เภสัชวิทยาของแอลกอฮอล์ (Pharmacology of alcohol)
แอลกอฮอล์ถูกดูดซึมได้อย่างดีและรวดเร็วเข้าสู่กระแสเลือดที่กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ การดูดซึมจะช้าลงหากมีอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก. แอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมกระจายไปทั่วร่างกาย และสามารถผ่านรกไปสู่เด็กในครรภ์ได้. ดังนั้นผู้ป่วยติดสุราที่ยังคงดื่มสุราในระหว่างตั้งครรภ์ ทารกที่คลอดออกมาจะมีความผิดปกติได้อย่างมาก. ทารกมักมี growth retardation, craniofacial anomalies, microcephaly, mental retardation เรียกว่า Fetal Alcohol syndrome (FAS).
แอลกอฮอล์ถูกย่อยสลายเป็นหลักที่ตับด้วยเอนไซม์ Alcohol dehydrogenase (ADH) ให้เปลี่ยนเป็น aldehyde และ aldehyde ก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็น acetate โดย acetaldehyde dehydrogenase (ALDH) พบว่าบางเชื้อชาติมีเอนไซม์นี้แตกต่างกัน (ALDH variant) เช่น ชนชาติญี่ปุ่นประมาณร้อยละ 50 ที่มีเอนไซม์ ALDH ที่ย่อยสลาย acetaldegyde ได้ไม่ดี ทำให้เวลาดื่มแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยก็เกิดผลข้างเคียงจากการที่มี acetaldehyde สูงในร่างกายได้ ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นปัจจัยป้องกันในติดสุรา.
โดยทั่วไปในผู้หญิงมีการย่อยของแอลกอฮอล์โดย alcohol dehydrogenase ที่เยื่อบุกระเพาะอาหารน้อยกว่าผู้ชาย ทำให้ระดับของแอลกอฮอล์ขึ้นสูงได้เร็วกว่าเมื่อดื่มสุรา จึงทำให้ผู้หญิงเมาได้ง่ายกว่าผู้ชาย. มีการศึกษาพบว่า บุตรของผู้ป่วยติดสุราเมายากกว่าบุตรของบุคคลที่ไม่ติดสุรา ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเสี่ยง ทางพันธุกรรมของการติดสุราในอนาคต.
แอลกอฮอล์จำนวนเล็กน้อยถูกขับออกทางปอด พบว่ากลิ่นแอลกอฮอล์จากลมหายใจไม่สัมพันธ์กับปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป.
อัตราเมตาบอลิซึมของแอลกอฮอล์ขึ้นกับน้ำหนักตัว โดยปกติร่างกายผู้ใหญ่จะเผาผลาญแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ได้ 10 มล.ต่อชั่วโมง.
กลไกการออกฤทธิ์
จากการศึกษาในอดีตพบว่าแอลกอฮอล์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สภาพแวดล้อมของ lipid ที่ผนังของเซลล์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ brain membrane fluidity.
จากการศึกษาในปัจจุบันยังพบว่าแอลกอฮอล์มีผลต่อ specific receptors เช่น ligand-gated ion channels ดังนี้
1. Inhibitory channel ได้แก่ GABA-A receptor และ strychnine sensitive glycine receptor. แอลกอฮอล์ช่วยให้ GABA กระตุ้น receptors ทำให้ chloride ซึ่งมีประจุลบไหลเข้าเซลล์มากขึ้น ทำให้เซลล์ประสาทถูกกระตุ้นยากขึ้น.
2. Excitatory channel ได้แก่ NMDA และ non-NMDA receptors และ 5-HT3 subtype receptor เมื่อถูกกระตุ้นด้วย glutamate หรือ aspartate จะทำให้โซเดียมและแคลเซียมซึ่งมีประจุบวกไหลเข้าเซลล์มากขึ้น ทำให้เซลล์ถูกกระตุ้นได้ง่ายขึ้น. ส่วน non-NMDA และ 5-HT3 subtype receptors เมื่อถูกกระตุ้นจะทำให้โซเดียมไหลเข้าเซลล์มากกว่าแคลเซียม. แอลกอฮอล์ยับยั้งการทำงานของ receptors ชนิดนี้ เชื่อว่าการยับยั้ง NMDA receptors มีส่วนควบคุมการหลั่งของ dopamine ใน mesolimbic areas เช่น nucleus accumbens. การดื่มสุราอย่างยาวนานทำให้เกิด up-regulation ของ receptors ซึ่งมีบทบาทในการเกิดชักใน alcohol withdrawal.
จากการศึกษายังพบว่าแอลกอฮอล์มีผลต่อสารสื่อประสาทระบบอื่นๆ เช่น
1. Dopamine จากการศึกษาพบว่า มีการเพิ่มการทำงานของเซลล์ประสาท dopamine ที่บริเวณ VTA ซึ่งมีการติดต่อกับ nucleus accumbens ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกิดจากการที่แอลกอฮอล์ยับยั้ง NMDA receptors.
2. Opioids พบว่าแอลกอฮอล์เพิ่มการหลั่งของ endogenous opioids ในร่างกาย ซึ่งจากการศึกษาการใช้ยา naltrexone และ naloxone ซึ่งเป็น opioid antagonists พบว่าสามารถลดพฤติกรรม การดื่มสุราได้.
3. Serotonin พบว่าในผู้ป่วยที่ติดสุราเรื้อรังมีระดับ 5HT และ 5HT-metabolite ในน้ำ ไขสันหลังลดลง และจากการศึกษาการใช้ยา SSRI เช่น fluoxetine หรือ sertraline มีส่วนช่วยลดการดื่มสุรา.
การประเมินผู้ป่วยสุรา (Assessment of alcoholic patients)
แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปมีโอกาสพบผู้ป่วยติด สุราเรื้อรังได้ในหลายลักษณะ ทั้งในผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน เช่น
1. ผู้ป่วยอาจมาหาด้วยภาวะทางอายุรกรรมแทรกซ้อนจากการติดสุรา เช่น บาดเจ็บที่ศีรษะ โรคตับ โรคตับอ่อนอักเสบ โรคเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน เป็นต้น.
2. ผู้ป่วยมีความเจ็บป่วยทางกายและแพทย์พบว่ามีการดื่มสุราปริมาณมากและเป็นกิจวัตรหรือมีประวัติโรคติดสุราเรื้อรัง.
3. ผู้ป่วยมีภาวะทางจิตเวชแทรกซ้อนที่เกิดจากการดื่มสุรา (alcohol-induced disorder) เช่น intoxification, withdrawal, withdrawal seizure, withdrawal delirium เป็นต้น.
4. ผู้ป่วยที่มีภาวะทางจิตเวช และโรคติดสุราเรื้อรังร่วมด้วย (dual diagnosis) เช่น major depressive disorder, bipolar disorder, anxiety disorder, psychotic disorder, suicide attempt เป็นต้น.
ในทางคลินิก แพทย์อาจใช้การสัมภาษณ์เพื่อ คัดกรองผู้ป่วยที่มีลักษณะการดื่มสุราหนัก (Hazadous alcohol drinking pattern) โดยถามปริมาณการดื่มสุราที่ดื่มต่อสัปดาห์ หรือปริมาณที่ดื่มต่อครั้ง หากผู้ป่วย ดื่มมากกว่าตัวเลขที่กำหนดของ Harzard use theshold ถือว่ามีความเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยทางอายุรกรรม และการติดสุรา.
Hazardous alcohol use screening ตามข้อมูลของ U.S. Department of Health and Human Services 1995, 1997. (ตารางที่ 1)
การคัดกรองผู้ป่วยติดสุราทางคลินิก แพทย์อาจใช้คำถามง่ายๆ ที่ได้ผ่านการศึกษามากแล้วว่าสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางคลินิกได้ เช่น CAGE มี 4 คำถาม หากผู้ป่วยตอบว่าใช่ตั้งแต่ 2 ขึ้นไป ก็พิจารณาว่าผู้ป่วยอาจเป็นผู้ป่วยติดสุราเรื้อรัง ควรได้รับการประเมินละเอียดต่อไป. คำถาม CAGE มีดังต่อไปนี้
1. คุณเคยรู้สึกว่าคุณควรจะหยุดดื่มสุราหรือไม่ (Cut down).
2. บุคคลอื่นเคยทำให้คุณรำคาญโดยการ วิพากษ์วิจารณ์การดื่มสุราของคุณหรือไม่ (Annoyed).
3. คุณเคยรู้สึกไม่ดีหรือรู้สึกผิดเกี่ยวกับการดื่มสุราของตนเองหรือไม่ (Guilty).
