• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

มองไม่เห็นฝั่ง

    
“คุณแม่ครับผมไม่เก่งวิทยาศาสตร์ ผมถึงหนีมาเรียนคณะนี้……ผมได้ ๘๐ หมดทุกวิชา เพราะเป็นเด็กขยันเรียนเท่านั้นเองครับ”

พยาบาลหน้าห้องตรวจขานชื่อ “คุณเอกเชิญเข้าห้องพบแพทย์ค่ะ”  ประตูห้องถูกผลักเข้ามาอย่างแรง พร้อมกับการปรากฏตัวของคน ๒ คน  เดินจูงมือกันมา  คนนำหน้าเป็นหญิงสูงวัย  คาดว่าอายุคงไม่ต่ำกว่า ๕๐ ปี  ดูลักษณะท่าทางร้อนรน  ตามหลังมาคือคุณเอกคน  สุภาพบุรุษวัยรุ่นหน้าตาเฉยเมย  
 
เมื่อป้าหมอกำลังจะเริ่มซักประวัติคนไข้  หญิงสูงวัยรีบพูดขึ้นมาว่า  "ดิฉันเป็นแม่เขาค่ะ อยากมาพบคุณหมอเพื่อเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง" 

ปกติในการตรวจผู้ป่วยนั้นจะให้ผู้ป่วยเป็นผู้เล่าก่อน  ยกเว้นกรณีที่ผู้ป่วยไม่ให้ความร่วมมือ  เช่น ไม่พูด หรือแสดงท่าทีไม่อยากจะพูด  ดังนั้นป้าหมอจึงให้คุณแม่ค่อยเล่าทีหลัง  ตอนนี้ให้คุณเอกเล่าก่อน  

คุณเอกนั่งนิ่งๆ อยู่ครู่ใหญ่จนคุณแม่สะกิดว่า "เร็วๆ  มีอะไรก็เล่าให้ป้าหมอฟังให้  คุณหมอจะได้รู้สุขภาพของลูก"   

ป้าหมอได้แต่ยิ้มและบอกกับคุณแม่ว่า  "ไม่รีบหรอกค่ะ ให้เวลาคุณเอกเล่า เพื่อคุณเอกจะได้เลือกเล่าเรื่องที่คุณเอกอยากเล่าในขณะนี้"  

คุณเอกเล่าให้ป้าหมอฟังว่า  ตนเองนอนไม่หลับมา ๑ เดือนแล้ว รู้สึกสับสน เบื่อหน่ายและคิดว่าคงจะเรียนหนังสือต่อไปไม่ไหว พอพูดถึงประโยคนี้คุณแม่ก็ร้องไห้               และบอกกับป้าหมอว่า “อีก ๒ สัปดาห์ลูกจะสอบแล้ว  แต่เขากลับบอกว่าเรียนไม่รู้เรื่องเลยสักวิชา”   ป้าหมอจึงรับคุณเอกไว้เป็นผู้ป่วยใน

คุณเอกเป็นลูกคนเดียว  แม่แยกทางกับคุณพ่อตั้งแต่คุณเอกอยู่ในท้อง คุณแม่เล่าว่าคุณพ่อไม่ต้องการเด็ก ไม่ต้องการรับผิดชอบใดๆ  นอกจากเรื่องงานเท่านั้น  เพราะยังอยากมีชีวิตสนุกสนานอย่างที่เคยเป็น นั่นคือการไปเที่ยวและกินอาหารสนุกสนานกับเพื่อนๆ   

คุณแม่เสียน้ำตาไปมาก  แต่ก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินเก็บทองไปฝากท้อง  จิตใจมีความเข็มแข็งและไม่อายคนรอบข้าง 

เมื่อคลอดลูกชายคุณแม่รู้สึกดีใจมาก เพราะคุณเอกหน้าตาเหมือนคุณแม่มาก  มิหนำซ้ำยังเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย  ไม่เจ็บไม่ไข้  เรียนหนังสือเก่ง  และไม่เคยทำอะไรไม่ถูกใจคุณแม่เลย

