ยาคุมกำเนิดทำงานอย่างไร

เมื่อพูดถึงการคุมกำเนิดแล้ว มีด้วยกันหลายวิธี เช่น การนับวันปลอดภัย การใส่ห่วงคุมกำเนิด การใช้ถุงยางอนามัยของหญิงและชาย การใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิ แต่ถ้าเป็นพวกสารสังเคราะห์ขึ้นมาเป็นยาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นพัฒนาให้เหมาะสมกับภาวะการใช้คุมกำเนิดในรูปแบบต่างๆครับ ซึ่งมีหลากหลายกันไปตามแต่การใช้งาน

1. ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดกิน ซึ่งมีการคิดค้นกันหลายแบบ เช่น มีตัวยาเดียวหรือตัวยาผสมกัน 2 ตัว โดยที่พยายามวิจัยให้มีการใช้ตัวยาน้อยที่สุด แต่ได้ผลในการคุมกำเนิด รวมทั้งข้อที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้องมีผลข้างเคียงที่เราไม่ต้องการน้อยที่สุด
2. ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด มีทั้งฉีดแล้วออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้ 2 หรือ 3 เดือน
3. ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง แบบนี้จะบรรจุยาลงในแคปซูลแบบพิเศษ ขนาดเล็กๆแล้วฝังเข้าใต้ผิวหนัง จะสามารถคุมกำเนิดได้เป็นระยะเวลา 5 ปี


                                                                  

สำหรับวิธีการคุมกำเนิดที่คุณ ผู้หญิงคุ้นเคยและค่อนข้างสะดวกคือ การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด มีใช้กันมาเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้วครับ ส่วนใหญ่ใช้ในประเทศกำลังพัฒนาเนื่องจากว่าประเทศกำลังพัฒนามักจะมีปัญหาเกี่ยวกับประชากรมากเกินไป ควบคู่ไปกับปัญหาอื่นๆอยู่แล้ว ยาเม็ดคุมกำเนิดประเภทนี้ จะบรรจุเป็นแผงมี 21 เม็ดหรือ 28 เม็ดบ้าง เรามาทำความรู้จักกับการทำงานของยาเม็ดคุมกำเนิดดูนะครับ

สำหรับผู้หญิงเราโดยปกติแล้ว จะมีการตกไข่จำนวน 1 ใบในแต่ละเดือนหลังจากหมดประจำเดือนประมาณ 10-15 วัน ซึ่งไข่ของผู้หญิง จะมีอยู่แล้วในรังไข่แต่ละข้าง การตกไข่จะเริ่มต้นโดยการถูกกระตุ้นให้ไข่เจริญเติบโตด้วยฮอร์โมน จากต่อมใต้สมองและสมองส่วนฮัยโปธาลามัส เมื่อไข่สุกเต็มที่จะหลุดออกมาและเดินทางไปตามท่อนำไข่ โดยอาศัยความช่วยเหลือของส่วนปลายสุดของท่อนำไข่ซึ่งมีลักษณะคล้ายนิ้วมือ ขณะที่ไข่กำลังเคลื่อนที่ไปตามท่อนำไข่นี้ หากมีเชื้ออสุจิเข้ามาก็จะเกิดการปฎิสนธิที่นี่ ไข่ที่ถูกผสมแล้วจะเคลื่อนไปฝังตัวที่ผนังมดลูกและจะเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนและทารกต่อไป ดังนั้นเมื่อคุณรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของต่อมใต้สมองและสมองส่วนฮัยโปธาลามัสทำให้ยับยั้งการตกไข่นั่นเอง เมื่อไข่และอสุจิไม่สามารถผสมกันจึงไม่เกิดการตั้งครรภ์

สำหรับการเลือกใช้ยาคุมกำเนิดนั้น คุณสุภาพสตรีควรใช้ด้วยความระมัดระวังก่อนใช้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง หากใช้ยาแล้วเกิดอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันทีนะครับ