• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ธรรมะช่วยรักษาใจในทุกยาม

ธรรมะช่วยรักษาใจในทุกยาม


ดิฉันเริ่มป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับไขสันหลังอักเสบมาตั้งแต่กลางปี ๒๕๓๑ มีอาการอัมพาตครึ่งตัว ไล่จากปลายเท้าทั้ง ๒ ข้าง ขึ้นมาจนถึงกลางอก ประสาทตาย ขาอ่อนแรง จนกระทั่งสั่งการไม่ได้ แม้แต่จะกระดิกนิ้วเท้า ปัสสาวะไม่ออก เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้เพียง ๑ สัปดาห์ หมอก็อนุญาตให้กลับไปพักที่บ้าน ด้วยเหตุที่ว่าโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน ซึ่งหมอเองก็บอกไม่ได้ว่าเมื่อไรถึงจะหาย

ตอนนั้นดิฉันมีกำลังใจอย่างเดียวเท่านั้นที่คอยแต่คิดว่า "น่าจะหาย คงจะสัก ๒-๓ เดือนกระมัง ถ้าเกิดโชคไม่ดี ไม่หายก็ไม่เป็นไร สมอง คอ แขนและมือยังทำงานได้ จะลองเป็นนักเขียนดู" แต่เอาเข้าจริง เวลาผ่านไปครึ่งปี จึงหัดเดินถือไม้เท้ากลับไปทำงานได้อีก เวลานั้นนึกถึงบุญคุณ คุณหมอมากที่สุด เหมือนท่านมาช่วยชุบชีวิตใหม่ให้ การหายป่วยคราวนั้นเหมือนปฏิหาริย์แท้ๆ ไม่ต้องผ่าตัด กินแต่ยา แม้ว่าเราจะต้องเจอกับผลข้างเคียงของยาก็ต้องยอม ครั้นทิ้งไม้เท้าเดินได้แข็งแล้ว ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนเก่าสมัยประถม ให้ไปปฏิบัติธรรมเจริญสติปัฏฐานกับคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย ๗ วัน ได้รับความรู้พื้นฐานของการเจริญสติ วิธีการเดินจงกรม นั่งสมาธิ กำหนดรู้รูปนาม รู้สึกชอบมาก กลับมาบ้านก็ขยันปฏิบัติอยู่ระยะหนึ่ง นานเข้าก็ถูกกิเลส คือ ความขี้เกียจเข้าครอบงำ เลิกไปตอนไหน ไม่รู้สึกตัวเลย ใครๆ ก็บอกว่า "หมดเคราะห์หมดกรรมแล้วละ" ดิฉันก็พลอยเชื่อตาม เพราะคนเรามักมีนิสัยคอยแต่จะคิดเข้าข้างตัวเองอยู่แล้ว ที่ไหนได้ ๖ ปีให้หลัง บาปตามมาให้ผลอีกแล้ว ถูกรถจักรยานยนต์ชนอย่างแรง จนสลบคาที่ ไปรู้สึกตัวที่โรงพยาบาล คราวนั้นเจ็บด้วย ปวดด้วย เผชิญหน้ากับเวทนาแบบสุดๆ ทั้งโดนเย็บปาก เดชะบุญเป็นด้านในปากตรงกระพุ้งแก้ม กระดูกเชิงกราน กระดูกก้นกบหักอีกหลายแห่ง ถลอกปอกเปิกไปหมดทั้งหน้า ทั้งมือ แข้งขา ทรมานมาก ยังแอบคิดว่าถ้าตายคาที่ไปตรงที่เกิดเหตุคงสบายกว่านี้เยอะ เพราะว่าจะวูบไปเฉยๆ ไม่มีความรู้สึกเจ็บเลยสักนิด ใช้วิบากคราวนั้นอยู่เกือบครึ่งปีอีกเหมือนกัน ต้องหัดเดินกันใหม่อีกรอบ มีเพื่อนผู้ห่วงใยส่งหนังสือสวดมนต์ของพระอาจารย์จรัญ วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี มาให้ ดิฉันสวดมนต์ทุกเช้า วันละหลายจบ เพราะว่าไม่มีอะไรอื่นต้องรีบร้อนทำ ตอนนอนป่วยได้กำลังใจจากหลายๆ ฝ่าย ทั้งเจ้านาย และเพื่อนๆ ที่ทำงาน เพื่อนเก่า ผู้ที่นับถือ ผู้ที่รู้จักมักคุ้น พอทุกคนทราบเรื่องก็จะตามไปเยี่ยมกัน ได้กำลังใจตรงนี้มาก

