาจข้ามเรื่องนี้ไป.
สมัยโบราณชาวอียิปต์รักษาผู้ป่วยโรคตาบอดกลางคืนด้วยการให้กินตับ. 1,300 ปีก่อนชาวจีนได้บันทึกถึงโรคเหน็บชา (Beriberi) ไว้เป็นครั้งแรกโดยผู้ป่วยจะมีอาการชาและอ่อนแรง. ค.ศ. 1535 Jacques Cartier (1491-1557) นักสำรวจชาวฝรั่งเศสรายงานไว้ว่า เมื่อเขาและคณะเดินเรือเป็นเวลาหลายเดือน โดยลูกเรือได้รับอาหารอย่างจำกัดซึ่งมักจะเป็นอาหารแห้ง ต่อมาคนเหล่านี้จะเกิดอาการของโรค ลักปิดลักเปิด (Scurvey) คืออ่อนเพลียและมีเลือดออกตามไรฟัน แต่อาการต่างๆ เหล่านี้จะหายไปเมื่อขึ้นฝั่งแล้วพวกเขาได้รับอาหารจำพวกผักและผลไม้.
ค.ศ. 1747 James Lind (1716-1794) ศัลยแพทย์แห่งราชนาวีประเทศอังกฤษทำการทดลองโดยแบ่งลูกเรือออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้กินอาหารตามปกติเป็นกลุ่มควบคุม ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งให้กินส้มเขียวหวานและมะนาวด้วยทุกวัน ผลปรากฏว่าผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวป้องกันโรคลักปิดลักเปิดได้จริง นับเป็นการทดลองโดยมีกลุ่มควบคุม (control group) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การแพทย์ เขาตีพิมพ์เรื่องนี้ในหนังสือชื่อ " Treatise on the Scurvey " เมื่อปี ค.ศ. 1753 แต่ตอนนั้นไม่มีใครอธิบายเรื่องนี้ได้.
ทศวรรษที่ 1890 เป็นยุคที่ทฤษฎีเชื้อโรคกำลังโด่งดัง (เดี๋ยวจะเล่าถึงทฤษฎีนี้ในโอกาสต่อไป) Christian Eijkman (1858-1930) แพทย์ทหารชาวดัทช์จึงพยายามเพาะเชื้อที่ทำให้เกิดโรคเหน็บชา โดยนำเลือดจากผู้ป่วยไปฉีดไก่ ปรากฏว่ามีไก่บางส่วนเท่านั้นที่เกิดอาการขาอ่อนแรง. เมื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเขาพบว่าไก่เหล่านี้กินข้าวขาวที่เหลือจากโรงพยาบาล ทหาร ส่วนไก่ที่ไม่เป็นโรคนั้นกินข้าวกล้อง เขาจึงทดลองให้ข้าวกล้องกับไก่ที่เป็นโรค ผลที่ได้น่าตกใจ ครับเพราะไก่เหล่านั้นหายจากอาการอ่อนแรง แสดงให้เห็นว่าโรคนี้เกี่ยวกับอาหารไม่ได้เกี่ยวกับการติดเชื้อ.
จากการทดลองของ Eijkman ทำให้ Adolphe Vorderman ศึกษาโรคนี้ในนักโทษ จากข้อมูลที่รวบรวมได้พบว่านักโทษที่กินข้าวขาวเป็นโรคเหน็บชาถึง 1 ใน 39 ส่วนคนที่กินข้าวกล้องพบผู้ป่วยเพียง 1 ใน 10,000 จะเห็นว่าแตกต่างกันมากถึง 250 เท่าโดยประมาณ จึงน่าเชื่อว่าข้าวกล้องมีสารที่ป้องกันโรคนี้ได้.
ค.ศ. 1906 Frederick Gowland Hopkins (1861-1947) แพทย์ชาวอังกฤษทำการทดลองในลูกหนู โดยให้กินอาหารที่ประกอบไปด้วยโปรตีน,ไขมัน, แป้ง และเกลือแร่ พบว่าสัตว์ทดลองหยุดการเจริญเติบโต แต่เมื่อเพิ่มนมเข้าไปในอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้นมันก็สามารถเติบโตต่อไปได้. เขาจึงสรุปว่ายังมีสารอาหารอีกประเภทหนึ่งที่สำคัญต่อชีวิตและร่างกายขาดไม่ได้ เขาเรียกสารนี้ว่า Accessory factor. ผลงานดังกล่าวทำให้ Eijkman และ Hopkins ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1929 (นอกจากนี้ Hopkins ยังได้รับการแต่งตั้งเป็น Sir ในปี ค.ศ. 1925 อีกด้วย).
ค.ศ. 1912 Kazimierz Funk หรือ Casimir Funk (1884-1967) นักชีวเคมีชาวโปแลนด์-อเมริกันพยายามสกัดสารอาหารที่ว่านี้ เขาพบว่าเป็นสาร ประกอบกลุ่ม amine จึงตั้งชื่อสารนี้ว่า Vitamine มาจากภาษาละติน " Vita " ที่แปลว่า " ชีวิต" บวกกับคำว่า amine (ต่อมาพบว่าสารอาหารประเภทนี้ไม่ได้มีเฉพาะ amine. ค.ศ. 1920 Jack Cecil Drummond จึงเสนอให้ตัด e ตัวท้ายออกกลายเป็น Vitamin และใช้มาจนถึงปัจจุบัน).
ค.ศ. 1913 Elmer V. McCollum (1879-1967) นักเคมีชาวอเมริกันและ Marguerite Davis สกัดวิตามินชนิดแรกได้สำเร็จเขาเรียกมันว่า Factor A ซึ่งพบมากในตับและเรียกสารที่อยู่ในข้าวกล้องว่า Factor B (ปัจจุบันคือ วิตามินเอและวิตามินบี 1 ตามลำดับ).
ทศวรรษที่ 1920 McCollum สังเกตว่าหนูที่กินแต่ธัญญาหารจะเกิดโรคที่เหมือนโรคกระดูกอ่อนในเด็กหรือ Rickets (Rickets มาจากภาษากรีก " Rhakhis " ที่แปลว่า " กระดูกสันหลัง ") เมื่อทดลองให้หนูเหล่านี้กินน้ำมันตับปลาพบว่าสามารถป้องกันโรคนี้ได้ และค.ศ. 1922 เขาก็สกัดสารนี้ได้ซึ่งก็คือวิตามินดีนั่นเอง อีก 1 ปีต่อมา W. Evans และ K. Bishop ก็ค้นพบวิตามินอี.
ค.ศ. 1920 George Hoyt Whipple (1878-1976) แพทย์ชาวอเมริกันศึกษาผลของอาหารกับการสร้างเม็ดเลือด โดยเขาดูดเลือดจากสุนัขทดลองเพื่อให้มีภาวะโลหิตจาง (anemia) จากนั้นเขาก็ให้อาหารชนิดต่างๆ แก่มัน เขาพบว่าตับทำให้สุนัขหายจากภาวะโลหิตจางได้ดีที่สุด. ต่อมาค.ศ. 1926 George Richards Minot (1885-1950) และ William Parry Murphy (1892-1987) แพทย์ชาวอเมริกันทดลองรักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจางชนิดรุนแรง (pernicious anemia) โดยการให้กินตับ ปรากฏว่าได้ผล!!! เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่โรคโลหิตจาง สามารถรักษาได้ด้วยการกินอาหาร (ทั้ง 3 จึงได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1934) ปัจจุบันทราบแล้วว่า pernicious anemia เกิดจากการขาดวิตามินบี 12.
ค.ศ. 1928 Albert von Szent Gyorgyi Nagyrapolt (1893-1986) นักเคมีชาวฮังการีค้นพบ วิตามินซี ซึ่งพบมากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ถ้าใครขาดวิตามินนี้จะเป็นโรคลักปิดลักเปิด. ต่อมาในปีค.ศ. 1933 Sir Walter Norman Haworth (1883-1950) นักเคมีชาวอังกฤษสังเคราะห์วิตามินซีได้สำเร็จ (Nagyrapolt ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1937 ส่วน Haworth ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปีเดียวกัน).
ค.ศ. 1932 R. R. William ค้นพบวิตามินบี 1 และอีก 1 ปีต่อมา Richard Kuhn (1900-1967)นักเคมีชาวเยอรมันและ P. Gregory ก็ค้นพบวิตามินบี 2 (Kuhn ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี ค.ศ. 1938).
ค.ศ. 1934 วิตามินเค ถูกค้นพบ สงสัยไหมครับว่าจากวิตามินเอ, บี, ซี, ดี, อี กระโดดไปเป็นวิตามินเคได้อย่างไร? เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง Henrik Carl Peter Dam (1895-1976) นักเคมีชาวเดนมาร์กสังเกตว่าไก่ที่ถูกจำกัดอาหารจะเกิดอาการเลือดออก ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นโรคลักปิดลักเปิดจึงเพิ่มอาหารที่มีวิตามินซีสูงเข้าไป แต่ว่าไก่ก็ยังมีเลือดออกอยู่ดี. ค.ศ. 1934 เขาทดลองให้ไก่กิน Hampseed ปรากฏว่าป้องกันเลือดออกได้. เขารายงานเรื่องนี้ในวารสารการแพทย์โดยใช้ภาษาเยอรมันว่า Koagulation Vitamin ทำให้สารนี้มีชื่อว่าวิตามินเค. ต่อมา ค.ศ. 1939 Edward Adelbert Doisy (1893-1986) นักเคมีชาวอเมริกันก็ค้นพบโครงสร้างและสามารถสังเคราะห์วิตามินเคได้สำเร็จ ผลงานดังกล่าวทำให้ทั้ง 2 ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1943.
ทศวรรษที่ 1950 George Wald (1906-1997) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันค้นพบว่าวิตามินเอ เป็นส่วนประกอบของจอประสาทตา (retina) โดยมี ส่วนสำคัญในกระบวนการรับแสงทำให้เรามองเห็นภาพได้ตามปกติ ถ้าขาดวิตามินเอไปจะทำให้เป็นโรคตาบอดกลางคืนช่วยได้ด้วยการกินตับซึ่งมีวิตามินเอสูง ทำให้ Wald ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1967.
Linus Carl Pauling (1901-1994) นักเคมีชาวอเมริกัน (รางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี ค.ศ. 1954) ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ วิตามินซีกับไข้หวัด ในปี ค.ศ. 1970 เขาอ้างว่าการกินวิตามินซีวันละ 1 กรัมช่วยลดอุบัติการณ์ของไข้หวัดได้และยังแนะนำว่าช่วงไม่สบายให้กินมากขึ้นเป็น 2 กรัมขึ้นไป เนื่องจากเป็นคนมีชื่อเสียงจึงทำให้มีคนเชื่อและหันมากินวิตามินซีกันมาก จนแพทย์ต้องทำวิจัยในเรื่องนี้.
ค.ศ. 1977 Sir Iain Geoffrey Chalmers แพทย์ชาวอังกฤษก่อตั้ง Cochrane Collaboration ขึ้นโดยเป็นองค์การนานาชาติที่มีสมาชิกกว่า 50 ประเทศ (รวมทั้งประเทศไทย) หน่วยงานนี้รวบรวม การศึกษาต่างๆ จากทั่วโลกมาสรุปเป็นมาตรฐานทางการแพทย์. ข้อสรุปที่ได้จะถูกเก็บไว้ในห้องสมุด Cochrane (ออกเสียงว่าคอคเครน) ซึ่งเป็นห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ที่มีงานวิจัยทางการแพทย์มากที่สุด (Chalmers ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาสาธารณสุข ในปี ค.ศ. 2000).
จากข้อมูลที่รวบรวมถึงปี ค.ศ. 2004 Cochrane สรุปว่าการกินวิตามินซีตั้งแต่ขนาดต่ำจนถึง 4 กรัมต่อวันไม่มีประโยชน์ในการป้องกันและรักษาไข้หวัดแต่อย่างใด.
ปัจจุบันมีการค้นพบวิตามินเพิ่มขึ้นอีกหลายชนิด แต่ทั้งหมดต่างก็มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ คนเราต้องการวิตามินต่อวันในปริมาณที่น้อยมาก ซึ่งการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามปกติก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อวิตามินมากินเพิ่มเติม. การกินวิตามินมากเกินความต้องการนอกจากไม่มีประโยชน์แล้วยังอาจก่อให้เกิดโทษ ต่อร่างกายอีกด้วย.
ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์ พ.บ. ,โรงพยาบาลท่าแซะ, จังหวัดชุมพร
E-mail : [email protected]
- อ่าน 4,418 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้