• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เจ็บหัวใจ (ตอนที่ 6)

เจ็บหัวใจ (ตอนที่ 6)


สัปดาห์ต่อมา ชายร่างท้วมก็กลับมาหาหมอพร้อมกับผลตรวจเลือด คือ น้ำตาล 120 มก% (มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) โคเลสเตอรอล 350 มก% ไตรกลีเซอไรด์ 300 มก% และครีอะตินีน 1.0 มก%
ชาย : “สวัสดีครับหมอ ยาหมอนี่วิเศษจริงๆ พอมีอาการปุ๊บ ผมก็อมยาปั๊บ อาการก็หายภายใน 1-2 นาที เหมือนโทรทัศน์เปิดปุ๊บติดปั๊บทีเดียวครับ”
หมอ : “สวัสดีครับ รู้สึกว่าคุณออกจะพูดเกินจริงไปสักหน่อย”
ชาย : “อ้าว จริงๆนะครับ ผมไม่เคยรู้สึกโล่งอกโล่งใจเหมือนคราวนี้เลย เพราะอาการมันหายเหมือนปลิดทิ้ง แต่ก่อนแม้ว่าหยุดพักแล้วอาการมันหาย แต่ยังรู้สึกกลัวๆ ไม่กล้าทำอะไร หลังจากนั้นพักใหญ่ แต่คราวนี้หลังอมยาแล้ว รู้สึกทำอะไรๆได้ดีขึ้น ไม่มีอาการเลย”
หมอ : “ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่าคุณเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบจริง และผลการตรวจเลือดก็แสดงว่า คุณน่าจะเริ่มเป็นโรคเบาหวาน เพราะน้ำตาลในเลือดของคุณสูงนิดๆ ถ้าคุณต้องการรู้ให้แน่ชัดขึ้นก็อาจจะต้องตรวจน้ำตาลในเลือดใหม่ หลังจากคุณกินอาหารมื้อปกติแล้ว 2-3 ชั่วโมง ถ้าน้ำตาลในช่วงนั้นสูงกว่านี้ จะมีสิทธิ์เป็นโรคเบาหวานมากขึ้น
“ส่วนไขมันในเลือดของคุณก็สูงทั้ง 2 อย่าง
“แต่หน้าที่ของไตด้านการขับของเสียยังปกติ”
ชาย : “โอ้โฮ ก็แปลว่าผมได้รับการถ่ายทอดโรคมาจากคุณพ่อครบถ้วนสิครับ”
หมอ : “อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่คุณสามารถดูแลรักษาตนเองแต่เนิ่นๆ เพราะโรคของคุณทั้ง 3 อย่างยังอยู่ในระยะเริ่มแรก
“ถ้าคุณปฏิบัติรักษาตัวเองได้ดี โรคเบาหวานและโรคไขมันในเลือดสูงตามกรรมพันธุ์นี้ยังไม่ต้องกินยารักษาเลย”
ชาย : “ผมจะต้องปฏิบัติรักษาตัวเองอย่างไรครับ”
หมอ : “ก็อย่างที่แนะนำไว้ครั้งก่อนแหละครับ ลดน้ำหนักลง อย่ากินอาหารไขมันโดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู นม เนย ไข่แดง และอาหารที่มีกะทิ
“ถ้าจะกินไขมันให้กินไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำ ได้บ้าง แต่อย่ากินมากเพราะจะทำให้อ้วนขึ้นได้เท่าน้ำมันหมู เพราะน้ำมันสัตว์และน้ำมันพืชมีแคลอรี(พลังงาน)เท่ากัน นั่นคือ ทำให้อ้วนได้เท่ากัน
“นอกจากนั้น ต้องลดอาหารแป้ง เช่น ข้าว ของหวาน ขนม น้ำอัดลมที่มีรสหวาน ลงให้มากๆ เช่นเดียวกัน”
ชาย : “ครับ ผมขอโทษ สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมยังลดน้ำหนักไม่ได้ แต่ผมจะพยายามต่อไปครับ”
หมอ : “ไม่เป็นไรครับ มีความเพียรพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น
“ถ้าคุณตั้งใจจะลดน้ำหนัก และลดอาหารดังที่แนะนำ หมอจะยังไม่ให้ยารักษาเบาหวาน และไขมันในเลือดสูง แต่จะให้ยาเพิ่มเติมสำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบของคุณ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้คุณเกิดอาการเหนื่อยหรือแน่นได้ง่ายๆ”
