• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

รักสุขภาพอย่างประหยัด

รักสุขภาพอย่างประหยัด


ในภาวะเศรษฐกิจภายใต้ไอเอ็มเอฟมีหลายคนที่พูดถึงการพึงตนเองเพื่อให้อยู่รอดได้ การพึ่งตนเองในเรื่องสุขภาพก็เป็นอีกประเด็นที่ควรพูดถึง เพราะปัจจุบันเรานำเข้ายาจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และในภาวะที่ค่าเงินบาทลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มสูงขึ้นถึงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ย่อมทำให้ค่ายาเพิ่มสูงขึ้นมาก ดังนั้นการปฏิบัติตนเองให้มีสุขภาพดี จึงเป็นอีกหนทางในยุคไอเอ็มเอฟนี้

เมื่อพูดถึงการปฏิบัติตนเองเพื่อสุขภาพและการประหยัด หลายคนอาจจะนึกไม่ออกว่าควรทำอย่างไร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งทางกาย จิต และสังคม ตัวอย่างการปฏิบัติที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จสำหรับทุกคน ท่านอาจนำไปเป็นแนวทางหรือดัดแปลงให้เข้ากับสภาพของตัวเอง ท่านใดปฏิบัติได้ผลอย่างไร หรือคิดค้นวิธีใหม่ๆได้ เขียนมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ


การนอน

การนอนถือเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด แต่หากปฏิบัติไม่เหมาะสมการนอนนั้นก็อาจไม่มีคุณภาพเพียงพอสำหรับการพักผ่อน

- ผู้ใหญ่ควรนอนหลับอย่างน้อย ๖ – ๘ ชั่วโมง

- ควรเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลา จนเกิดความเคยชิน

- ก่อนนอนไม่ควรทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงกายมากเกินไป เพราะจะไปกระตุ้นสมองทำให้นอนไม่หลับได้

- ก่อนนอนประมาณ ๖ ชั่วโมงไม่ควรดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้นอนไม่หลับหรือ นอนหลับยาก

- ก่อนนอนไม่ควรอ่านหนังสือหรือดูหนังที่ดุเดือดตื่นเต้น ประเภทฆาตกรรม หนังผี เพราะทำให้สมองถูกกระตุ้นให้ตื่นเต้น ก่อนที่จะนอนจึงควรเป็นเวลาที่สมองค่อยๆผ่อนคลาย พักผ่อน

- หากท่านเพลียจนรู้สึกง่วงจนอยากเอาหัวซุกหมอน หลับไปเลย อย่าล้มตัวลงนอนทันที ให้ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแล้วค่อยล้มตัวลงนอน จะพบว่าคุณนอนหลับด้วยความสบายมากกว่านอนโดยความรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน

- ก่อนนอนอาจจะดื่มน้ำเย็นๆสักแก้ว จะช่วยให้หลับสบายขึ้น

- ก่อนนอนให้ตรวจดูประตูหน้าต่าง และไฟดวงที่ไม่จำเป็น ว่าปิดหมดหรือยัง รวมทั้งถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ได้ใช้ด้วยค่ะ


การชำระล้างร่างกาย

เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน อากาศจึงร้อนและมีเหงื่อมาก คนไทยจึงอาบน้ำบ่อยกว่าคนในประทศหนาว การชำระล้างร่างกายไม่ได้สกัดเพียงการอาบน้ำเท่านั้น รวมถึงการแปรงฟัน ล้างมือ ล้างเท้า ฯลฯ

การแปรงฟัน

- ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ ๒ ครั้ง คือ ก่อนนอน และตื่นนอน

- ยาสีฟันควรใช้เพียงเล็กน้อยแต่ละครั้งควรบีบยาสีฟันประมาณเมล็ดถั่วเหลือง เพราะหัวใจที่สำคัญของการรักษาสุขภาพฟัน คือ การแปรงฟันให้ถูกวิธี