4. คุณเคยดื่มสุราเป็นอันดับแรกในตอนเช้าเพื่อทำให้ระบบประสาทเป็นปกติหรือแก้อาการสร่างเมาหรือไม่ (Eye opener).
นอกจาก CAGE แล้วยังมีวิธีการเพื่อคัดกรองอื่นๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ในทางคลินิกได้ เช่น The Drug Abuse Screening (DAST), Alcohol Use Disorders Identification Test (AUDIT), Michigan Alcohol Screening Test (MAST and SMAST), Drinker Inventory of Consequences (DrInC) เป็นต้น.
ในการวินิจฉัย alcohol-related disorder แพทย์สามารถใช้หลักเกณฑ์วินิจฉัยตาม The fourth edition of Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM-IV) ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ substance use disorder และ substance-induced disorder.
Substance use disorder หมายถึง substance abuse และ substance dependence ซึ่งอธิบาย ถึงความผิดปกติในแง่ของการใช้สาร คือมีการใช้สารอย่างไม่เหมาะสม มีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย จิตใจ การงานและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง มีภาวะ withdrawal และ tolerance.
ส่วน substance-induced disorder หมายถึง กลุ่มอาการทางด้านจิตใจหรือพฤติกรรมที่เกิดจากการใช้หรือหยุดใช้สารนั้นๆ ได้แก่ intoxication, withdrawal, delirium, dementia, amnestic disorder, psychotic disorders, mood disorders, anxiety disorders, sexual dysfunctions, sleep disorders.
จุดสำคัญในการสัมภาษณ์เพื่อวินิจฉัยโรคติดสุราเรื้อรัง คือการซักประวัติเพื่อให้ได้แบบแผนการดื่มสุราที่ผิดปกติ ระยะเวลาที่มีลักษณะแบบนั้น.
การสัมภาษณ์ผู้ป่วยติดสุราเรื้อรัง มักมีความยากลำบากเพราะผู้ป่วยมักมีลักษณะปฏิเสธความจริง (denial) ซึ่งเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของโรคติดสุราเรื้อรัง ประกอบกับผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยปัญหาอื่นๆ ดังกล่าวข้างต้น. ผู้ป่วยไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อรักษาโรคติดสุราเรื้อรังโดยตรง ดังนั้นแพทย์อาจมองว่าผู้ป่วยไม่มีแรงจูงใจในการเลิกสุราได้ หรือผู้ป่วยไม่อยากเลิกสุรา. โดยทั่วไปผู้ป่วยติดสุราเรื้อรังเริ่มอยากคิดเลิกสุรา เมื่อเกิดปัญหาที่รุนแรงกับตนเอง เช่น โรคทางกายแทรกซ้อนที่ร้ายแรง ครอบครัวแตกแยก มีปัญหากฎหมาย เป็นต้น. หากรอให้ถึงจุดนั้นอาการของผู้ป่วยก็อาจยากเกินการรักษา. แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปมีโอกาสพบผู้ป่วยติดสุราเรื้อรังได้ในหลายระยะของการดำเนินโรคดังกล่าวข้างต้น แพทย์ควรมีท่าทีที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจปัญหาของตนเอง และเกิดแรงจูงใจในการเลิกสุราต่อไป.
ท่าทีที่เหมาะสม ได้แก่ แพทย์แสดงความห่วงใยต่ออนาคตสุขภาพของผู้ป่วย ไม่คุกคามหรือท้าทาย ควรให้เกียรติผู้ป่วย ไม่ตัดสินสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก และแนะแนวทางในการหยุดหรือควบคุมการดื่มต่อไป. พยายามรับฟังและทำความเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้ผู้ป่วย ลังเลใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ท่าทีดังกล่าวจะทำให้ผู้ป่วยยอมพูดคุยกับแพทย์ได้ต่อเนื่อง ทำให้แพทย์ได้ข้อมูลมากขึ้น ข้อมูลที่ได้ก็จะเป็นประโยชน์ในการรักษาต่อไป.
ผลกระทบของสุราต่อสุขภาพ : ความผิดปกติที่เป็นผลจากแอลกอฮอล์ (Alcohol-induced disorder)
Alcohol intoxification
แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปสามารถพบภาวะ alcohol intoxification ได้บ่อยและผู้ป่วยอาจเสียชีวิต ได้จากภาวะนี้หากผู้ป่วยได้รับการดูแลที่เหมาะสมก็จะสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้. อาการทางคลินิกของ alcohol intoxification ขึ้นอยู่กับระดับของแอลกอฮอล์ในเลือด (ตารางที่ 2).