ช่วงที่ไม่มีใครมาเยี่ยมก็จะนอนร้องเพลงให้ตัวเองฟัง พับกระดาษญี่ปุ่นที่เรียกว่า "โอริงามิ" แจกคนที่มาเยี่ยม แจกพยาบาล อารมณ์ดีมาก ไม่มีวิตกกังวลเลย อาจจะเป็นเพราะรู้อยู่แก่ใจก็ได้ว่า ยังไงๆ กระดูกก็ต้องติด แล้วที่ทำงานก็กรุณาจ่ายเงินเดือนเต็มให้ทุกเดือน ไม่หักเลย ก็เลยทำให้ไม่เครียด ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ที่ทำงานก็มีการทำประกันสุขภาพให้ตัวเองก็ทำประกันอุบัติเหตุไว้ เรียกว่ามีการเตรียมพร้อมล่วงหน้าพอสมควร กว่าจะเดินได้ปกติเหมือนชาวบ้านก็ร่วม ๒ ปี ขาด้านที่ถูกชนมีอาการประสาทตายเป็นบางส่วน โดยเฉพาะที่เท้า นิ้วเท้าจะงอไม่ได้ ยอมรับความพิการในส่วนนี้ แต่คนก็จะมองไม่ออกว่าเคยมีประวัติโชกโชน ทั้งอัมพาต ทั้งรถจักรยานยนต์ชนมาแล้ว เพราะเหมือนคนปกติมาก

เที่ยวนี้กลับไปปฏิบัติวิปัสสนาแบบเข้มข้นจนหยั่งราก แน่นหนาแล้ว ทำเป็นประจำทุกปี เจริญสติแทบตลอดเวลา ไม่ว่าจะเดินอยู่ริมถนน นั่งรถเมล์ เข้าห้องน้ำ คือทำตั้งแต่รู้ตัวตื่นนอนจนหลับ เผลอเมื่อไรนึกได้ต้องรีบกำหนดรู้ ในทางส่วนตัว ดิฉันคิดว่าเท่ากับเป็นการเตรียมตัวเป็นการ "ฉีดวัคซีนให้ชีวิต" ทำให้ไม่กลัวความตายจนเกินไป และเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากับความตายด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ ยอมรับความจริงของชีวิตว่าสังขารเป็นรังของโรคย่อมเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดาเมื่อถึงเวลาของเขายังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ดังปัจฉิมโอวาทของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อานุภาพของการปฏิบัติธรรมมาแสดงให้เห็นเมื่อต้องพบกับวิกฤติสุขภาพครั้งที่ ๓ เมื่อ ๒ ปีที่แล้วนี่เอง อาการอัมพฤกษ์อัมพาตกลับมาอีก แต่น้อยกว่าครั้งแรกมาก เพราะยังพอมีเรี่ยวแรงเดินได้ โดยมีไม้เท้าช่วยพยุงน้ำหนัก

การมาเยือนครั้งนี้ห่างจากครั้งแรกถึง ๑๓-๑๔ ปี มีอาการชาจากแขนลงไปถึงเท้า เริ่มอ่อนแรง ปัสสาวะไม่ออก หมอรีบให้ยาและทำเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กหรือ (ที่เรียกว่า เอ็มอาร์ไอ (MRI)) ทั้งตัวทันที ทีแรกโดนเข้าไปนอนในแคปซูล (ช่องอุโมงค์แคบๆ พอให้ลำตัวเข้าไปได้) รวดเดียว ๒ ชั่วโมงครึ่ง คราวต่อมาโดนอีก ๔ ชั่วโมงรวด ทุกๆ ครั้งดิฉันได้เจริญวิปัสสนาอยู่ในแคปซูลนั่น มีความรู้สึกสงบเยือกเย็นมาก ไม่กลัวเลย ไม่รำคาญเลยมีอยู่คราวหนึ่งเขาฉีดยาเข้าเส้นแต่เส้นแตก เจ็บมากๆ แต่กำหนดดูความรู้สึกเจ็บตั้งแต่เริ่มต้นจนเจ็บมากที่สุด แล้วค่อยๆ จางหายไปเป็นปลิดทิ้ง เห็นไตรลักษณ์ได้ชัดเจนที่สุด เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปในที่สุด ป่วยคราวนี้นอนห้องพิเศษคนเดียว เนื่องจากเป็นตึกเก่า ก็จะไม่มีทั้งโทรทัศน์และโทรศัพท์ให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดิฉันปรารถนาอยู่แล้ว ไม่เรียกร้องให้ใครมานอนเป็นเพื่อนด้วย เพราะพอช่วยตัวเองได้ทุกอย่าง นั่งสวดมนต์ ทำสมาธิ บนเตียงคนไข้ ทั้งเช้าและค่ำ หลังอาหาร เดินจงกรมช่วยย่อยอาหาร ฟังเพลงจากวิทยุเทปที่ญาตินำมาเยี่ยมบ้าง แต่ส่วนมากดิฉันจะพับกระดาษ เพราะนักกายภาพบำบัดของโรงพยาบาลแนะนำให้ทำงานที่ใช้นิ้วทำงานมากๆ อยู่โรงพยาบาล ๒ สัปดาห์ กลับบ้านแล้วไปทำงานได้เลย ก็ต้องค่อยๆ เดิน เพราะก้าวขายังไม่มั่นคงดี ถ้าไม่มั่นใจก็ติดเอาไม้เท้าไปด้วย ขณะเดียวกันก็ยังต้องกินยาไปด้วยตลอด ยังทิ้งยาที่ช่วยคลายอาการเกร็งของกล้ามเนื้อไม่ได้