- วิธีการแปรงฟัน ให้ปัดขนแปรงขึ้นและลง สำหรับช่วงบดเคี้ยวให้ใช้การถู แต่ละจุดให้แปรงนานประมาณ ๑๐-๓๐ วินาที หรือประมาณ ๑๐ ครั้ง ดังนั้นการแปรงฟันให้ทั่วปากจะใช้เวลาประมาณ ๓-๔ นาที หรืออาจใช้วิธีแปรงฟันนานประมาณ ๑ เพลงจบ (ซึ่งเพลงจะยาวประมาณ ๓-๔ นาที) การแปรงฟันที่ใช้เวลาน้อยกว่า ๑ นาทีจะไม่มีประโยชน์เลย เพราะฟลูออไรด์ในยาสีฟันยังไม่ทันได้ทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุในฟัน ควรหาภาชนะรองน้ำ เพื่อเป็นการประหยัดน้ำ

- ไม่ควรเปิดน้ำทิ้งไว้ระหว่างแปรงฟัน ควรหาภาชนะรองน้ำ เพื่อเป็นการประหยัดน้ำ

ล้างมือ

มือเป็นสื่อที่จะนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องล้างมือตลอดเวลานะคะ เพราะหากล้างมือบ่อยเกินไปก็อาจทำให้เป็นโรคผิวหนังได้

- หลังอ่านหนังสือพิมพ์ จะพบว่ามือเลอะหมึกพิมพ์ ซึ่งมีสารตะกั่วและสารเคมีต่างๆ หากเราไม่ได้ล้างมือแล้วไปหยิบจับอาหารเราก็จะได้รับสารเคมีเข้าไปด้วย

- หลังจากถ่ายหนัก ถ่ายเบา เมื่อเสร็จภารกิจในห้องน้ำ จำเป็นต้องล้างมือทุกครั้งนะคะ เพราะอาจได้รับเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหาร

- หลังกลับจากข้างนอนเพราะในการเดินทางหรือออกไปข้างนอก มือเราจะสัมผัสสิ่งต่างๆที่อาจมีเชื้อโรค เช่น โหนรถเมล์ ราวที่โหนคงไม่มีใครคอยทำความสะอาด คนที่โหนบางคนอาจจะเป็นหวัด เป็นตาแดง เมื่อเราจับเราจึงอาจได้รับเชื้อมา ขณะเดียวกัน เราก็อาจเป็นผู้ถ่ายทอดเชื้อโรคให้ผู้อื่นได้เช่นกัน

- หลังทำกิจกรรมใดๆ ที่อาจได้รับเชื้อโรค เช่น พรวนดิน ล้างรถ ทำความสะอาดบ้าน ควรล้างมือทุกครั้ง

- การล้างมือไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ฆ่าเชื้อพิเศษใดๆ สบู่ธรรมดาก็สามารถล้างสิ่งสกปรกออกได้

อาบน้ำ

- คนเราควรอาบน้ำอย่างน้อยวันละ ๒ ครั้ง

- ในการอาบน้ำตอนเช้า อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้สบู่มากนัก เนื่องจากกลางคืนร่างกายไม่ค่อยได้รับสิ่งสกปรกเท่าใด และการใช้สบู่มากเกินไป สบู่จะไปชำระล้างไขมันที่เคลือบผิวตามธรรมชาติออกทำให้ผิวแห้ง ตึง และลอกเป็นขุยได้ จนบางคนนึกว่าตัวเองเป็นโรคผิวหนัง ที่แท้ผิวแห้งเกินไปนั่นเอง

- การอาบน้ำตอนกลางคืนควรจะพิถีพิถันมากเป็นพิเศษ เพราะช่วงกลางวันคนเราจะมีกิจกรรมหลากหลายมาก และร่างกายจะได้รับฝุ่น ควันรถต่างๆ ในการอาบน้ำควรจะถูให้ทั่วตัวเป็นการนวดคลายกล้ามเนื้อไปในตัวด้วย และช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนดี อย่าลืมนวดเท้าด้วยนะคะ เพราะเท้าเป็นอวัยวะที่รับใช้เราอย่างซื่อสัตย์มาตลอดวัน

- ควรอาบน้ำจากฝักบัวหรือใช้ขันตักอาบ แทนการนอนแช่ในอ่างอาบน้ำ เพราะประหยัดน้ำกว่ากันเยอะ และไม่ทำให้ผิวเหี่ยวด้วยค่ะ

- เมื่ออาบน้ำเสร็จ เช็ดตัวให้แห้งแล้วจึงใส่เสื้อผ้า การใส่เสื้อผ้าทั้งที่ตัวยังชื้นอาจทำให้ไม่สบายได้นะคะ

ล้างหน้า

- เมื่อกลับมาจากข้างนอกให้ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าแทนการใช้กระดาษทิชชูเช็ด เพราะอาจทำให้ฝุ่นไปอุดตันรูขุมขน และกระดาษทิชชูมักไม่ค่อยสะอาด บางคนจึงอาจแพ้กระดาษทิชชูได้

- หากคุณแต่งหน้า เมื่อกลับมาถึงบ้าน รีบเช็ดเครื่องสำอางออกและล้างหน้า เพื่อให้ผิวหน้าได้พักผ่อน

สระผม

- เราควรสระผมสัปดาห์ละไม่น้อยกว่า ๓ ครั้ง หรือสระวันเว้นวัน

- แชมพู ที่ใช้จะเป็นแชมพูอะไรก็ได้ เพราะโดยหลักๆ แชมพูก็มีสารหลักเหมือนๆกัน

- ปัจจุบันนิยมหันมาใช้แชมพูสมุนไพรกันมาก ซึ่งมีขายโดยทั่วไป หากที่ไหนหาซื้อไม่ได้แต่อยากใช้สมุนไพร ขอแนะนำให้ใช้มะกรูดค่ะ โดยนำลูกมะกรูดมาลนไฟ แล้วปอกแต่ผิวๆ นำมาตำให้ละเอียด นำผลที่เหลือมาคั้นน้ำใส่ลงในผิวมะกรูดที่ตำแล้ว เท่านี้คุณก็มีแชมพูสมุนไพรใช้โดยไม่ยากค่ะ รับรองว่าใช้แล้วผมจะดำ สลวยสวยเก๋แน่นอนค่ะ

อาหารการกิน

- ในทางโภชนาการอาหารมื้อเช้า เป็นมื้อที่สำคัญที่สุด เนื่องจากต้องมีพลังงานเพียงพอสำหรับที่ร่างกายต้องนำไปใช้ตลอดทั้งวัน ดังนั้นการไม่กินอาหารมื้อเช้า จึงเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง

- อาหารมื้อเย็นของหลายครอบครัวถือเป็นเวลาที่คนในครอบครัวไม่ต้องรีบร้อน จึงมักกินอาหารมากกว่ามื้ออื่นๆ ตามหลักความจริงมื้อค่ำควรเป็นมื้อที่กินอาหารน้อยที่สุด เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เข้านอน ร่างกายไม่ต้องใช้พลังงานมาก

- เวลากินอาหาร เราเคยชินกับการกินข้าวขาวมานาน จนลืมข้าวกล้องที่มีคุณค่าอาหารมากมาย แต่การหาข้าวกล้องนอกบ้านกินก็เป็นเรื่องยาก ดังนั้นโอกาสที่ดีที่สุด คือ ทำกินเองในช่วงเช้า โดยตื่นเช้ากว่าปกติสักนิด แช่ข้าวกล้องประมาณครึ่งชั่วโมง และนำมาหุงเช่นเดียวกับข้าวขาว ท่านก็จะมีข้าวกล้องที่มากไปด้วยคุณค่าไว้กิน