Management of alcohol intoxification
แพทย์ควรให้การรักษาแบบประคับประคอง จนกระทั่งผู้ป่วยรู้สึกตัวดีขึ้น หรือระดับแอลกอฮอล์ ในเลือดลดลงในระดับที่ปลอดภัย โดยปกติระดับแอลกอฮอล์ในเลือดจะลดลงโดยเฉลี่ย 20 มก./ดล.ต่อชั่วโมง. เป้าหมายในการรักษา คือ ป้องกันการกดการหายใจและป้องกันการสำลัก.
1. ให้ glucose และ thiamine ทางหลอดเลือด เนื่องจากผู้ป่วยมักมีภาวะ hypoglycemia และผู้ป่วยติดสุราเรื้อรังมักขาด thiamine.
2. ระวังว่าผู้ป่วยได้รับยาหรือสารอย่างอื่นด้วยหรือไม่ ซึ่งอาจเสริมฤทธิ์การกดประสาทของแอลกอฮอล์.
3. ให้การล้างท้องหรือกระตุ้นให้อาเจียน ในกรณีที่ดื่มสุรามาไม่เกิน 30-60 นาที และผู้ป่วยยังรู้สึกตัวดี.
4. ในรายที่อาการรุนแรงอาจทำ hemo-dialysis.
5. ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการก้าวร้าววุ่นวาย พยายามใช้การควบคุมให้อยู่ในที่ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อตัวเองและผู้อื่น อาจให้ physical restraint พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยาให้มากที่สุด เพราะอาจกดประสาทมากขึ้นได้ แต่ถ้าหากจำเป็นต้องใช้ยาก็อาจให้ haloperidol ฉีดเข้ากล้ามได้.
การจัดสถานบริการผู้ที่มีปัญหาติดสุราเรื้อรัง
ผู้ที่มีปัญหาติดสุราเรื้อรัง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนั้นในการดูแลผู้ที่มีปัญหาติดสุราเรื้อรัง ต้องประกอบไปด้วย
1. ด้านบุคลากร ทีมสหวิชาชีพในการให้บริการผู้ที่มีปัญหาติดสุราเรื้อรัง ได้แก่ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา นักกายภาพบำบัด นักสุขศึกษา นักโภชนาการ นักอาชีวบำบัด เทคนิคการแพทย์.
บทบาทหน้าที่ของแพทย์
1. ทำการตรวจ ประเมินภาวะขาดสุรา ภาวะทางจิตประสาท ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ.
2. วินิจฉัยผู้ป่วยแต่ละราย.
3. พิจารณาส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อประกอบการวินิจฉัย.
4. บำบัดรักษาด้วยยา/อื่นๆ.
บทบาทหน้าที่ของพยาบาล
1. ให้การดูแลผู้ป่วยด้วยกระบวนการพยาบาล (nursing process) ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ
¾ การประเมินภาวะสุขภาพ.
¾ การวินิจฉัยทางการพยาบาล.
¾ การวางแผนการพยาบาล.
¾ การปฏิบัติการพยาบาล.
¾ การประเมินผลการพยาบาล.
2. ปฐมนิเทศผู้ป่วยและญาติ ให้ข้อมูลที่ควรทราบตามความเหมาะสม เช่น ระเบียบการบำบัดรักษา การมีส่วนร่วมของครอบครัวในการบำบัด สิทธิผู้ป่วย เป็นต้น.
3. ให้บริการปรึกษาทางด้านสุขภาพอนามัย/ด้านอื่นๆ แก่ผู้ป่วยและญาติเป็นรายบุคคล รายกลุ่มและครอบครัว.
4. เป็นผู้นำในการทำกลุ่มบำบัดต่างๆ ตามแผนการบำบัดรักษา.
5. ประสานความร่วมมือกับวิชาชีพต่างๆ ในทีมสหวิชาชีพ เปรียบเสมือนผู้จัดการส่วนตัวของผู้ป่วย.
6. เตรียมความพร้อมของผู้ป่วยและครอบ ครัวก่อนการจำหน่ายกลับบ้านและมาตามนัด.
7. ประเมินและติดตามผลการบำบัดรักษา.
