ปัจจุบันนับว่าเด็กไทยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงอันตรายอยู่ตลอดเวลา และในแต่ละปีเด็กไทยต้องเสียชีวิตจากอุบัติภัย มากกว่า ๓,๐๐๐ ราย เป็นทารกมากกว่า ๑๐๐ ราย
ผลของโครงการวิจัยเรื่อง “การศึกษาการเฝ้าระวังและจัดการความเสี่ยงต่อความปลอดภัยในเด็ก” ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยมี ผศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ เป็นหัวหน้าโครงการฯ ระบุว่า
สาเหตุการจมน้ำเป็นอันดับ ๑ แต่ละปีเสียชีวิตมากกว่า ๑,๔๐๐ - ๑,๖๐๐ ราย อันดับ ๒จากการจราจร แต่ละปีเสียชีวิตปีละ ๗๐๐– ๙๐๐ ราย นอกนั้นมาจากสาเหตุอื่นๆ เช่น บาดเจ็บจากกระแสไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ขาดอากาศหายใจ น้ำร้อนลวก ตกจากที่สูง สัตว์มีพิษกัด เป็นต้น
เมื่อวิเคราะห์ปัญหาการเสียชีวิตจากอุบัติภัยเหล่านี้ พบว่าต้นเหตุสำคัญเกิดจากการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยง และมีผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายอยู่รอบๆ ตัว
ทั้งนี้ ชุมชน องค์กรท้องถิ่น หน่วยงานรัฐ รวมทั้งผู้ผลิตภาคเอกชน ที่มีหน้าที่ดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ มักดำเนินการโดยขาดการคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็ก และมักคาดหวังให้ผู้ดูแลเด็กทำหน้าที่เฝ้าระวังเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นคราใด จึงไม่มีการสืบเสาะไปถึงรากเหง้าของผู้รับผิดชอบตัวจริง ในการจัดการกับอุบัติภัยเหล่านี้
ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก…ภัยมืดใกล้ตัว
ผลการวิจัยระบุว่า สาเหตุการบาดเจ็บของเด็ก เกิดจากอันตรายของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีอยู่ ดังนั้น จึงต้องทราบว่าผลิตภัณฑ์ใดบ้างมีคุณลักษณะความไม่ปลอดภัยแฝงอยู่ เช่น ผลิตภัณฑ์บางอย่างไม่มีประโยชน์ แถมมีโทษ (เช่น รถหัดเดิน) ผู้ปกครองหลายคน มักเข้าใจผิดว่ารถหัดเดินนั้นจะช่วยให้เด็กเดินได้เร็วขึ้น แต่แท้จริงแล้วกลับฉุดพัฒนาการการเดินของเด็ก หรือหัวนมยางดูดเล่น เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์บางอย่างมีประโยชน์ แต่ก็มีอันตราย เช่น รถจักรยาน ที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อของเด็ก แต่อาจเป็นสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ ถ้าเด็กเผลอขี่ออกมาบนถนน หรือไม่ได้สวมหมวกกันน็อก
ผลิตภัณฑ์บางอย่างมีประโยชน์ แต่มีข้อจำกัดเฉพาะ เช่น โมบาย ใช้สำหรับกระตุ้นสายตาในเด็กเล็ก เป็นต้น
รวมถึงอันตรายจากการไม่บำรุงรักษา เช่น เครื่องเล่นต่างๆ ในสนามเด็กเล่น เป็นต้น
สนามเด็กเล่น…สถานที่เจ็บตัว
ในแต่ละปีพบว่ามีเด็กบาดเจ็บจากเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น สูงถึงปีละ ๓๔,๐๗๕ ราย โดยมักเกิดในเด็กอายุ ๕–๑๒ ขวบ สาเหตุเกิดจากกระดานลื่น ร้อยละ ๔๔ เกิดจากชิงช้า ร้อยละ ๓๓ นอกนั้นเกิดจากเครื่องปีนป่าย ม้าหมุน และอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นการบาดเจ็บของแขนขา ใบหน้า และศีรษะ ที่รุนแรงและพบบ่อยคือกระดูกหักของแขนหรือข้อมือ และการบาดเจ็บศีรษะ
ทั้งนี้เราสามารถพิจารณาลักษณะของสนามเด็กเล่นที่ปลอดภัย โดยดูจากพื้นสนามที่สามารถดูดซับพลังงานจากการตก เช่น พื้นทรายลึก ๓๐ เซนติเมตร พื้นยางสังเคราะห์ เป็นต้น
การจัดวางเครื่องเล่น ควรมีระยะห่างมากกว่า ๑.๘ เมตร ความสูงของเครื่องเล่นที่ไม่ควรเกิน ๑.๘ เมตร สำหรับเครื่องเล่นของเด็กโต ส่วนเด็กเล็กไม่ควรเกิน ๑.๕ เมตร เพราะความสูงยิ่งมากโอกาสเสี่ยงต่อการตกแล้วบาดเจ็บยิ่งมีสูง
เครื่องเล่นที่มีการเคลื่อนไหวทุกชนิด ต้องฝังรากฐานให้มั่นคง เพราะจะทำให้หล่นลงมาทับเด็กได้ และที่นั่งไม่ควรทำจากวัสดุแข็ง เช่น ไม้หรือเหล็ก เพราะเมื่อเด็กกระแทกแล้ว จะทำให้เกิดการบาดเจ็บได้
ปัญหานี้มีทางออก
การป้องกันอุบัติภัยในเด็ก ผู้ปกครองหรือผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ควรมีความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีการประเมินความเสี่ยงของอุปกรณ์ หากเป็นไปได้ควรดัดแปลง เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายจากความเสี่ยงเหล่านั้น
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเด็ก มีอยู่หลายอย่าง เช่น ถังน้ำ เสี่ยงต่อการจมน้ำของเด็กอายุต่ำกว่า ๓ ขวบ เบาะ ที่นอน หมอน ฟูก ผ้าห่ม เสี่ยงต่อการขาดอากาศหายใจ หากนอนคว่ำ ปืนอัดลม เสี่ยงต่อลูกกระสุนกระเด็นเข้าตา ซึ่งเกิดปีละกว่า ๙,๐๐๐ ราย
ส่วนของเล่นเด็ก ควรเลือกสินค้าที่ทางสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) รับรอง
ปัจจุบันเรายังขาดข้อมูลการเฝ้าระวังการบาดเจ็บและเสียชีวิต และการเก็บข้อมูลผลิตภัณฑ์ ที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเด็ก ดังนั้น โปรดอย่าโทษเด็ก หรือยกความผิดทั้งหมดให้แก่พ่อแม่ผู้ดูแลฝ่ายเดียว หน่วยงานของภาครัฐและเอกชน ต้องเข้ามามีส่วนรับผิดชอบด้วย
เพราะการสร้างสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยและลดการบาดเจ็บในเด็ก ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกภาคส่วนของสังคม
- อ่าน 5,827 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้