Skip to main content
ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
menu

Login Pop

  • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
search
  • เว็บหลักหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
หน้าแรก » บทความสุขภาพน่ารู้ » วิตามิน Vitamin
  • ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

วิตามิน Vitamin

โพสโดย somsak เมื่อ 1 มกราคม 2549 00:00

เดิมทีมนุษย์รู้จักสารอาหารเพียง 4 อย่างนั่นคือ โปรตีน, ไขมัน, คาร์โบไฮเดรต และเกลือแร่ แต่ปัจจุบันทราบแล้วว่ามีสารอาหารทั้งหมด 5 หมู่ ประวัติการค้นพบวิตามินมีความสำคัญไม่น้อย ผมจึงไม่อาจข้ามเรื่องนี้ไป.


สมัยโบราณชาวอียิปต์รักษาผู้ป่วยโรคตาบอดกลางคืนด้วยการให้กินตับ. 1,300 ปีก่อนชาวจีนได้บันทึกถึงโรคเหน็บชา (Beriberi) ไว้เป็นครั้งแรกโดยผู้ป่วยจะมีอาการชาและอ่อนแรง. ค.ศ. 1535 Jacques Cartier (1491-1557) นักสำรวจชาวฝรั่งเศสรายงานไว้ว่า เมื่อเขาและคณะเดินเรือเป็นเวลาหลายเดือน โดยลูกเรือได้รับอาหารอย่างจำกัดซึ่งมักจะเป็นอาหารแห้ง ต่อมาคนเหล่านี้จะเกิดอาการของโรค  ลักปิดลักเปิด (Scurvey) คืออ่อนเพลียและมีเลือดออกตามไรฟัน แต่อาการต่างๆ เหล่านี้จะหายไปเมื่อขึ้นฝั่งแล้วพวกเขาได้รับอาหารจำพวกผักและผลไม้.


ค.ศ. 1747 James Lind (1716-1794) ศัลยแพทย์แห่งราชนาวีประเทศอังกฤษทำการทดลองโดยแบ่งลูกเรือออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้กินอาหารตามปกติเป็นกลุ่มควบคุม ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งให้กินส้มเขียวหวานและมะนาวด้วยทุกวัน ผลปรากฏว่าผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวป้องกันโรคลักปิดลักเปิดได้จริง นับเป็นการทดลองโดยมีกลุ่มควบคุม (control group) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การแพทย์ เขาตีพิมพ์เรื่องนี้ในหนังสือชื่อ " Treatise on the Scurvey " เมื่อปี ค.ศ. 1753 แต่ตอนนั้นไม่มีใครอธิบายเรื่องนี้ได้.


ทศวรรษที่ 1890 เป็นยุคที่ทฤษฎีเชื้อโรคกำลังโด่งดัง (เดี๋ยวจะเล่าถึงทฤษฎีนี้ในโอกาสต่อไป) Christian Eijkman (1858-1930) แพทย์ทหารชาวดัทช์จึงพยายามเพาะเชื้อที่ทำให้เกิดโรคเหน็บชา โดยนำเลือดจากผู้ป่วยไปฉีดไก่ ปรากฏว่ามีไก่บางส่วนเท่านั้นที่เกิดอาการขาอ่อนแรง. เมื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเขาพบว่าไก่เหล่านี้กินข้าวขาวที่เหลือจากโรงพยาบาล ทหาร ส่วนไก่ที่ไม่เป็นโรคนั้นกินข้าวกล้อง เขาจึงทดลองให้ข้าวกล้องกับไก่ที่เป็นโรค ผลที่ได้น่าตกใจ ครับเพราะไก่เหล่านั้นหายจากอาการอ่อนแรง แสดงให้เห็นว่าโรคนี้เกี่ยวกับอาหารไม่ได้เกี่ยวกับการติดเชื้อ.

จากการทดลองของ Eijkman ทำให้ Adolphe Vorderman ศึกษาโรคนี้ในนักโทษ จากข้อมูลที่รวบรวมได้พบว่านักโทษที่กินข้าวขาวเป็นโรคเหน็บชาถึง 1 ใน 39 ส่วนคนที่กินข้าวกล้องพบผู้ป่วยเพียง 1 ใน 10,000 จะเห็นว่าแตกต่างกันมากถึง 250 เท่าโดยประมาณ จึงน่าเชื่อว่าข้าวกล้องมีสารที่ป้องกันโรคนี้ได้.