บทบาทหน้าที่ของเภสัชกร
1. คัดเลือก จัดหา เก็บรักษา จัดจ่ายยาและเวชภัณฑ์.
2. จัดหายาที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ แต่ไม่มีจำหน่ายในโรงพยาบาล.
3. เป็นแหล่งข้อมูลเรื่องชนิดของยา ราคายา และเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่ต้องใช้กับผู้ป่วย.
4. บริการให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยเกี่ยวกับเรื่องอาการข้างเคียงจากการใช้ยาการปรับขนาดของยาในผู้ป่วย.
5. ติดตามการใช้ยา อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาการเกิดปฏิกิริยาต่อกันระหว่างยา.
6. ให้ความรู้แก่ผู้ป่วย และญาติในเรื่องยาที่ได้รับไปกินต่อที่บ้านเมื่อออกจากโรงพยาบาล.
บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์
1. บริการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยตามปัญหาและความต้องการของผู้ป่วย เช่น การอนุเคราะห์ค่าบำบัดรักษา การตามญาติมาเยี่ยมผู้ป่วย การนำผู้ป่วยส่งกลับบ้าน การนำผู้ป่วยไปตรวจหรือย้ายโรงพยาบาล เป็นต้น.
2. ให้บริการทางด้านสังคมสงเคราะห์และให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล รายกลุ่มและครอบครัว.
3. ให้ความรู้/คำแนะนำเกี่ยวกับทรัพยากรทางสังคมแก่ผู้ป่วยและญาติ.
4. ประสานงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อจัดหาทรัพยากรทางสังคมที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วย.
5. เตรียมความพร้อมผู้ป่วยและครอบครัวก่อนการจำหน่ายกลับบ้าน.
6. ติดตามผลหลังการบำบัดรักษา และให้ความช่วยเหลือในรายที่เห็นสมควร.
บทบาทหน้าที่ของนักจิตวิทยา
1. ให้บริการตรวจวินิจฉัยทางจิตวิทยาแก่ผู้ป่วย เพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยโรคของแพทย์ โดย อาศัยแบบสอบถามทางจิตวิทยา ได้แก่ แบบสอบถาม เชาวน์ปัญญา แบบสอบถามบุคลิกภาพ แบบสอบถาม พยาธิสภาพทางสมอง เป็นต้น พร้อมทั้งวิเคราะห์และประเมินผล.
2. ให้บริการปรึกษาทางด้านจิตบำบัดและให้การปรึกษาผู้ป่วยเป็นรายบุคคล รายกลุ่มและครอบครัว.
บทบาทหน้าที่ของนักกายภาพบำบัด
1. สอนและแนะนำผู้ป่วย/ครอบครัวในการทำกายภาพบำบัด.
2. ส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตเพื่อชะลอความเสี่ยงของสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายที่เหมาะสมถูกต้อง.
3. ป้องกันความผิดปกติและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอวัยวะต่างๆ เมื่อเจ็บป่วยจากโรค.
4. ให้การบำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพแก่ ผู้ป่วยด้วยวิธีการประยุกต์หลักการทางฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว.
5. จัดกิจกรรมด้านนันทนาการมาช่วยส่งเสริม แก้ไข ปรับปรุงสุขภาพของผู้ป่วย ทำให้ลดการพึ่งพาการใช้สุรา โดยไม่จำเป็นและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากการบำบัดโดยวิธีการอื่นๆ ที่เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย.
บทบาทหน้าที่ของนักสุขศึกษา
1. ให้ความรู้เรื่องโรคต่างๆ แก่ผู้ป่วยและญาติ เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติมีความรู้ความเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดโรคและการป้องกันอย่างถูกต้อง.
2. ปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้ป่วยต่อการดื่มสุรา โดยชี้ให้ผู้ป่วยตระหนักถึงโทษของสุราที่มีต่อสุขภาพกาย/จิตและการดำเนินชีวิตในครอบครัวและสังคม.
3. จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพอนามัยของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้องและลดอัตราการติดเชื้อ.
บทบาทหน้าที่ของนักโภชนาการ
1. จัดคำนวณแคลอรีที่เหมาะสมกับความ ต้องการของผู้ป่วย.
2. บริการจัดหา จัดเตรียมอาหารผู้ป่วยทุกประเภท โดยเฉพาะดูแลในการเตรียมอาหารผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดเฉพาะโรค เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจ โรคตับ โรคความดันเลือดสูง เป็นต้น.
3. ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารที่เหมาะสมตามสภาพร่างกาย เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติสามารถนำไปปฏิบัติตามได้เมื่อกลับไปอยู่บ้าน.
บทบาทหน้าที่ของนักชีวบำบัด
1. ให้ความรู้และทักษะการงานพื้นฐานอาชีพตามระดับความสามารถ ความเหมาะสมของผู้ป่วย.
2. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการฝึกอาชีพแก่ ผู้ป่วย เพื่อให้รู้จักการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และสามารถนำไปประกอบอาชีพต่อไปได้.
บทบาทหน้าที่ของเทคนิคการแพทย์
1. รับบริการตรวจสิ่งส่งตรวจแต่ละประเภท.
2. เป็นที่ปรึกษาเมื่อมีปัญหาในการเก็บสิ่งส่งตรวจต่างๆ.
3. แก้ปัญหาในกรณีที่บริการตรวจบางอย่างไม่มีบริการในหน่วยงาน ต้องส่งตรวจนอกโรงพยาบาล.
4. ติดตามผลการตรวจของผู้ป่วยให้ได้รับตามกำหนดและถูกต้องเชื่อถือได้.
5. เป็นแหล่งข้อมูลในเรื่องราคา วิธีการเก็บสิ่งส่งตรวจ หน่วยงานที่รับตรวจสิ่งส่งตรวจพิเศษ โดยเฉพาะกรณีที่ต้องการด่วน.
2. ด้านสถานที่ให้บริการ
¾ พื้นที่ใช้สอยในการให้บริการผู้ที่มีปัญหาติดสุราเรื้อรัง ต้องแยกออกจากผู้ป่วยอื่น.
¾ พื้นห้องต้องเรียบเสมอกัน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ.
¾ พื้นห้องน้ำห้องส้วม ควรมีพื้นยางที่ซับน้ำให้แห้งอยู่เสมอ.
¾ ในห้องน้ำห้องส้วม ควรมีราวให้ผู้ป่วยเกาะ.
3. ด้านเครื่องมือ อุปกรณ์
¾ ต้องจัดให้ครบทั้งยาที่ใช้บำบัดอาการขาดสุราและโรคแทรกซ้อน รวมทั้งต้องมีเครื่องช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน.
¾ เตียงที่จะให้บริการ ต้องเป็นเตียงขนาดเตี้ย มีไม้กั้นเตียง เพื่อป้องกันการตกเตียง.
สรุป
การดูแลผู้ที่มีปัญหาติดสุราเรื้อรัง จะต้องเป็นทีมสหวิชาชีพที่มีความรู้ความเข้าใจในการ ดำเนินโรคของผู้ติดสุราเรื้อรัง นอกจากนี้สถานที่ให้บริการและอุปกรณ์ต้องมีความปลอดภัย เพื่อให้บริการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีปัญหาติดสุราเรื้อรัง.
เอกสารอ้างอิง
1. จงรัก อินทร์เสวก. การศึกษาศักยภาพด้านการบำบัดรักษายาเสพติดของสถานพยาบาลทุกระดับ ประจำปี 2546. ปทุมธานี สถาบันธัญญารักษ์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2546.
2. นันทนา ขาวละออ. บทบาทของทีมสหวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยสุรา. เอกสารทางวิชาการในการบรรยายหลักสูตร การให้บริการปรึกษาเชิงลึกของสถาบันธัญญารักษ์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2548.
3. พิชัย แสงชาญชัย. สุราและความผิดปกติที่เกี่ยวข้อง (Alcohol-Related Disorder). อ้างใน : วิโรจน์ วีระชัย และคณะ. ตำราการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด. กรุงเทพฯ : วัชระอินเตอร์ ปริ้นติ้ง จำกัด, 2544.
4. สมภพ เรืองตระกูล. ยาเสพติด : มหันตภัยเงียบที่ป้องกันได้. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์, 2543.
5. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. การประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ, 2548:1.
สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา พ.บ. ,ว.อ.(เวชศาสตร์ครอบครัว) หัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์
นันทนา ขาวละออ พยาบาลวิชาชีพ 7 วช., พย.บ., กศ.ม. ,สถาบันธัญญารักษ์,กรมการแพทย์, กระทรวงสาธารณสุข
- อ่าน 13,957 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้