- ควรกินอาหารไทย ซึ่งเป็นอาหารสุขภาพที่มีพืชผักมาก อาหารของฝรั่งมักมีไขมันและโปรตีนสูง ซึ่งเหมาะกับชนชาติ ภูมิอากาศ ภูมิประเทศของเขา

- เวลากินอาหาร เรามักกินอาหารด้วยความเร่งรีบ จนลืมเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ทำให้กระเพาะต้องทำงานหนัก ปกติถ้าให้อาหารละเอียดพอควร เราต้องเคี้ยวประมาณ ๓๐-๕๐ ครั้งต่อคำ การเคี้ยวให้นานเป็นการเจริญสติในการกินอาหารไปในตัว

- ควรกินอาหารหลากหลาย หลีกเลี่ยงอาหารซ้ำซาก ผ่านการปรุงหลายขั้นตอน รวมทั้งอาหารไขมันสูง

- ควรฝึกลูกหลานให้กินผักเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน

- หากคุณเลือกซื้ออาหารโดยพิจารณาที่คุณค่า คุณจะพบว่าอาหารที่มีคุณค่าสูงไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง

- น้ำที่ดื่มควรเป็นน้ำเปล่าที่อุณหภูมิปกติ ไม่ควรเป็นน้ำที่เย็นเกินไป การดื่มน้ำอัดลม ทำให้ได้รับน้ำตาลจำนวนมากโดยไม่รู้ตัว เมื่อดื่มแล้วจะทำให้ยิ่งกระหายน้ำ


อันที่จริงเราสามารถทำน้ำสมุนไพรหรือซื้อแบบสำเร็จรูปมาชงดื่ม ซึ่งให้คุณค่าต่อสุขภาพ เช่น รู้สึกท้องอืดท้องเฟ้อ ลองชงน้ำตะไคร้หอมดื่มดู รู้สึกเมารถเมาเรือ คลื่นไส้ อาเจียน ดื่มน้ำขิงบรรเทาอาการและป้องกันได้ รู้สึกร้อนใน ดื่มน้ำมะตูม เก๊กฮวย หรือใบบัวบก รู้สึกระคายคออาจกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ

ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่ตื่นนอนไปจนกระทั่งถึงเย็นเลยทีเดียว แล้วแต่ใครจะสะดวกช่วงไหน แต่บางอย่างที่แนะนำ ก็เป็นเพียงการยืดเส้นสายเท่านั้นนะคะ ไม่ถือว่าเป็นการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายที่ได้ผล ควรประมาณ ๒๐-๓๐ นาทีขึ้นไป และควรออกจนมีเหงื่อออก ซึ่งเป็นข้อที่สังเกตได้ง่ายกว่าการที่จะบอกว่าต้องออกให้หัวใจเต้นเร็วเท่านั้นเท่านี้ หรือต้องใช้พลังงานไปกี่แคลอรี่ ซึ่งเราสังเกตตัวเองได้ยาก

- เมื่อลืมตาตื่นขึ้นบนเตียง ควรยืดเส้นสายบนเตียงประมาณ ๕-๑๐ นาที เพราะการที่เรานอนเป็นระยะเวลานานๆ กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และส่วนต่างๆ ได้พักอยู่เป็นเวลานาน ความคล่องตัวจะลดลง ข้อต่างๆจะฝืด ถ้าได้ขยับหรือเหยียดข้อต่อสักครู่ จะทำให้ร่างกายคืนสู่ปกติค่ะ (อ่านเรื่องการบริหารบนเตียงนอนของอาจารย์ประโยชน์ บุญสินสุข และคณะ ในหมอชาวบ้าน ฉบับที่ ๒๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ หน้า ๒๗)

- ท่านที่พอมีเวลาเช้าๆ หรือตอนเย็น ควรออกกำลังกายด้วยการวิ่งหรือเดิน เนื่องจากเป็นการออกกำลังกายที่ถูกมาก เหมาะกับยุคไอเอ็มเอฟค่ะ

