• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

AHA และ BHA ขาวเนียนสดใส จริงหรือ?

เครื่องสำอางเป็นสิ่งที่ช่วยปกปิดหรือเสริมแต่งให้คนเราดูดีขึ้น และคงเป็นเพราะคำโฆษณาชวนซื้อที่มักกล่าวถึงสรรพคุณต่างๆ ในด้านชะลอความชราเอาไว้อย่างมากมาย ปัจจุบันเครื่องสำอางชนิดต่างๆ ก็เลยเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้หญิงเรามากขึ้น จนแทบกล่าวได้ว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนเลยที่จะไม่ใช้เครื่องสำอางชนิดใดชนิดหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่ก็รักสวยรักงามกันทั้งนั้น

ตอนนี้ที่ฮิตติดปาก และพูดถึงกันมากว่าสามารถช่วยทำให้ใบหน้าสดใส เรียบเนียน ดูอ่อนกว่าวัย ไร้ร่องรอย ก็คือ กรด AHA และ BHA ที่มักจะเป็นส่วน-ประกอบอยู่ในเครื่องสำอางเกือบทุกยี่ห้อ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ กรดทั้ง ๒ ชนิดนี้คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร และมีข้อดี ข้อเสีย หรือสรรพคุณตามที่ผู้ผลิตสินค้าโฆษณาเอาไว้จริงหรือไม่ ผู้ที่ใช้เครื่องสำอางทุกคนควรจะทราบข้อมูลที่ถูกต้องเอาไว้จะได้ไม่เสียเงินซื้ออะไรง่ายๆ โดยไม่มีประโยชน์

AHA คืออะไร
AHA (เอเอชเอ) ย่อมาจากคำว่า alpha hydroxy acid หมายถึงสารประกอบที่มีฤทธิ์เป็น กรด เป็นสารที่สกัดจากผลไม้ธรรมชาติ เช่น กรด ซิตริกจากมะนาว ส้ม และส้มโอ กรดมัลลิกจาก แอปเปิ้ล กรดไกลโคลิกจากอ้อย กรดแล็กติกจาก นมเปรี้ยว กรดทาร์ทาลิกจากมะขาม และไวน์
 
ที่จริงเรื่องของกรดผลไม้ไม่ใช่สิ่งที่ค้นพบใหม่ แต่มีมานานเป็นพันปีแล้ว อย่างในประวัติศาสตร์สมัยพระนางคลีโอพัตรา ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด ก็จะอาบน้ำนม (ซึ่งมีกรดแล็กติก) โดยช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง หรืออีกตัวอย่างที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาคือ พระนางมารีอังตัวเนส พระราชินีในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ที่ชอบเอาไวน์แดงมาอาบเพื่อให้ผิวสวย

ปัจจุบันเอเอชเอหรือกรดผลไม้ นิยมใช้กันมากในวงการแพทย์ผิวหนัง เพื่อใช้รักษาสิว ฝ้า รอยด่างดำ ริ้วรอยเหี่ยวย่น และติ่งเนื้อเล็กๆ บริเวณใบหน้าและลำคอ และวงการเครื่องสำอางที่ชูประเด็นการโฆษณาว่าช่วยชะลอริ้วรอยไม่ให้แก่ก่อนวัย

เอเอชเอในเครื่องสำอางช่วยชะลอความชราได้จริงหรือ
ผิวพรรณของผู้หญิงเราจะดูสดใส เต่งตึง มีน้ำมีนวลมากที่สุดก็ในช่วงวัยอายุ ๒๐ ปี ซึ่งเซลล์ต่างๆ จะทำหน้าที่ของมันอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเซลล์เก่าตายเซลล์ใหม่ก็ขึ้นมาทดแทนที่ได้ทันที แต่พออายุย่างเข้าเลข ๓ เลข ๔ กระบวนการตามธรรมชาติ นี้ก็เริ่มมีปัญหา การแบ่งตัวของเซลล์จะไม่ค่อยดี เซลล์เก่าที่ตายแล้วมักไม่ยอมหลุดลอกออกไปง่ายๆ ขณะเดียวกันก็เกาะรวมกันไม่ยอมให้เซลล์ใหม่ๆขึ้นมาทำหน้าที่หมุนเวียน ทำให้ใบหน้าที่หมองคล้ำด้วยแสงแดดและมลภาวะยิ่งดูแย่ขึ้นไปอีก

ตอนนี้เองที่กรดผลไม้เข้ามามีบทบาทในการ ช่วยผลัดเซลล์ผิว(แก่ๆ) ด้วยการทำหน้าที่เสมือนกรรไกรคอยตัดเซลล์ที่เกาะกันอยู่ให้แยกจากกัน และหลุดลอกออกไปในที่สุด พูดง่ายๆ คือ กรดผลไม้จะช่วยให้เซลล์เก่าๆบนผิวหน้าของเราหลุดออกไปเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้เซลล์ใหม่ๆ(บริเวณหนังกำพร้า)เจริญขึ้นมาแทนที่ พร้อมทั้งช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อ (คอลลาเจน) ในชั้น หนังแท้ด้วย (ถ้าใช้มาเป็นระยะเวลานานพอสมควร) เป็นผลให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน และขาวสดใสกว่าเดิม (เล็กน้อย)

โดยความเป็นจริง ริ้วรอยต่างๆบนใบหน้าของเราที่สามารถรักษาได้ด้วยกรดผลไม้นั้น หมายถึงริ้วรอยที่ไม่ลึกนัก ซึ่งหากเป็นรอยตื้นๆ มักจะดีขึ้นภายใน ๖ สัปดาห์ ส่วนริ้วรอยขนาดปานกลางจะใช้เวลาประมาณ ๓ เดือนขึ้นไป แต่หากริ้วรอยลึกมากกรดผลไม้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ คงต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงแต่โดยดี

สำหรับความเข้มข้นของกรดผลไม้ที่จะให้ผลตามที่กล่าวมาข้างต้น จะต้องมีความเป็นกรดและต้องมีความเข้มข้นมากกว่า ๑๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป (๒๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์) ถ้ามีความเข้มข้น มากก็ย่อมได้ผลมากขึ้น แต่ความระคายเคืองของผิวหนังก็จะตามมาด้วย ซึ่งควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ที่มีความรู้จริง (เป็นการ ใช้เพื่อรักษาผู้ที่มีปัญหาบริเวณใบหน้า)

ส่วนกรดผลไม้ที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอางที่โฆษณาว่าช่วยชะลอ ความชราหรือลดริ้วรอยต่างๆนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้ผล เพราะความเข้มข้นต่ำกว่า ๕ เปอร์เซ็นต์ (แต่ปลอดภัยในแง่ที่ว่าไม่ระคายเคืองต่อผิวและไม่ไวต่อแสงแดด)

ส่วนที่ผู้หญิงหลายๆคน นิยมนำเอามะเขือเทศ หรือแตงกวามาพอกหน้าเพื่อให้ผิวเนียนนุ่มนั้น ก็คงช่วยได้บ้างเล็กน้อยในขณะที่ทำ เพราะฤทธิ์ของกรดเอเอชเอไม่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากเท่าไร เพราะกรดเอเอชเอในผักผลไม้สดมีอยู่จำนวนเล็กน้อย ไม่เหมือนกับที่ใช้ในทางการแพทย์ ที่ต้องผ่านกระบวนการสกัดเพื่อให้ได้กรดเอเอชเอบริสุทธิ์ มาผสมเป็นยาในขนาดความเข้มข้นสูงๆ
 
ผลข้างเคียงของกรดเอเอชเอ
กรดเอเอชเอในปริมาณความเข้มข้นสูง แม้จะมีคุณสมบัติที่ดีในการขจัดเซลล์ผิวแก่ๆ ให้หลุดลอกเร็วขึ้น ทำให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ เป็นผลให้ผิวหนังดูเรียบเนียน สดใสขึ้น แต่ขณะเดียวกัน กรดเอเอชเอในปริมาณความเข้มข้นสูงทำให้ผิวเกิดความระคายเคือง เกิดผื่นคัน และไวต่อแสงแดด(แพ้แสงแดด)ได้มากเช่นกัน บางครั้งจะทำให้เกิดรอยดำ โดยเฉพาะในผิวคนไทย ซึ่งทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังมากขึ้นด้วย

การที่ไปทำลายเซลล์ผิวชั้นนอกสุด ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องเซลล์ผิวชั้นล่างๆ รักษาความชุ่มชื้น ป้องกันการติดเชื้อ ต่อต้านมลภาวะ โดยเฉพาะแสงยูวี อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งและริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย ทำให้มีข้อสงสัยว่า การใช้เป็นระยะเวลานานจะมีผลต่อผิวหนังอย่างไร และการใช้เป็นระยะเวลานานก็ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันแน่นอนว่าจะไม่เป็นอันตรายอะไรเลย แม้แต่การใช้โดยแพทย์เองก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดอาการแพ้ แต่แพทย์จะทราบว่าเมื่อมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น จะต้องแก้ไขอย่างไร
 