คุณแม่ซึ่งมีอาชีพเป็นครูจึงคอยสอนพิเศษ  สอนการบ้าน  และพาไปกวดวิชา จนคุณครูประจำชั้นต้องบอกว่า “คุณเอกน่าจะมีเวลาพักผ่อนบ้างไม่ใช่หักโหมเรียนพิเศษอย่างเดียว”  แต่คุณแม่กลับคิดขัดแย้ง  โดยเห็นว่าสมัยนี้การสอบเอนทรานซ์ไม่ใช่เรื่องง่าย  หากเตรียมตัวไม่ดีอาจสอบไม่ติด 

คุณแม่ได้แต่พร่ำบอกว่าอยากให้คุณเอกเรียนหนังสือเก่ง เพราะจะได้มีอนาคตที่มั่นคงและเลี้ยงตัวเองได้ในอนาคต เนื่องจากคุณเอกไม่มีพี่น้องที่จะพึ่งพาได้ เมื่อฟังคุณแม่พูดคุณเอกก็มุมานะเรียนหนังสือมากขึ้น  ทำให้คุณแม่แอบยิ้มในใจว่าวิธีนี้ดีทำให้ลูกขยัน ซึ่งจะทำให้ลูกประสบความสำเร็จในที่สุด  

แต่ลึกๆลงไปคุณแม่ก็ยอมรับว่า  คุณเอกไม่ใช่คนมีพรสวรรค์วิชาใดวิชาหนึ่ง การที่ได้เกรดดีนั้น เพราะความใส่ใจของคุณเอก  
 

หลังสอบเอนทรานซ์เสร็จ  คุณเอกตัดสินใจจะเลือกคณะที่ชอบ แม้คะแนนจะไม่สูงมาก เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง  หากขืนไปอยู่กับคนเรียนเก่งคงลำบาก 

แต่คุณแม่นึกค้านในใจว่า  ทำไมลูกจะเรียนไม่เก่ง  เพราะสอบได้เกรด ๔ หมดทุกวิชา แต่ความจริงแล้วเกรด ๔ ของคุณเอกนั้น  คือเกรด ๔ ระดับต้นๆ ที่ได้คะแนน ๘๐ 

เมื่อผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยประกาศออกมา  ปรากรากฎว่าคุณเอกติดคณะที่ต้องการ ทำให้คุณเอกมีหน้าตาสดใส เพราะรู้ภาคภูมิใจในสถาบันที่เรียน  ตื่นนอนแต่เช้า  กระตือรือร้นไปเรียนหนังสือ 

แต่สำหรับคุณแม่แล้วกลับคิดว่าลูกเลือกคณะที่ง่ายเกินไป เพราะผลการเรียนที่ผ่านมา คุณเอกได้เกรดถึง ๓.๙  สูงกว่าเพื่อนๆ มาก จนอาจารย์ที่ปรึกษาต้องเรียกคุณแม่มาพบ  เพื่อกล่าวชื่นชม  ที่คุณเอกเป็นเด็กดีเหลือเกิน งานต่างๆ ที่อาจารย์สั่ง คุณเอกทำได้ดีมาก ไม่ให้คะแนนเต็มไม่ได้  และเวลาสอบคุณเอกก็ตอบข้อสอบได้อย่างดี อาจารย์มั่นในว่า ถ้าคุณเอกมีการเรียนสม่ำเสมอเช่นนี้ เมื่อเรียนจบท่านคณบดีอาจให้เป็นอาจารย์ผู้ช่วย และอาจได้ทุนเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอก       เพื่อกลับมาเป็นอาจารย์ที่คณะ  

คุณแม่ฟังด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ  เพราะไม่ใช่คณะที่คุณแม่ต้องการ  เนื่องจากลูกคุณแม่เก่งกว่านี้   ดังนั้นต้องเรียนคณะที่คะแนนสูงกว่านี้ถึงจะสมศักดิ์ศรี