- หากคุณไม่มีเวลามากพอ ขอแนะนำดังต่อไปนี้ค่ะ

  • ใช้การเดินทางเป็นการออกกำลังกาย เช่น เดินออกจากซอยแทนการนั่งมอเตอร์ไซต์ ไปซื้อของใกล้ๆให้เดินไป หากต้องไปทำงานเป็นระยะทางไกลๆ คุณอาจจะลงก่อนถึงจุดหมายแล้วเดินไปแทน คุณผู้หญิงบางคนอาจถามว่า แล้วการเดินช็อปปิ้งถือว่าเป็นการออกกำลังกายมั้ยคะ ก็ต้องดูว่าคุณเดินอย่างไร หากเดินช้าๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นการออกกำลังกาย แต่ถ้าเดินเร็วๆ และต่อเนื่องครั้งละอย่างน้อย ๑๐ นาที ทำวันละ ๒-๓ ครั้ง รวมกันให้ได้ ๓๐ นาที เป็นอย่างน้อย ก็จัดว่าเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพได้ค่ะ
  • ใช้การเดินขึ้นบันได แทนการขึ้นลิฟต์
  • ดัดแปลงงานบ้านต่างๆ แทนการออกกำลังกาย เช่น ซักผ้าด้วยมือแทนการใช้เครื่อง ทำความสะอาดบ้าน ทำสวนแต่งสวน ล้างรถ ฯลฯ

- เลิกงานก่อนกลับบ้าน คุณอาจจะชวนเพื่อนร่วมงานไปออกกำลังกายด้วยกันเพื่อความสนุก และเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีด้วยค่ะ
- ขณะออกกำลังกายฝึกการเจริญสติไปด้วย (อ่านวิ่งสู่สภาวะนิรันดร์ของ น.พ.ประเวศ วะสี) เช่น ขณะเดินให้จิตจับอยู่ที่การก้าว เมื่อเท้าขวาก้าว จิตก็รู้ว่าเท้าขวาก้าว เมื่อเท้าซ้ายก้าว จิตก็รู้อยู่ที่เท้าซ้าย ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าทำอะไรก็ตามเราสามารถฝึกเจริญสติได้ทั้งสิ้น

การทำงาน

เมื่อเดินเข้าสำนักงานให้ยิ้มทักทายกับเพื่อนร่วมงานก่อนนะคะ เพราะการยิ้มเป็นการเชื่อมสัมพันธ์แล้วทำให้จิตใจรู้สึกดี มีความสุข ทำให้ทำงานอย่างมีความสุขขึ้นค่ะ แต่ไม่ต้องถึงขนาดยิ้มคนเดียวทั้งวันนะคะ

- ท่านที่ต้องทำงานนั่งโต๊ะ ควรให้สายตาห่างจากโต๊ะประมาณ ๑ ฟุตนะคะ และมีแสงสว่างพอเพียง ไม่ควรนั่งก้มหน้ามากเกินไป เพราะจะทำให้เสียบุคลิก และมีผลเสียต่อสายตาค่ะ

- การรักษาอิริยาบถในการนั่งทำงาน ยืน เดิน ยกของ หรือนอน โดยให้แผ่นหลังอยู่ในแนวตรงเสมอ จะป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดคอ ปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดข้อต่างๆได้ การมีสติในทุกอิริยาบถประจำวันทำให้หลีกเลี่ยงจากการเจ็บป่วยได้

- การทำงานติดต่อกันนานๆ อาจทำให้เมื่อยล้า ควรเปลี่ยนอิริยาบถ เพื่อพักสายตา และกล้ามเนื้อ เช่น ลุกไปเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำ คุยกับเพื่อน(แต่อย่าคุยเพลินจนเจ้านายดุนะคะ)

