• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เมื่อรักเป็นพิษ

เมื่อพูดถึง "ความรัก" มีคำจำกัดความหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะความรักของแม่ลูกเป็นความผูกพันแนบแน่นที่เริ่มก่อตัวตั้งแต่แม่เริ่มรู้สึกว่าตั้งครรภ์ และยังเพิ่มพูนขึ้นเมื่อแรกสัมผัสยิ่งได้กินนมแม่และเลี้ยงลูกเองก็จะยิ่งสร้างความผูกพันที่แม่มีต่อลูกให้มากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนลูกจะมีความผูกพันต่อแม่เมื่อเริ่มแยกแยะตัวเองออกจากแม่ อายุได้ประมาณ ๔ เดือนขึ้นไป ความไว้วางใจและความผูกพันที่มีต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ จะสร้างใยแห่งความรักที่เหนียวแน่นมากที่สุดในโลก แต่ไม่ว่าจะเป็นคำจำกัดความแบบใด ทฤษฎี ๓ วงแห่งความรักสามารถอธิบายได้ครอบคลุมดีมาก กล่าวคือ หากเปรียบเทียบให้
วงที่ ๑ คือความปรารถนาทางกาย (Passion = P)
วงที่ ๒ คือ ความผูกพันไว้วางใจ (Intimacy = I)                                                                       
วงที่ ๓ คือ พันธสัญญาทางใจ (Commitment = C)

แผนภูมิแสดง ทฤษฎี ๓ วงแห่งความรัก
ความรักแบบต่างๆ ตามความหมาย
๑ รักใคร่ชอบพอ (Liking ) เป็นความรักแบบผูกพันทั้งแบบพ่อแม่และเพื่อนสนิท
๒ รักแรกพบ (Infatuated Love) เป็นความรักแบบปรารถนาทางร่างกายเรียกว่ารักแบบหลง เช่น เพียงได้รู้จักกันก็พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์แล้ว
๓ รักว่างเปล่า (Empty Love) เป็นความรักแบบพันธสัญญา เช่น การแต่งงานแบบคลุมถุงชนไม่มีเพศสัม-พันธ์ หรือการอยู่ด้วยกันเพียงเพื่อรักษาหน้าตาทางสังคม
๔ รักโรแมนติก (Romantic Love) เป็นความรักแบบที่มีความสัมพันธ์กลมกลืนของความปรารถนาทางร่างกายและความผูกพันต่อกัน เช่น การเป็นแฟนหรือการอยู่ร่วมกันใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน
๕ รักฉันเพื่อนแท้ (Companionate Love) เป็นความรักที่เกิดจากความผูกพันและพันธสัญญาแต่ขาดความ ปรารถนาทางกายหรือมีแต่น้อยมาก เช่น คู่สมรสที่อยู่กันมานานๆ กลายเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก แต่นอนกันคนละห้อง
๖ รักไม่รอบคอบ (Fatuous Love) เป็นความรักที่มีความปรารถนาทางเพศและพันธสัญญาแต่ไม่มีความผูกพัน เช่น คู่สมรสที่แต่งงานอยู่ด้วยกันแบบบังคับ (คลุมถุงชน) แต่มีเพศสัมพันธ์ต่อกัน
๗ รักสมบูรณ์แบบ (Consummate Love) เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบที่มีทั้งความรักความผูกพันไว้วางใจ พันธสัญญาทางใจที่ไม่ทอดทิ้งต่อกัน ความปรารถนาทางกายที่เหมาะสมลงตัว

วัยรุ่นในยุคปัจจุบันจากการสำรวจของเอแบคโพลล์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ พบว่าวัยรุ่นอายุตั้งแต่ ๑๕ ปีขึ้นไป ร้อยละ ๖๑.๗ มีประสบการณ์ด้านการมีแฟนแล้ว ร้อยละ ๕๕ ยอมรับพฤติกรรมเชิงชู้สาว เช่น การจับมือถือแขน โอบไหล่หรือเอว หอม กอด เป็นต้น และร้อยละ ๑๓.๙ ยอมรับพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เพิ่งรู้จักตามสถานที่ เช่น ผับ เธค เป็นต้น