คำแนะนำในการใช้กรดเอเอชเอ
๑. เลือกใช้เอเอชเอที่รู้ความเข้มข้นของสูตร ใช้ในระดับที่ไม่สูงจนเกิดความระคายเคือง
๒. ใช้ครีมกันแดดร่วมด้วยเป็นประจำทุกวัน
๓. หากใช้แล้วเกิดระคายเคืองหรือเกิดผื่น ควรหยุดใช้ทันที แล้วรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
๔. การใช้เอเอชเอต้องใช้อย่างต่อเนื่อง หากหยุดใช้ ผิวก็จะเหมือนเดิม
๕. สำหรับวัยสาวที่ผิวพรรณดูดีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้เลย

นอกจากเอเอชเอแล้ว ปัจจุบันบีเอชเอก็มาแรงแซงหน้าเอเอชเอไปหลายก้าว ด้วยคุณสมบัติที่อ้างว่าสามารถเร่งการผลัดผิวที่ดีกว่าเอเอชเอถึง ๕ เท่า และนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้หญิงหลายคนอยากรู้ ว่ามันคืออะไร และดีกว่ากรดผลไม้ หรือเอเอชเอ อย่างไรบ้าง



BHA คืออะไร
BHA (บีเอชเอ) ย่อมาจากคำว่า beta hydroxy acid เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมา มีคุณสมบัติทนต่อ ความร้อน ไม่เสื่อมง่ายเหมือนเอเอชเอ ที่สกัดมาจากธรรมชาติ สารในตระกูลบีเอชเอตัวหนึ่งที่เรารู้จัก กันดี ก็คือ กรดซาลิกไซลิก (salicylic acid) จากพริก ที่มีฤทธิ์ปวดแสบปวดร้อน ที่นิยมนำมาทำยาหม่อง
 
ความจริงบีเอชเอไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นสารที่ใช้ในวงการแพทย์ผิวหนังมานานกว่า ๔๐ ปีแล้ว โดยเป็นสารที่ใช้ผสมในยารักษาหูด ส้นเท้าแตก โรคผิวหนังชนิดอักเสบเรื้อรัง คนที่มีฝ่ามือฝ่าเท้าหนา มาก ซึ่งบีเอชเอจะมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังชั้นขี้ไคลผลัดตัวเร็วขึ้นดีกว่าเอเอชเอ แต่ก็จะทำให้ผิวหน้าระคาย-เคือง ลอกเป็นขุย แดง แสบและคันได้ง่าย จึงต้องใช้ในความเข้มข้นที่ค่อนข้างต่ำ เช่น ๐.๕-๑ เปอร์เซ็นต์ หากใช้ในความเข้มข้นที่มากกว่านี้ ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ สำหรับในเครื่องสำอางให้มีความเข้มข้นได้ไม่เกิน ๓ เปอร์เซ็นต์

ผลข้างเคียงของบีเอชเอ
บีเอชเอในปริมาณความเข้มข้นสูงๆก็มีผลเสียต่อผิวหนัง ไม่ต่างจากการใช้เอเอชเอ นั่นคือ การระคายเคือง ลอก แดง ทำให้ผิวบางลงและไวต่อ แสงแดด ซึ่งอาจทำให้ภูมิต้านทานโรคของเซลล์ผิวหนังต่ำลงด้วย อาจจะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
 
จะเห็นว่าเอเอชเอและบีเอชเอต่างก็มีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัวของมันเอง ซึ่งหากใช้อย่างระมัดระวัง และถูกต้อง ก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างในแง่ของความสวยงาม แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เครื่องสำอางใน บ้านเรามักไม่ค่อยบอกว่า มีส่วนผสมอะไร ในปริมาณเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ผู้บริโภคก็จะมีความเสี่ยง ถ้าหากว่าเครื่องสำอางที่ใช้มี เอเอชเอและบีเอชเอในปริมาณสูงเกินไป

ข้อมูลสื่อ

239-002
นิตยสารหมอชาวบ้าน 239
มีนาคม 2542
บทความพิเศษ