ค.ศ. 1906 Frederick Gowland Hopkins (1861-1947) แพทย์ชาวอังกฤษทำการทดลองในลูกหนู โดยให้กินอาหารที่ประกอบไปด้วยโปรตีน,ไขมัน, แป้ง และเกลือแร่ พบว่าสัตว์ทดลองหยุดการเจริญเติบโต แต่เมื่อเพิ่มนมเข้าไปในอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้นมันก็สามารถเติบโตต่อไปได้. เขาจึงสรุปว่ายังมีสารอาหารอีกประเภทหนึ่งที่สำคัญต่อชีวิตและร่างกายขาดไม่ได้ เขาเรียกสารนี้ว่า Accessory factor. ผลงานดังกล่าวทำให้ Eijkman และ Hopkins ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1929 (นอกจากนี้ Hopkins ยังได้รับการแต่งตั้งเป็น Sir ในปี ค.ศ. 1925 อีกด้วย).
 

ค.ศ. 1912  Kazimierz Funk หรือ Casimir Funk (1884-1967) นักชีวเคมีชาวโปแลนด์-อเมริกันพยายามสกัดสารอาหารที่ว่านี้ เขาพบว่าเป็นสาร ประกอบกลุ่ม amine จึงตั้งชื่อสารนี้ว่า Vitamine มาจากภาษาละติน "  Vita " ที่แปลว่า " ชีวิต" บวกกับคำว่า amine (ต่อมาพบว่าสารอาหารประเภทนี้ไม่ได้มีเฉพาะ amine. ค.ศ. 1920 Jack Cecil Drummond จึงเสนอให้ตัด e ตัวท้ายออกกลายเป็น Vitamin และใช้มาจนถึงปัจจุบัน).


ค.ศ. 1913 Elmer V. McCollum (1879-1967) นักเคมีชาวอเมริกันและ Marguerite Davis สกัดวิตามินชนิดแรกได้สำเร็จเขาเรียกมันว่า Factor A ซึ่งพบมากในตับและเรียกสารที่อยู่ในข้าวกล้องว่า   Factor B (ปัจจุบันคือ วิตามินเอและวิตามินบี 1 ตามลำดับ).
 

ทศวรรษที่ 1920 McCollum สังเกตว่าหนูที่กินแต่ธัญญาหารจะเกิดโรคที่เหมือนโรคกระดูกอ่อนในเด็กหรือ Rickets (Rickets มาจากภาษากรีก  " Rhakhis " ที่แปลว่า " กระดูกสันหลัง ") เมื่อทดลองให้หนูเหล่านี้กินน้ำมันตับปลาพบว่าสามารถป้องกันโรคนี้ได้ และค.ศ. 1922 เขาก็สกัดสารนี้ได้ซึ่งก็คือวิตามินดีนั่นเอง อีก 1 ปีต่อมา W. Evans และ  K. Bishop ก็ค้นพบวิตามินอี.
 

ค.ศ. 1920 George Hoyt Whipple (1878-1976) แพทย์ชาวอเมริกันศึกษาผลของอาหารกับการสร้างเม็ดเลือด โดยเขาดูดเลือดจากสุนัขทดลองเพื่อให้มีภาวะโลหิตจาง (anemia) จากนั้นเขาก็ให้อาหารชนิดต่างๆ แก่มัน เขาพบว่าตับทำให้สุนัขหายจากภาวะโลหิตจางได้ดีที่สุด. ต่อมาค.ศ. 1926 George Richards Minot (1885-1950) และ  William Parry Murphy (1892-1987) แพทย์ชาวอเมริกันทดลองรักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจางชนิดรุนแรง (pernicious anemia) โดยการให้กินตับ ปรากฏว่าได้ผล!!! เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่โรคโลหิตจาง สามารถรักษาได้ด้วยการกินอาหาร (ทั้ง 3 จึงได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1934) ปัจจุบันทราบแล้วว่า pernicious anemia เกิดจากการขาดวิตามินบี 12.


ค.ศ. 1928 Albert von Szent Gyorgyi Nagyrapolt (1893-1986) นักเคมีชาวฮังการีค้นพบ วิตามินซี ซึ่งพบมากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ถ้าใครขาดวิตามินนี้จะเป็นโรคลักปิดลักเปิด. ต่อมาในปีค.ศ. 1933 Sir Walter Norman Haworth (1883-1950) นักเคมีชาวอังกฤษสังเคราะห์วิตามินซีได้สำเร็จ (Nagyrapolt ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1937 ส่วน Haworth ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปีเดียวกัน).


ค.ศ. 1932 R. R. William ค้นพบวิตามินบี 1 และอีก 1 ปีต่อมา Richard Kuhn (1900-1967)นักเคมีชาวเยอรมันและ P. Gregory ก็ค้นพบวิตามินบี 2 (Kuhn ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี ค.ศ. 1938).


ค.ศ. 1934 วิตามินเค ถูกค้นพบ สงสัยไหมครับว่าจากวิตามินเอ, บี, ซี, ดี, อี กระโดดไปเป็นวิตามินเคได้อย่างไร? เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง Henrik Carl Peter Dam (1895-1976) นักเคมีชาวเดนมาร์กสังเกตว่าไก่ที่ถูกจำกัดอาหารจะเกิดอาการเลือดออก ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นโรคลักปิดลักเปิดจึงเพิ่มอาหารที่มีวิตามินซีสูงเข้าไป แต่ว่าไก่ก็ยังมีเลือดออกอยู่ดี.  ค.ศ. 1934 เขาทดลองให้ไก่กิน Hampseed ปรากฏว่าป้องกันเลือดออกได้. เขารายงานเรื่องนี้ในวารสารการแพทย์โดยใช้ภาษาเยอรมันว่า Koagulation Vitamin ทำให้สารนี้มีชื่อว่าวิตามินเค. ต่อมา ค.ศ. 1939  Edward Adelbert Doisy (1893-1986) นักเคมีชาวอเมริกันก็ค้นพบโครงสร้างและสามารถสังเคราะห์วิตามินเคได้สำเร็จ ผลงานดังกล่าวทำให้ทั้ง 2 ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1943.
 

ทศวรรษที่ 1950 George Wald (1906-1997) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันค้นพบว่าวิตามินเอ เป็นส่วนประกอบของจอประสาทตา (retina) โดยมี ส่วนสำคัญในกระบวนการรับแสงทำให้เรามองเห็นภาพได้ตามปกติ ถ้าขาดวิตามินเอไปจะทำให้เป็นโรคตาบอดกลางคืนช่วยได้ด้วยการกินตับซึ่งมีวิตามินเอสูง ทำให้ Wald ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1967.

Linus Carl Pauling (1901-1994) นักเคมีชาวอเมริกัน (รางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี ค.ศ. 1954) ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ วิตามินซีกับไข้หวัดŽ ในปี ค.ศ. 1970 เขาอ้างว่าการกินวิตามินซีวันละ 1 กรัมช่วยลดอุบัติการณ์ของไข้หวัดได้และยังแนะนำว่าช่วงไม่สบายให้กินมากขึ้นเป็น 2 กรัมขึ้นไป เนื่องจากเป็นคนมีชื่อเสียงจึงทำให้มีคนเชื่อและหันมากินวิตามินซีกันมาก จนแพทย์ต้องทำวิจัยในเรื่องนี้.


ค.ศ. 1977 Sir Iain Geoffrey Chalmers  แพทย์ชาวอังกฤษก่อตั้ง Cochrane Collaboration ขึ้นโดยเป็นองค์การนานาชาติที่มีสมาชิกกว่า 50 ประเทศ (รวมทั้งประเทศไทย) หน่วยงานนี้รวบรวม การศึกษาต่างๆ จากทั่วโลกมาสรุปเป็นมาตรฐานทางการแพทย์. ข้อสรุปที่ได้จะถูกเก็บไว้ในห้องสมุด Cochrane (ออกเสียงว่าคอคเครน) ซึ่งเป็นห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ที่มีงานวิจัยทางการแพทย์มากที่สุด (Chalmers ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาสาธารณสุข ในปี ค.ศ. 2000).

จากข้อมูลที่รวบรวมถึงปี ค.ศ. 2004 Cochrane สรุปว่าการกินวิตามินซีตั้งแต่ขนาดต่ำจนถึง 4 กรัมต่อวันไม่มีประโยชน์ในการป้องกันและรักษาไข้หวัดแต่อย่างใด.


ปัจจุบันมีการค้นพบวิตามินเพิ่มขึ้นอีกหลายชนิด แต่ทั้งหมดต่างก็มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ คนเราต้องการวิตามินต่อวันในปริมาณที่น้อยมาก ซึ่งการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามปกติก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อวิตามินมากินเพิ่มเติม. การกินวิตามินมากเกินความต้องการนอกจากไม่มีประโยชน์แล้วยังอาจก่อให้เกิดโทษ ต่อร่างกายอีกด้วย.