นอกจากนี้ ทัศนะของวัยรุ่นชายและหญิงที่ต่างกัน กล่าวคือวัยรุ่นหญิงยอมรับการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนและทำด้วยความยินยอมโดยมีความคิดว่าเป็นบทพิสูจน์ความรัก ในขณะที่ฝ่ายชายส่วนใหญ่มีเพศสัมพันธ์ด้วยความใคร่

การมีเพศสัมพันธ์ที่เร็วขึ้นโดยปราศจากความไว้วางใจห่วงใยและความผูกพันรวมทั้งการยอมรับตามขนบธรรมเนียมทางประเพณี โดยที่ขาดการป้องกันและทักษะชีวิตที่ไม่เพียงพอกับความเสี่ยงจะนำมาซึ่งรักร้าว หรือรักเป็นพิษอย่างง่ายดาย

พ่อแม่วัยรุ่นไทยมีบทบาทในการสอนเรื่องเพศหรือทักษะชีวิตในการแก้ปัญหาให้แก่ลูกน้อยมากเพียงร้อยละ ๑ ของครอบครัวเท่านั้น เด็กไทยเริ่มเรียนเพศศึกษาและทักษะชีวิตช้าที่สุด คือเมื่ออายุ ๑๓.๕ ปี การพูดคุยเรื่องเพศกับวัยรุ่นนับว่าจำเป็นเพราะหากเรื่องนี้มีการพูดคุยเฉพาะในหมู่เพื่อนฝูง โดยไม่มีการคานน้ำหนักจากผู้ใหญ่ เลย เพศสัมพันธ์ก็มีแนวโน้มจะเป็นเรื่องง่ายและเรื่องสนุกเป็นหลัก ที่น่าเป็นห่วงคือในขณะที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง เช่นนี้แต่การป้องกันกลับยิ่งต่ำมากจนในที่สุดเกิดปัญหาใหญ่ตามมา วัยรุ่นที่รักเป็นพิษก็จะเกิดความเครียด

วิธีจัดการกับความเครียด
วิธีจัดการกับความเครียดมีหลายวิธีให้เลือก ในส่วนของการฝึกปฏิบัติมีให้เลือก  ๒ วิธี การฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อ และการฝึกการหายใจ ไม่จำเป็นต้องฝึกทั้ง ๒ วิธี ให้เลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง
สำหรับการปฏิบัติตัว เมื่อมีความเครียดเริ่มได้ตั้งแต่
๑. ทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่อยากทำ
กิจกรรมที่สร้างสรรค์มีหลายชนิด เช่น อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ วาดรูป ฟังเพลง
๒. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง
กินอาหารให้ครบ ๕ หมู่ ไม่ทำลายสุขภาพตนเองด้วยการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ กินยาบ้าหรือยาเสพติดอื่นๆ
๓. การฟังดนตรีคลายเครียด
เมื่อฟังดนตรีจิตใจจะสบายและพึงพอใจการฟังดนตรีเพื่อคลายเครียดควรเลือกเพลงที่ชอบและควรเป็นเพลงที่มีจังหวะช้าๆ เสียงกลางถึงต่ำ จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความดันเลือด และลดความตึงเครียดของจิตใจ                                                                                                                                                                                      
๔. การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเพื่อคลายเครียด ควรเลือกกีฬาที่ชอบและถนัด ควรเป็นกีฬาที่ต้องออกแรงเต็มที่ เช่น วิ่งเร็ว ยกน้ำหนัก วิดพื้น ตีแบดมินตัน เทนนิส ฟุตบอล ฯลฯ การเล่นกีฬา ถ้าจะเล่นเพื่อคลายเครียดจริงๆ ควรใช้เวลาในการเล่นประมาณครึ่งถึง ๑ ชั่วโมง แล้วแต่ชนิดของกีฬา สำหรับผู้ที่ไม่ถนัดในการเล่นกีฬาอาจใช้กายบริหาร เช่น โยคะ หรือมวยจีนแทนก็ได้ เพราะการฝึกโยคะและมวยจีนทำให้จิตใจมีสมาธิ ลดความฟุ้งซ่านของจิตใจลงได้
๕. การพักผ่อนให้เพียงพอ
เมื่อมีความเครียดร่างกายและจิตใจจะถูกกระตุ้น มากจนทำให้นอนไม่หลับ หลับยากหรือหลับๆ ตื่นๆ ถ้านอนไม่หลับ ลองปฏิบัติดังนี้
ฝึกเข้านอนให้เป็นเวลา เพราะความเคยชินจะทำให้สมองเฉื่อยชา เมื่อได้เวลาหลับ
- หาหนังสืออ่านก่อนนอน ฟังเพลงเบาๆ ที่ไพเราะ หรือฟังเทปธรรมะ
- บางคนเล่นกีฬาตอนเย็นทำให้นอนหลับง่าย บางคนเล่นกีฬาตอนเย็นเป็นประจำทำให้นอนหลับยากเพราะร่างกายถูกกระตุ้นมากเกินไป 
- บางคนออกกำลังกายหรือวิ่งในตอนเช้าจะรู้สึกร่างกายตื่นตัวตลอดวัน เมื่อใกล้เวลานอนจะรู้สึกง่วงและหลับได้ง่ายขึ้น
การออกกำลังกายขึ้นอยู่กับความเหมาะสมแต่ละบุคคล

การจัดการกับอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์
ในที่นี้จะพูดถึงอารมณ์โกรธและขี้อิจฉา เมื่อมีอารมณ์โกรธร่างกายจะเต็มไปด้วยความเครียด ความแค้น อัดแน่นในใจ ส่วนใหญ่มักจะขาดความยั้งคิด ขณะมีอารมณ์โกรธให้รู้ตัวว่ากำลังโกรธ และไม่เปลี่ยนอารมณ์โกรธไปเป็นอารมณ์อื่น เช่น อารมณ์เกลียด ขณะมีอารมณ์โกรธให้นับ ๑-๑๐ หรือหายใจเข้าออกลึกๆ หลายครั้ง หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
ถ้าคุณยังเผชิญหน้ากับคนที่คุณโกรธไม่ได้ ลองเขียนระบายในกระดาษปลดปล่อยความโกรธออกมาเขียนอะไรก็ได้ที่อยากเขียน พออารมณ์สงบ ฉีกกระดาษเป็น  ชิ้นเล็กชิ้นน้อยและทิ้งไปเมื่ออารมณ์สงบแล้วจึงเผชิญหน้ากับคนที่คุณโกรธ
อารมณ์ขี้อิจฉา คนที่มีอารมณ์ขี้อิจฉา หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น
๑. มองในเชิงบวก
มองในแง่ดี หลายๆ คนเมื่อประสบความล้มเหลวในชีวิตมักจะท้อแท้สิ้นหวัง และคิดลงโทษตัวเอง คิดว่าความผิดพลาดทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะตัวเอง ดูถูกตัวเองว่าด้อยคุณค่า ไร้ความสามารถ เศร้าหมอง และหมดกำลังไปตลอดชีวิต แต่บางคนแม้จะพบกับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังมุ่งมั่นบากบั่นไม่ท้อถอย ฝ่าฟันอุปสรรคจนประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะมีกำลังใจที่จะทุ่มเทในการทำงานอย่างมาก
ความคิดในแง่ดี มองอุปสรรคหรือความล้มเหลวว่าเป็นสิ่งท้าทาย เริ่มต้นจากการมองตัวเองในแง่ดี มองว่าตัวเองมีความสามารถอะไรบ้าง เช่น อาจจะทำงานเก่งแต่พูดไม่เก่งก็ควรภาคภูมิในจุดนี้ มองตัวเองในแง่ดี แล้วควรมองผู้คนและเหตุการณ์รอบข้างในแง่ดีด้วย จะทำให้มีความคิดดี อารมณ์แจ่มใส มีสติที่จะแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง
๒. ยอมรับความเปลี่ยนแปลง
ในชีวิตคนเรามักจะพบกับความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงที่ดีจะทำให้จิตใจเป็นสุข ถ้าเปลี่ยนแปลงในทางตรงกันข้ามมักจะยอมรับไม่ได้ ทำให้จิตใจไม่เป็นสุข ลองคิดว่าการเปลี่ยน แปลงต่างๆ มักจะมีเหตุผลในการเปลี่ยน แปลงเสมอ เช่น อยากรวยก็ต้องขยันทำงาน
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ขอให้มองหาเหตุผลว่าเกิดจากอะไร ถ้าหากท่านทุ่มเทกับงานอย่างมาก แต่ไม่ได้รับผลดีเท่าที่คิดไว้ ก็คงต้องทำใจให้ยอมรับ และคิดหาเหตุผลที่จะแก้ไขต่อไป 
ถ้าท่านอกหักขอให้มองที่เหตุผลว่าเป็นเพราะอะไรอาจจะเป็นที่เราเองหรือคนรัก และคงต้องทำใจให้ยอมรับและปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น ในวันข้างหน้าเราอาจจะพบรักคนใหม่ที่เหมาะสมกว่า หรือถ้าไม่พบใครที่เหมาะสมและถูกใจ การอยู่เป็นโสดก็เป็นสุขอีกแบบหนึ่ง
๓. หาคนปรับทุกข์
เมื่อมีความเครียดมักจะเก็บความสับสนและกังวลใจเอาไว้คนเดียวทำให้อึดอัดไม่มีความสุขลองหาคนไว้ใจได้ อาจจะเป็นสามีภรรยา พ่อแม่หรือเพื่อนสนิท พูดระบายความคับข้องใจ ถ้าหากไม่ไว้ใจคนใกล้ชิดก็ลองใช้บริการจากสถานบริการของรัฐ ที่มีบริการสายด่วนสุขภาพจิตก็ได้
๔. หัดเป็นคนมีอารมณ์ขัน ยิ้มหัวเราะ
ชีวิตคนไม่จำเป็นต้องมีสาระตลอดไปหัดเป็นคนมีอารมณ์ขัน ยิ้มและหัวเราะบ้าง เพราะการหัวเราะร่างกายจะผลิตฮอร์โมน "ความสุข" ออกมา นอกจากนั้นการหัวเราะทำให้เลือดขยายตัว ทำให้เลือดไหลเร็วมากขึ้น ทำให้ร่างกาย ภายในอบอุ่น ออกซิเจนไปเลี้ยงทุกเซลล์ของร่างกาย ระบบต่างๆ ของร่างกายจะทำหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ สามารถต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บได้ กระตุ้นให้เจริญอาหาร
หัวเราะ ๑ นาที เท่ากับได้พักผ่อน ๔๕ นาที