หลังจากสอบเทอมปลายเสร็จ  คุณแม่เข้ามาถามคุณเอกว่าคะแนนเป็นอย่างไรบ้าง คุณเอกยิ้มและตอบว่า “ค่อนข้างดีครับคุณแม่เพราะผมเรียนอย่างเข้าใจและทำรายงานสม่ำเสมอตลอดปี” คุณแม่จ้องหน้าคุณเอกและบอกว่า “ทำไมเอกไม่คิดจะเรียนคณะอื่นที่คะแนนสูงกว่านี้ ในเมื่อศักยภาพของลูกน่าจะทำได้ ลูกน่าจะลองเอนทรานซ์อีกหน เพื่อเลือกคณะวิศวะ”  

คุณเอกหน้าจ๋อยแล้วตอบคุณแม่ว่า “คุณแม่ครับผมไม่เก่งวิทยาศาสตร์ ผมถึงหนีมาเรียนคณะนี้ เด็กที่เรียนวิศวะบางคนวิชาอื่นอาจได้เกรดไม่ถึง ๔  แต่คะแนนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เขาได้ ๙๐ ขึ้นไปผิดกับผมได้ ๘๐ หมดทุกวิชา เพราะเป็นเด็กขยันเรียนเท่านั้นเองครับ” 

คุณแม่เกลี้ยกล่อมทุกวัน จนคุณเอกใจอ่อนลองเอนทรานซ์อีกรอบ  และก็ได้คณะวิศวกรรมศาสตร์ที่คุณแม่ต้องการในที่สุด 

หลังจากคุณเอกได้เข้าไปเรียน  คุณแม่เริ่มเห็นว่าลูกเปลี่ยนแปลงไป ดูท่าทางไม่มีความสุข เศร้าสร้อย  ท้อแท้หมดหวัง  แถมน้ำหนักตัวยังลด คุณแม่จึงสอบถามการเรียนว่าเป็นอย่างไร  คุณเอกหน้าเศร้าและตอบคุณแม่ว่า “คุณแม่ครับผมมองไม่เห็นฝั่ง” 

คำพูดประโยคนี้ทำให้คุณแม่โกรธจนบอกไม่ถูก และยืนยันว่าถ้าลูกสอบเข้าได้  แสดงว่าลูกสามารถเรียนไหว  เพียงแค่ขยันและทุมเทมากขึ้น แล้วคุณแม่ก็ไม่พูดเรื่องนี้อีกเลย  แต่เฝ้าถามคุณเอกว่าถ้าต้องการอะไรให้คุณแม่ช่วยเป็นพิเศษ เช่นตำรา  อาหาร การทำรายงาน หรือเครื่องมือสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ขอให้บอก  คุณแม่จะหาให้ทุกอย่าง

ฝ่ายคุณเอกรู้สึกว่าคณะนี้ไม่เหมาะกับตัวเอง เพราะเพื่อนเก่งครูสอนอะไรก็รู้ไปหมด ในขณะที่คุณเอกแม้พยายามฟังที่ครูสอนแล้ว แต่ก็ไม่สามารถปะติดปะต่อได้  ส่วนคุณแม่ได้แต่บอกให้อดทนเรียนต่อไป  จนระยะหลังคุณเอกเริ่มนอนไม่หลับ  ทำอะไรช้าลง และเริ่มไม่ไปมหาวิทยาลัย นั่นคือสาเหตุที่คุณเอกและคุณแม่มาพบป้าหมอ

คุณเอกเป็นคนไข้ที่ดี และตอบสนองต่อการรักษาดีมาก เพียงประมาณ ๑๐ วันก็ดีวันดีคืน ร่าเริงแจ่มใสจนเหมือนคนปกติ แต่ป้าหมอรู้ว่ากระบวนการรักษายังอีกยาวนาน เพราะอาการที่ดีขึ้นนั้นเกิดจากการใช้ยารักษาระดับสูง 