 

ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์ พ.บ. ,โรงพยาบาลท่าแซะ, จังหวัดชุมพร
E-mail : [email protected]<

 

ป้ายคำ:
  • คุยสุขภาพ
  • อื่น ๆ
  • เล่าสู่กันฟัง (ประวัติศาสตร์ทางการแพทย์)
  • นพ.ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์
  • อ่าน 4,912 ครั้ง
  • พิมพ์หน้านี้พิมพ์หน้านี้

ข้อมูลสื่อ

253-010
วารสารคลินิก 253
มกราคม 2549
เล่าสู่กันฟัง (ประวัติศาสตร์ทางการแพทย์)
นพ.ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์
Skip to Top

บทความสุขภาพน่ารู้

  • ทั้งหมด
  • การแพทย์ทางเลือก
    • แพทย์แผนไทย
      • กดจุด
      • นวดไทย
    • แพทย์แผนจีน
  • ดูแลสุขภาพ
    • การดูแลผู้สูงอายุ
    • การปฐมพยาบาล
    • การรักษาเบื้องต้น
    • การใช้ยาสมุนไพร
    • คู่มือดูแลสุขภาพ
    • ยาและวิธีใช้
    • ตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง
      • คำนวณค่า BMI
      • วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
      • แนะนำการตรวจสุขภาพประจำปี
    • คุยสุขภาพ
      • กรณีศึกษา
      • ถามตอบปัญหาสุขภาพ
  • สุขภาพทางเพศและครอบครัว
    • การดูแลบุตร
    • แม่และเด็ก
    • การตั้งครรภ์
    • เรียนรู้เรื่องเพศและการวางแผนครอบครัว
  • สร้างเสริมสุขภาพ 3 อ. ​และป้องกันโรค
    • อาหาร
      • อาหาร 5 หมู่
      • อาหารของผู้่ป่วยโรคเรื้อรัง
        • ความดันสูง
        • หัวใจ
        • เกาต์
        • เบาหวาน
      • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
      • อาหารป้องกันมะเร็ง
      • อาหารสมุนไพร
    • ออกกำลังกาย
      • วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอร์โรบิค แอร์โรบอคซิ่ง รำกระบอง ไทเก็ก ชี่กง โยคะ
    • อารมณ์
      • การทำสมาธิ
      • การพักผ่อน
      • การพัฒนา EQ
      • จิตอาสา/ ฉือจี้
  • พฤติกรรมอันตราย
    • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
    • อนามัยสิ่งแวดล้อม
    • อิริยาบถ
  • โรคและอาการ
    • โรคเรื้อรัง
      • กลุ่มอาการเมตาโบลิค
      • ความดันโลหิตสูง
      • ถุงลมปอดโป่งพอง
      • มะเร็ง
      • อัมพฤกษ์ อัมพาต
      • เบาหวาน
      • โรคข้อ/เกาต์
      • โรคทางจิตเวช เครียด หวาดระแวง
      • โรคหวัด ภูมิแพ้
      • โรคหัวใจ
      • โรคหืด
      • ไขมันในเลือดสูง/ผิดปกติ
      • ไตวาย
    • โรคตามระบบ
      • ระบบทางเดินอาหาร
      • โรคจากอุบัติเหตุ สารพิษ และสัตว์พิษ
      • โรคช่องปากและฟัน
      • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • โรคติดเชื้อ
      • โรคผิวหนัง
      • โรคพยาธิ
      • โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
      • โรคระบบต่อมไร้ท่อ
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศชาย
      • โรคระบบทางอวัยวะเพศหญิง
      • โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
      • โรคระบบทางเดินหายใจ
      • โรคระบบประสาทและสมอง
      • โรคระบบไหลเวียนโลหิต
      • โรคหู ตา คอ จมูก
    • โรคจากการทำงาน
      • พิษภัยจากสารเคมี (ยาฆ่าเมลง/ สารตะกั่ว)
      • โรคจากฝุ่นและสารเคมีในโรงงาน
      • โรคจากสัตว์ เช่น ฉี่หนู
      • โรคจากอริยาบทที่ผิดสุขลักษณะ
      • โรคเส้นเอ็นอักเสบ/ นิ้วล็อค
  • ทันกระแสสุขภาพ
  • คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์
  • อื่น ๆ

ได้รับความนิยม

  • นม
  • ถั่วพู
  • คนท้อง
  • ธาลัสซีเมีย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผักพื้นบ้าน
  • สมุนไพร

แผนผังเว็บไซต์

  • หน้าแรก
  • ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
  • บทความสุขภาพน่ารู้
  • สื่อสุขภาพ
  • คำถามสุขภาพ
  • ข่าวสาร
  • ติดต่อหมอชาวบ้าน
  • ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

รวมลิงค์เครือข่าย

  • มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  • สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
  • สถาบันโยคะวิชาการ

สื่อสุขภาพ

  • คลิปสุขภาพ
  • หมอชาวบ้านรายเดือน
  • คลินิกรายเดือน
  • จดหมายข่าวย้อนหลัง
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
  • feed หมอชาวบ้าน
  • facebook หมอชาวบ้าน
  • twitter หมอชาวบ้าน
  • youtube หมอชาวบ้าน
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)< และสถาบัน ChangeFusion< พัฒนาระบบโดย Opendream< สัญญาอนุญาต cc by-nc-sa <