ท้ายที่สุดสิ่งที่อยากจะฝาก วัยรุ่นทุกคนให้ดูตัวอย่างความรักของแม่ที่มีต่อลูก แม้ลูกพยา-ยามทดสอบพลังรักของแม่ด้วยการปฏิเสธหรือขัดใจไม่ว่ากี่ครั้งก็ตามแต่พลังความรักหรือสายใยความรักไม่มีทางคลาย แล้วหากท่านเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก การพิสูจน์ความรักด้วยการปฏิเสธ ในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแก่เวลาย่อมจะเป็นบทพิสูจน์พลังรักได้เป็นอย่างดี 

"อกหัก" รักษาได้ด้วยตนเอง
อกหักเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดคิด ผู้หญิงหลายๆ คนก็เลยจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับการสิ้นสุดความสัมพันธ์เมื่อคนรักมาตีจากแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการหนีออกจากบ้าน ประชดแฟน เผื่อเขาจะตามมาง้อ บางคนก็ทำร้ายตัวเอง เขาจะได้สงสารกลับมาดูแลเราอีก บางคนประชดด้วยการกินทุกอย่างที่ขวางหน้า นั่นไม่เพียงแต่ทำให้เขาไม่กลับมา ซ้ำร้ายเรายังหาคนใหม่ไม่ได้ เพราะรูปร่างหน้าตาไม่ดึงดูดซะแล้ว

ทำไมคนรักตีจาก?
เขาหรือเธออาจจะใช้ความอดทนอย่างสุดๆ และรวบรวมความกล้าอย่างมากมาย ในการที่จะบอกเลิกรากับเราแล้ว เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น การมานั่งคอยหวังว่าเขาจะกลับมาอีก คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้น้อยเต็มทน หรือถ้าเขากลับมาจริง คุณทั้งคู่ก็อาจจะต้องมาอยู่กับความรู้สึกเหมือนมีแผลอยู่ในใจ ลบยังไงก็ไม่หมด บางคนถึงกับหวาดระแวงพฤติกรรมของคนรักไปตลอดเลยก็มี 
อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณประสบกับอาการอกหัก สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการใช้ความรุนแรง ลองมาใช้วิธีการที่จะแนะนำต่อไปนี้ในการปรับอารมณ์ และปรับตัวปรับใจของคุณจะดีกว่า
๑. ใช้เวลาของคุณให้เพลิดเพลินไปกับการช็อปปิ้ง หา สถานที่ซึ่งคุณสามารถจะซื้อข้าวของเพื่อมาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่สดใสกว่าเดิม คุณอาจจะหาเพื่อนไปด้วยสักคนหรือสองคน เพื่อให้ช่วยกันออกความเห็นในการสร้างบุคลิกใหม่ ที่น่าดึงดูดใจให้กับคุณได้ด้วย งานนี้ต้องลงทุนกันหน่อย
๒. เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ออกไปจากสถานที่เก่าๆ นี้ซะ บางคนอาจจะถือโอกาสลาพักร้อนไปพักผ่อนไกลๆ จะได้ไม่ต้องมานึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ในสถานที่เดิมๆ อีก แต่อย่าลืมชวนเพื่อนสนิทของคุณไปด้วยละ
๓. ไปออกกำลังกายเพื่อให้รูปร่างของคุณดูดีขึ้น ก็น่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ อย่างน้อยก็เป็นโอกาสที่เราจะได้เริ่มทำอะไรใหม่ๆ อาจจะถือเป็นงานอดิเรกใหม่ๆ หรือการเล่นกีฬาอะไรเป็นประจำ เช่น ตีแบด ตีกอล์ฟ เล่นกีฬา ทางน้ำ หรือบางคนอาจจะไปชกมวยเลยก็ได้ โอกาสนี้ยังอาจทำให้คุณได้พบเพื่อน (ชาย) ใหม่ๆ ด้วย
๔. ตามใจตัวเอง ด้วยการไปอบไอน้ำ นอนแช่อ่าง อย่าไปคิดว่ากิจกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องเสียเวลา เพราะอย่างน้อย มันจะทำให้คุณรู้สึกสบายตัว และมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้
๕. ถ้าคุณอยากร้องไห้ ก็ร้องไปให้เต็มที่เลย คุณอาจจะจัดงานปาร์ตี้เล็กๆ ขึ้นมาสักงานหนึ่ง เพื่อที่จะสลัดความหลัง จากนั้นคุณจะรู้สึกดีขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะนึกขำกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น
๖. จดจำความรู้สึกที่เลวร้าย ไม่ใช่นั่งคิดถึงเรื่องโรแมนติกของคนที่ตีจากคุณไป
๗. ทิ้งอะไรๆ ที่เป็นอนุสรณ์ของความรักเก่า ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย จดหมายรัก จะได้ไม่ต้องหยิบมาดูให้ช้ำใจอีกต่อไป
๘. ทำตัวเองให้ปลอดความเคยชินกับการไปไหนมาไหนเป็นคู่สักพักหนึ่ง แล้วไปหากิจกรรมอื่นๆ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ใส่ความรู้สึกที่ว่าไม่มีอะไรจะมาหยุดคุณได้
๙. อย่าไปคิดว่าช็อกโกแล็ตเป็นสัญลักษณ์แห่ง   ความรัก ถ้าคุณคิดจะกินช็อกโกแล็ตเข้าไป ก็ให้คิดซะว่ามันเป็นขนมแสนอร่อย แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องไขมัน ส่วนเกินเอาไว้บ้างนะ 
๑๐. ออกไปเต้นรำให้สุดเหวี่ยง โชว์ลีลานักเต้นคุณออกมาให้เต็มที่ อาจจะช่วยปลด ปล่อยความรู้สึกเศร้าสูญเสีย ของคุณลงไปได้บ้าง
๑๑. หาเวลาออกไปเที่ยวนอกเมือง โดยคุณอาจจะหาเพื่อนทั้งชายทั้งหญิงกลุ่มใหญ่ไปด้วยกันสักกลุ่ม เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
๑๒. เมื่อคุณปรับเปลี่ยนบรรยากาศมาจนพอสมควรแล้ว ก็ต้องกลับมาเผชิญความจริง
๑๓. หาความรู้ที่สูงขึ้นมาใส่ตัว เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำ ให้คุณรู้สึกว่าตนเองมีค่ามากขึ้น โดยอาจจะไปสมัครเรียนถ่ายภาพ ปีนเขา หรือเข้าอบรมคอมพิวเตอร์เลยก็ได้ ทำตัวของคุณเองให้ยุ่งๆ เข้าไว้ และอีกอย่างหนึ่ง อาจจะมีใครดีๆ ที่คุณจะได้พบในระหว่างการไปเรียนรู้หรือเข้ารับการอบรมนี้ก็ได้
๑๔. หาสัตว์เลี้ยงที่มีความซื่อสัตย์กับคุณมาเลี้ยง ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่เลวเลยทีเดียว
๑๕. ผู้ชายหรือผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลก
"อกหักดีกว่ารักไม่เป็น"

ทำไมต้อง "เลิกกัน"
ถ้าเลือกได้คนที่มีความรักมักไม่ต้องการ "เลิกกัน" แต่ถ้าต้องจากกันขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไรไม่ให้เจ็บเกิน ต่อไปนี้คือความจริง ๑๐ ข้อของการ "เลิกรา" ที่อาจทำให้คุณเจ็บน้อยลงเมื่อต้องจาก อ่านแล้วจะรู้ว่า คนเราจากกันไม่จำเป็นต้อง "ด้วยไม่ดี" เสมอไป แต่ถ้าจำเป็นต้อง "เลิกกัน" จากกันด้วยดีน่าจะดีกว่า
๑. การเลิกกันลำบากใจ ทั้ง ๒ ฝ่าย
เมื่อบอกเลิกกับคุณไปแล้ว เขาคนนั้นเป็นห่วงเป็นใยคุณอยู่นะ เพียงแต่เป็นในฐานะอื่นที่ไม่ใช่แฟน ก็เท่านั้นเอง
๒. ขอให้เชื่อว่าไม่มีใครอยากทำร้ายคนอื่น
โดยเฉพาะกับคนรักกันไม่มีใครคิดร้ายต่อกัน แต่ด้วยสถานการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นกับทั้ง ๒ ฝ่ายมาบรรจบกัน ถ้าคุณคิดจะทำให้เขารู้สึกผิดเพื่อล้มเลิกการบอกลาครั้งนี้ รู้หรือเปล่าว่าคุณไม่เพียงแต่กำลังหลอกตัวเองเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ แล้วจะยิ่งปวดหัวพร้อมกับปวดใจกันเข้าไปใหญ่ในอนาคต
๓. การเลิกกันไม่ได้หมายความว่าคุณทำอะไรผิด
เพียงแต่คุณกับเขาไปกันไม่ได้ และไม่ได้ทำให้คุณค่าในตัวคุณลดลงด้วย
๔. ถ้าคุณอยากจะร้องไห้ ร้องไปเลย
อย่าเผลอไปแสดงอาการฟูมฟายต่อหน้าคนไม่คุ้นเคยเท่านั้นก็พอ ทางที่ดีไปหลบเลียแผลใจกับเพื่อนฝูงหรือครอบครัวจะดีกว่า ยิ่งคุณตัดเขาจากชีวิตเร็วเท่าไหร่ คุณยิ่งจะเยียวยาหัวใจตัวเองได้เร็วเท่านั้น
๕. การเลิกกันไม่ใช่เรื่องง่าย
พยายามบังคับตัวเองให้ได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์หม่นหมองมาครอบงำคุณจนเสียศูนย์ บอกกับตัวเองไว้ ฉันต้องทำได้ ฉันต้องทำได้
๖. เวลาเลิกกันมักจะตามมาด้วยการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปมีแฟนใหม่