มีอยู่ช่วงหนึ่ง หมอแนะให้ฉีดยาวันเว้นวัน พอดีดิฉันมีกำหนดไปปฏิบัติธรรมแบบเข้าห้องคนเดียวเป็นเวลา ๑ สัปดาห์ ก็เลยขอฉีดยาเอง พยาบาลก็สอนให้ฉีดเข็มแรกให้ เข็มต่อๆ มา ดิฉันจัดการเอง รวมแล้วก็ ๗๐ กว่าเข็ม เพราะว่าฉีดมาแล้วเป็นเวลา ๖ เดือน ต่อมาได้ตัดสินใจเลิกฉีดยา ไม่ใช่เพราะว่าค่ายาแพงมากเท่านั้น แต่เป็นเพราะอาการข้างเคียงของยาทำให้รู้สึกมึนงง สมองไม่ค่อยแล่น คิดว่ากินยาเท่านั้นดีกว่า เราเป็นคนเจ็บ ก็ต้องรู้จักสังเกตอาการของตัวเอง ใครจะไปรู้ดีกว่าเรา แม้กระทั่งหมอก็เถอะ เพราะว่าหมอเขาไม่ได้มาเจ็บกับเราด้วย มีเพื่อนส่งหนังสือแนะนำอาหารสำหรับโรคที่ดิฉันเป็นอยู่มาให้จากสหรัฐอเมริกา เพราะคนอเมริกันเป็นกันเยอะ คนเอเชียไม่ค่อยเป็นกัน เท่าที่ทราบคนไทยเป็นกันไม่กี่สิบคนโดยเฉพาะผู้หญิง โรคนี้มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "multiple sclerosis"

สาเหตุเกิดจากภูมิคุ้มกันเข้าไปทำลายไขมันหรือเนื้อเยื่อที่หุ้มไขสันหลัง ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ภูมิคุ้มกันกินตัวเอง ดิฉันเรียนรู้การรับอาหารเสริมจากหนังสือเล่มที่ว่านี้  ทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดชื่น และแข็งแรงขึ้นมาก ดิฉันจึงอยากแบ่งปันประสบการณ์ของความเจ็บป่วยในครั้งนี้ให้เพื่อนผู้ป่วยด้วยกันฟัง อยากให้ข้อเขียนของดิฉันเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยด้วยกัน ไม่ต้องเป็นโรคเดียวกับดิฉันก็ได้ เพื่อจุดประกายให้ท่านเริ่มหันมาพิจารณาชีวิตตัวเอง สนใจเรื่องการเจริญภาวนา เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของท่านเอง ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจที่สุด ในฐานะที่เกิดเป็นมนุษย์ที่ต้องพานพบกับสุขทุกข์ด้วยกัน สำหรับดิฉันแล้ว ต้องขอบคุณความทุกข์ เพราะทุกข์ จึงนำดิฉันไปพบธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้ดิฉันรู้จักวางใจในสุข ทุกข์ที่ประสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโรคภัยไข้เจ็บ

ข้อมูลสื่อ

296-006
นิตยสารหมอชาวบ้าน 296
ธันวาคม 2546
ดวงใจ มีกังวาล