ชาย : “ยาอมใต้ลิ้นก็ช่วยป้องกันได้นี่ครับ เพราะผมลองใช้ดูแล้ว ทีแรกหมอให้ผมอมเวลามีอาการ ผมเห็นมันแก้อาการได้ดี
“ตอนหลัง เวลาผมกินอาหารอิ่มใหม่ๆ แล้วมีลูกค้ามาซื้อของ ผมก็ลองอมยาใต้ลิ้นไปก่อน ปรากฏว่าผมสามารถยกของไปส่งที่รถได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยหรือแน่นเลย ผมจึงใช้เรื่อยมา”
หมอ : “แจ๋วจริงๆ คุณนี่ สิ่งที่คุณได้ลองทำนั้นถูกต้องแล้ว ยาอมใต้ลิ้นใช้ป้องกันอาการได้ โดยให้อมก่อนที่จะไปทำงานที่รู้ว่าถ้าทำแล้วจะเหนื่อยหรือแน่น มันอาจจะป้องกันไม่ให้อาการเกิดขึ้นได้
“แต่ที่จริง ถ้าคุณจะลองยาอะไร หรือลองกินยาด้วยวิธีแปลกๆ ใหม่ๆ คุณควรจะโทรศัพท์มาถามหมอก่อนว่าทำอย่างนั้นได้มั้ย เพราะยาบางอย่างอาจทำให้มีพิษหรือเป็นอันตรายได้”
ชาย : “โธ่หมอ ผมไม่ได้จะขัดคำสั่งหมอนะครับ เพราะผมเห็นว่ามันแก้อาการได้ ก็เลยลองใช้ดูว่ามันจะช่วยป้องกันอาการได้มั้ย ผมกำลังจะมาถามหมอคราวนี้อยู่พอดีว่า ผมใช้แบบนี้ได้มั้ย”
หมอ : “ครับ ใช้ได้ แต่ในโอกาสหน้า หากเป็นยาที่คุณไม่รู้จักควรถามแพทย์หรือเภสัชกรเสียก่อนจะปลอดภัยกว่าการที่คุณไปลองใช้เองโดยไม่ได้ศึกษาจากตำรา หรือผู้รู้ก่อนนะครับ”
ชาย : “ครับ ขอบคุณครับ แล้วหมอจะให้ยาผมเพิ่มใช่มั้ยครับ”
หมอ : “ใช่ครับ คุณต้องการยาอีก 2 ตัว เพื่อป้องกันอาการเจ็บหัวใจบ่อยๆ และอาการเจ็บหัวใจมากๆจะได้ไม่เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ง่ายๆ
“ว่าแต่คุณเคยเป็นโรคหอบหืด หรือหอบเหนื่อยเวลาอากาศหนาวๆ หรือเวลาเจอควันไฟ ควันรถ หรือเวลาแพ้ยา อากาศ อาหาร หรืออื่นๆมั้ยครับ”
ชาย : “ไม่เคยครับ หมอถามทำไมครับ ”
หมอ : “เพราะยาตัวหนึ่งที่จะให้คุณ อาจทำให้อาการหอบหืดหรือหอบเหนื่อยของคุณกำเริบขึ้นได้ถ้าคุณเคยเป็นอยู่ คุณเคยแพ้ยาอะไรมั้ยครับ”
ชาย : “ไม่เคยครับ”
หมอ : “ถ้าอย่างนั้น หมอให้ยาคุณอีก 2 อย่าง อย่างหนึ่งช่วยทำให้หัวใจคุณทำงานน้อยลงจะได้ไม่เจ็บหัวใจได้ง่าย และช่วยลดความดันเลือดของคุณด้วย
“ส่วนอีกอย่างหนึ่ง ช่วยป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัวอุดหลอดเลือดได้ง่าย จะได้ไม่เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้ง่าย ยาตัวหลังนี้อาจระคายกระเพาะอาหารคุณได้ โดยเฉพาะเมื่อคุณเคยเป็นโรคกระเพาะมาก่อน เพราะฉะนั้นคุณจะต้องกินยานี้พร้อมกับอาหารหรือหลังอาหารทันที และควรกินยาโรคกระเพาะของคุณต่อไปด้วย
“ถ้ากินยานี้แล้วมีอาการปวดท้อง แสบท้องเพิ่มขึ้น หรือมีอุจจาระดำเหมือนยางมะตอยหรือเฉาก๊วย ต้องรีบหยุดยาทันที และกินยาลดกรดแบบน้ำเพิ่มขึ้นเป็นทุก 1-2 ชั่วโมงจนอาการดีขึ้น หรือจะมาพบหมอก่อนนัดก็ได้” (ดูเรื่องยาสำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในตอนท้ายของเรื่อง)


คนไข้รายที่ 3 นี้ ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะ และ/หรือถุงน้ำดี เพราะมีอาการแน่นท้องหลังอาหารเป็นสำคัญ และเมื่อกินยาแก้โรคกระเพาะแล้วก็ดีขึ้น แม้อาการจะหายไปเพียงบางอย่างเท่านั้น(ไม่หายไปหมด)
ประกอบกับที่คนไข้มีประวัติกินอาหารผิดเวลาบ่อยๆ และเวลาหิวมีอาการแสบท้อง ทำให้หมอที่รักษาคนไข้คิดถึงโรคกระเพาะมากขึ้น ซึ่งคนไข้ก็คงจะเป็นโรคกระเพาะอยู่บ้างแม้จะไม่รุนแรงถึงขนาดเป็นแผลในกระเพาะ หรืออื่นๆ
แต่ประวัติที่ทำให้นึกถึงโรคหัวใจแม้คนไข้จะไม่มีอาการเจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก หรือมีอาการใจเต้นใจสั่นผิดปกติ หรืออื่นๆก็คือ
ประวัติอาการแน่นท้องเวลาออกกำลังหลังอาหาร และอาการนี้เกิดขึ้นเร็วและหายเร็วนั่นเอง
โดยทั่วไป คนที่กินอิ่มมากๆจะรู้สึกแน่นท้อง อึดอัดในท้องได้ แต่อาการจะเป็นอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่กินเข้าไปมากจนนั่งหรือนอนไม่ได้ ต้องเดินไปเดินมาอยู่นานหรือต้องล้วงคอให้อาเจียนออกไปบ้าง จึงจะดีขึ้น
แต่คนไข้รายนี้ หลังกินอาหารอิ่มแล้วไม่มีอาการมาก แสดงว่าไม่ได้กินอิ่มมากเกินไป จนต้องใช้วิธีเดินหรือวิธีล้วงคอช่วย
แต่เมื่อคนไข้ไปออกกำลัง(แบบที่เคยทำอยู่เป็นประจำ)กลับเกิดอาการแน่นท้องขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน(อย่างกะทันหัน)จนต้องหยุดทำงานทันที แล้วยืนพักหรือนั่งพัก และเมื่อยืนพักหรือนั่งพักแล้วอาการก็ดีขึ้นโดยเร็วหรือทันที แบบนี้ไม่ใช่อาการของโรคกระเพาะหรือถุงน้ำดี ซึ่งไม่เป็นเร็วหายเร็วเช่นนี้ แต่เป็นอาการ “เจ็บหัวใจ” ของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมากกว่า
อาการ “เจ็บหัวใจ” ของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นอาการเจ็บที่หน้าอกเท่านั้น