ถ้าคุณพบว่าตัวเองโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เมื่อได้ยินว่าอดีตคนรักไปมีแฟนใหม่ รู้ไว้ว่าคุณยังปกติดีอยู่ ปล่อยให้ตัวเองคร่ำครวญหวนไห้ไปเถอะ เพราะนี่คือส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษาแผลใจ เดี๋ยวอีกหน่อยก็ดีขึ้นเอง
๗. ความโกรธไม่มีประโยชน์กับใครทั้งนั้น
เพราะยิ่งคุณร้ายเท่าไหร่ จะยิ่งทำให้ตัวเองดูแย่มากเท่านั้น และคนที่จะรู้สึกแย่ที่สุดในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ตัวคุณเองนั่นล่ะ
๘. ความเจ็บปวดและ "อายชาวบ้าน"
ไม่ต้องไปอายใคร ถ้าก้าวข้ามความอับอายนี้ไปได้ คุณจะหายเจ็บได้เร็วขึ้น
๙. ไม่ควรมีใครเจ็บปวดเพราะความรัก
อย่าทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีกด้วยการรู้สึกอึดอัดคับข้องใจจงอยู่กับความจริง และหาทางระบายอารมณ์โกรธออกมา อย่าอัดอั้นไว้ แล้วความเจ็บปวดก็จะค่อยๆ หายไปเอง
๑๐. จากกันด้วยดี ตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกว่าโลกทั้งโลกพังไปต่อหน้าต่อตา
อนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ คุณกับเขาอาจจะกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้จากกันด้วยดี
ถ้าคุณเลือกปิดฉากความรักครั้งนี้ด้วยความรู้สึกแย่ๆ ต่อกัน เท่ากับคุณปิดโอกาสสำหรับอนาคตลงแล้วอย่างสิ้นเชิง
ถึงจะไม่ได้กลับมาเป็นแฟนกันเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยๆ คุณกับเขาอาจเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ได้

การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
จาก "น้ำกรด"

เมื่อถูกสาดหรือได้รับอันตรายจากน้ำกรด หรือด่าง
ห้ามเช็ดหรือถูบริเวณที่ถูกน้ำกรดเป็นอันขาด
ให้รีบใช้น้ำสะอาดหรือน้ำที่หาได้ ค่อยๆ ราดบริเวณ
ที่ได้รับอันตรายอย่างช้าๆ ให้นานที่สุด
เพื่อเจือจางและบรรเทาความเจ็บปวด
จากนั้นรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว


 

ข้อมูลสื่อ

322-006
นิตยสารหมอชาวบ้าน 322
กุมภาพันธ์ 2549
นพ.สุริยเดว ทรีปาตี