- เวลาที่ทำงานเพลินๆ บางคนจะรู้สึกไม่อยากพักอยากทำต่อให้เสร็จ แม้ปวดปัสสาวะก็ไม่อยากลุก การกลั้นปัสสาวะนานๆ (โดยเฉพาะผู้หญิง) อาจทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อได้ ผลที่ตามมา คือ จะถ่ายปัสสาวะกะปริบกะปรอย หรือถ่ายไม่ออก ปวดแสบเวลาถ่ายปัสสาวะ ปวดท้อง ซึ่งเป็นความทุกข์ทรมาน และทำให้ต้องเสียเงินรักษา ซึ่งคงไม่ดีแน่ ทางที่ดีอย่ากลั้นปัสสาวะนะคะ

- ท่านที่ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หลังกินอาหารเสร็จควรล้างมือให้สะอาดก่อน เริ่มทำงาน เพราะบริษัทซ่อมคอมพิวเตอร์มักพบว่า มีแมลงสาบหรือหนูมาเดินเล่นตามเครื่อง และอุปกรณ์ต่างๆ เนื่องจากได้กลิ่นอาหารหรือคราบที่ติดมากับนิ้วมือของผู้ใช้เครื่อง ซึ่งบริษัทต้องสูญเสียค่าซ่อมเครื่องในแต่ละปีไม่ใช่น้อย เราควรช่วยกันดีกว่านะคะ

- ประหยัดวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ เช่น ใช้กระดาษ ๒ หน้า ใช้ผ้าเช็ดในบางกรณีแทนการใช้ทิชชู ซองส่งเอกสาร ให้นำมาใช้ซ้ำ นอกจากช่วยสำนักงานประหยัดแล้ว ยังช่วยด้านสิ่งแวดล้อม และอาจช่วยตัวเองให้ได้รับพิจารณาเบี้ยทำงานดีก็ได้นะคะ (แทนที่จะถูกลดเงินเดือน)

- เมื่อไม่ใช้ห้องเกิน ๑๕ นาทีขึ้นไป เช่น พักกลางวันควรปิดไฟ ปิดแอร์ ปิดคอมพิวเตอร์ด้วยค่ะ

งานอดิเรก

งานอดิเรกจัดเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง ท่านที่มีครอบครัวอาจใช้งานอดิเรกเป็นงานที่ทำด้วยกันในครอบครัว เป็นการให้เวลากับครอบครัวสร้างความรักความอบอุ่นกับครอบครัว

- ดูโทรทัศน์ การดูโทรทัศน์ก็เป็นการพักผ่อนสมองและคุณยังสามารถทำให้การดูโทรทัศน์เป็นเวลาที่มีค่าได้โดย

  • เลือกดูรายการที่มีประโยชน์ แทนการดูเรื่อยๆ
  • ดูพร้อมกันในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่อาจใช้โทรทัศน์เป็นสื่อในการสอนลูกก็ได้
  • เวลาดูโทรทัศน์ไม่ควรนอนดู หรือปิดไฟดู เพราะมีผลเสียต่อสายตา
  • ควรนั่งดูโทรทัศน์ ห่างจากจอ ๒ เมตรขึ้นไป

- อ่านหนังสือ มีคุณพ่อคุณแม่หลายท่านที่ชอบอ่านหนังสือจนเป็นตัวอย่างทำให้ลูกชอบอ่านหนังสือไปด้วย หนังสือเป็นเพื่อนที่ดีและทำให้เราพบกับความสุขในราคาถูก

  • การอ่านหนังสือเรียน หรืออ่านเพื่อค้นคว้า ไม่จัดว่าเป็นงานอดิเรกนะคะ การอ่านหนังสือที่เป็นงานอดิเรกอาจเป็นหนังสือที่ชอบ มีเนื้อหาสบาย ตลก
  • ไม่ควรเลือกหนังสือประเภทประโลมโลกให้ลูกอ่าน
  • การฝึกให้เด็กอ่านหนังสือ จะช่วยสร้างจินตนาการให้กับเขา ฝึกความคิด สร้างสรรค์ไปด้วย
  • เวลาอ่านหนังสือ ควรนั่งอ่าน และสถานที่ควรมีแสงสว่างพอเพียง เพื่อถนอมสายตาคุณไว้นานๆนะคะ
  • เมื่อคุณอ่านหนังสือเสร็จ หากไม่คิดเก็บไว้น่าจะบริจาคต่อ เช่น ให้ตามโรงเรียน ห้องสมุด หรือตามหน่วยงานที่รับบริจาค เพื่อเป็นการแบ่งปันโอกาสให้กับผู้ที่ด้อยโอกาสและเพิ่มคุณค่าให้กับหนังสือ การให้ถือเป็นความสุขเช่นกันนะคะ

จริงๆ แล้วงานอดิเรกยังมีอีกมากมาย เช่น การทำงานฝีมือ เย็บผ้า ทำสวน ทำงานไม้ สะสมแสตมป์ ฯลฯ แล้วแต่ว่าใครจะชอบทำอะไร อย่าลืมใช้เวลานั้นให้มีค่ากับครอบครัวนะคะ

การทำจิตใจให้ผ่องใส

การทำจิตใจให้ดีถือเป็นเคล็ดลับอีกอย่างของการมีสุขภาพดี ซึ่งคุณสามารถทำได้ไม่ยากเลย

- ตื่นเช้าเมื่อล้างหน้าให้ยิ้มกับตัวเองในกระจก

- ก่อนออกจากบ้านให้เราคิดว่า วันนี้เราจะทำอะไรให้ใครได้บ้าง อย่างไร แทนที่จะคิดว่าเราจะรับอะไรจากใคร

- เวลาคิดอะไรพยายามคิดในแง่บวก แง่สร้างสรรค์มากกว่าแง่ลบ บางคนคิดแต่แง่ลบตลอด เช่น เห็นเพื่อนจับกลุ่มคุยกัน ก็นึกว่าเพื่อนนินทาเรา ก็จะมีความทุกข์

- ท่านพุทธทาส ท่านสอนว่า ความทุกข์เกิดจากความคิด เกิดจากการปรุงแต่งทางความคิด ถ้าไม่คิดก็ไม่เกิดทุกข์ค่ะ

- ยิ้มด้วยความจริงใจให้กับทุกคน แม้แต่คนที่ไม่ชอบเรา

การใช้ยา

- การรู้จักฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ และรู้จักการใช้ยาที่เหมาะสมไม่ว่าจะเป็นยาแผนปัจจุบันหรือสมุนไพรในการรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ประหยัดและปลอดภัย

- อย่าซื้อยากินโดยไม่มีความรู้ ควรหมั่นศึกษาหาความรู้ในเรื่องการป้องกัน การรักษาโรคภัยไข้เจ็บเบื้องต้น รวมทั้งรู้จักแยกแยะว่าอาการใด รักษาตนเองได้ อาการใดควรรีบพบแพทย์จากหนังสือต่างๆ

- ควรมียาสามัญประจำบ้านไว้ที่บ้าน เมื่อมีเหตุจำเป็น จะได้หยิบใช้ได้ทันที

- ควรเก็บยาให้ถูกต้อง และพ้นมือเด็ก ยาอันตรายหรือวัตถุมีพิษควรเก็บแยกต่างหาก ป้องกันการหยิบยาผิด

- ก่อนกินยาควรอ่านฉลากยาก่อนทุกครั้ง

วิธีปฏิบัติเหล่านี้แรกๆ คุณอาจทำไม่ได้ทั้งหมด แต่พยายามทำบ่อยๆ ฝึกให้ติดเป็นนิสัย ต่อไปคุณก็จะทำได้ โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม แล้วคุณจะรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขขึ้น

วิถีทางการพึ่งตนเองไม่ว่าในยุคไอเอ็มเอฟ หรือยุคไหนก็มีประโยชน์ทั้งสิ้นนะคะ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า “ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน”

ข้อมูลสื่อ

227-002
นิตยสารหมอชาวบ้าน 227
มีนาคม 2541
บทความพิเศษ
กองบรรณาธิการ