อาการ “เจ็บหัวใจ” อาจแสดงออกในรูปของ
1. อาการแน่นท้องหรือปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณยอดอก(ลิ้นปี่) หรือใต้ชายโครงทั้ง 2 ข้าง
2. อาการปวดหรือแน่นที่บริเวณหลังระหว่างสะบักทั้ง 2 ข้าง
3. อาการปวดหรือจุกแน่นในคอหรือลำคอด้านหน้า
4. อาการปวด หรือเมื่อยล้าบริเวณไหล่
5. อาการปวด หรือเมื่อยล้าบริเวณแขน ข้อศอก
6. อาการปวดบริเวณคาง หรือขากรรไกร จนอาจทำให้คิดไปว่าเป็นอาการปวดฟัน (ทั้งที่ฟันและเหงือกปกติ)
7. อาการเหนื่อยจนหมดแรงอย่างปัจจุบันทันด่วนจนต้องหยุดทำงาน หรือหยุดพัก เป็นต้น
ถ้าอาการดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้นเวลาออกกำลังหรือหลังออกกำลัง โดยอาการเกิดขึ้นเร็วและถึงจุดสุดยอด (จุดที่เจ็บที่สุด ปวดที่สุด แน่นที่สุด) อย่างรวดเร็ว (ภายใน 1-2 นาที) และคงอยู่อย่างนั้น จนเมื่อได้พักหรือได้อมยาหรือพ่นยาแล้ว ก็หายอย่างรวดเร็ว และมักจะหายหมดหรือเกือบหมด จนพอจะทำงานต่อได้ ให้นึกว่าอาการดังกล่าวนั้น อาจเป็นอาการ “เจ็บหัวใจ” จากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้
เมื่อลองใช้ยาอมใต้ลิ้นหรือยาพ่น แก้อาการเจ็บหัวใจแล้วได้ผล (อาการหายไปอย่างรวดเร็วหลังอมยาหรือพ่นยา) ก็ยิ่งทำให้แน่ใจมากขึ้นว่าเป็นอาการเจ็บหัวใจ แม้ว่าการตรวจร่างกายและการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะปกติ

ยิ่งถ้าอมยาหรือพ่นยาก่อนไปทำงาน (แบบที่เคยทำให้เกิดอาการดังกล่าวเป็นประจำ) แล้วไม่มีอาการเกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้แน่ใจว่าเป็นอาการเจ็บหัวใจมากขึ้น ดังในคนไข้รายนี้
คนไข้รายนี้หลังจากกินยา 2 อย่างอยู่ 2 สัปดาห์แล้ว ก็ไม่มีอาการแน่นท้องและเหนื่อยเมื่อออกกำลังหลังอาหารอีก และไม่ต้องอมยาอีกเลย
แต่ก็ยังถูกกำชับกำชาให้พกยาอมใต้ลิ้นติดตัวอยู่เสมอ เพราะจะเป็นยาที่ช่วยแก้ภาวะวิกฤติ(อาการเจ็บหัวใจอย่างปัจจุบันทันด่วน) ได้ดีที่สุด และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายถึงชีวิต หรืออันตรายร้ายแรงจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายอย่างเฉียบพลันได้
เพราะยา 2 อย่างที่กินอยู่จะไม่สามารถแก้ภาวะวิกฤติ หรืออาการเจ็บหัวใจได้ ใช้สำหรับการป้องกันเท่านั้น
นอกจากนั้น หลังจากอาการแน่นท้องหายไปแล้วคนไข้ก็สามารถลดยาโรคกระเพาะของตนลงเรื่อยๆ จนในที่สุดแม้จะหยุดยาโรคกระเพาะแล้ว ก็ไม่มีอาการแน่นท้องอีกเลย ทำให้คิดไปได้ว่า โรคกระเพาะของคนไข้คงไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการแน่นท้อง และอาการแน่นท้องของคนไข้คงเป็น “อาการเจ็บหัวใจ” นั่นเอง แต่ออกมาในรูปของอาการแน่นท้องจนทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคกระเพาะหรือโรคถุงน้ำดีไปได้
แต่อาการแสบท้องเวลาหิวคงจะเป็นอาการของกระเพาะอาหารจริงๆ แต่อาจจะไม่ถึงขั้นที่เรียกว่า “เป็นโรค” เพราะคนปกติทั่วไปเวลาหิวมากๆก็แสบท้องได้ เพราะกรดในกระเพาะหลั่งออกมามากและไประคายกระเพาะ จึงทำให้มีอาการปวดท้องแสบท้องได้
คนไข้รายนี้เอาใจใส่ดูแลรักษาตนเองดีมาก ลดอาหารไขมันและลดน้ำหนักลงได้ประมาณสัปดาห์ละ 1/2-1 กิโลกรัม ทำให้การตรวจเลือดซ้ำในระยะ 2 เดือนต่อมา น้ำตาลในเลือดลดลงเป็นปกติ และไขมันในเลือดลดลงมาก จึงไม่ต้องใช้ยาเบาหวานและยาลดไขมันเลย

 

                                                                                                                          (อ่านต่อฉบับหน้า)