ป้าหมอรู้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณเอก แต่อยู่ที่ความคาดหวังของคุณแม่  เมื่อคุณเอกอาการดีขึ้น คุณแม่ได้มาบอกป้าหมอว่าจะให้ลูกเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ต่อ แล้วจะพามารักษาอย่างสม่ำเสมอ 

ป้าหมอมองหน้าคุณแม่พร้อมกับถามว่า “คุณแม่อยากได้ลูกชายคืนมาหรืออยากได้ปริญญาวิศวะ” คุณแม่เงียบ  ป้าหมอเลยพูดต่อว่า “คุณแม่เล่าเองว่าลูกเรียนแล้วไม่เห็นฝั่งคุณแม่คิดอย่างไร”  คุณแม่เริ่มร้องไห้ และบอกว่า “ดิฉันคิดว่าถ้าลูกพยายามก็น่าจะเรียนจบ” ป้าหมอจึงต้องเล่าตัวอย่างผู้ป่วยหลายคน  ที่เรียนจบตามความต้องการของพ่อแม่ แล้วเอาปริญญาบัตรมาแขวนไว้ที่ข้างฝา  โดยที่ตัวเองเจ็บป่วยและต้องมารักษากับป้าหมอตลอดชีวิต 

เมื่อคุณแม่สงบลงป้าหมอจึงบอกให้กลับไปคิดทบทวน และขอร้องให้เข้ามาร่วมมือกันรักษาคุณเอก เพราะเป็นทางสุดท้ายที่จะยุติปัญหา  ป้าหมอได้บอกคุณแม่ว่า             "ถึงแม้ว่าวันนี้ดีขึ้นถึงระดับนี้ แต่คุณเอกยังต้องกินยาอีกเป็นปีๆ กว่าที่จะกลายเป็นคุณเอกคนเดิม ”  

อีก ๒ สัปดาห์ต่อมาในวันที่เราจำหน่ายคุณเอก คุณแม่มาพบป้าหมอด้วยใบหน้าโศกเศร้า ดวงตาแดงก่ำ พร้อมกับบอกป้าหมอว่า “ดิฉันตัดสินใจแล้วว่าต้องการลูกคืน            นับจากนี้ไปจะไม่บังคับ ไม่ชักชวน ไม่คะยั้นคะยอ ให้ลูกเดินบนเส้นทางที่เดินไม่ไหว ดิฉันควรจะรักลูกและเห็นใจลูก  ในเมื่อลูกเป็นเด็กดีมาก”    

หลังจากนั้นคุณแม่ได้นำใบรับรองแพทย์จากป้าหมอกลับไปคณะเดิม  เพื่อขอโอกาสให้คุณเอกได้กลับมาเรียนในเทอมต่อไป  ซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาก็กรุณาดูแลเรื่องดังกล่าว จนคุณเอกได้กลับไปเรียนต่อจนจบ 

หลายปีต่อมา  อาจารย์เอกได้ทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ  ระหว่างช่วงปิดภาคเรียนคุณแม่ได้บินไปเยี่ยมอาจารย์เอกที่นั่น  ทั้งสองคนส่งภาพที่ถ่ายจากต่างประเทศมาให้ป้าหมอดูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แสดงว่านี่คือคำตอบของคุณแม่และคุณเอกอย่างแท้จริง 

พ่อแม่ทุกคนรักลูกและปรารถนาอยากให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด  แต่เด็กทุกคนต่างเกิดมาภายใต้ข้อกำหนดเฉพาะตัว  บางคนมีความสามารถอย่างหนึ่ง  บางคนมีอีกอย่าง เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีพ่อแม่และลูกควรปรับความคิด ความเข้าใจกัน เพื่อให้ลูกสามารถใช้ ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ และไม่สับสนหรือหลงในระหว่างเส้นทางของชีวิต โดยที่พ่อแม่ไม่ได้ตั้งใจ
     
    

             

 

 

 

 

 

 


 

    
    
 

ข้อมูลสื่อ

324-014
นิตยสารหมอชาวบ้าน 324
เมษายน 2549
ป้าหมอ