• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

บันทึกความทรงจำแห่งห้วงเวลาพฤษภามหาวิปโยค

บันทึกความทรงจำแห่งห้วงเวลาพฤษภามหาวิปโยค


คงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา จนเป็นเหตุให้พี่น้องประชาชนคนไทยต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการทบทวนเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดใจในครั้งนั้น ให้ท่านผู้อ่านที่มิได้อยู่ในเหตุการณ์ได้ทราบความเป็นจริง (บางส่วน) โดยหวังว่าเหตุการณ์เช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราอีก จึงอยากขออนุญาตท่านผู้อ่านงดคอลัมน์ “ริมระเบียง” และ “พูดจาภาษาหมอ” ในฉบับนี้ไปก่อน แล้วฉบับหน้าก็จะกลับมาพบกันเช่นเดิม

สำหรับบทความที่นำเสนอต่อไปนี้ เขียนขึ้นโดยแพทย์ท่านหนึ่งจากโรงพยาบาลศิริราช เป็นการบันทึกเหตุการณ์อย่างละเอียดในทุกช่วงเวลา ตั้งแต่วันที่ 18-19 พฤษภาคม 2535 ที่ผ่านมา ภายหลังการรัฐประหารโดยสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ประชาชนชาวไทยก็เฝ้ารอการเลือกตั้งทั่วไป โดยวาดหวังประชาธิปไตยที่จะได้คืนมาใหม่แม้จะไม่สมบูรณ์นักก็ตาม หลังจากวันเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2535 ไม่นานนัก พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็ได้รับการเชื้อเชิญจาก 5 พรรคการเมืองที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา (สามัคคีธรรม, ชาติไทย, กิจสังคม, ประชากรไทย และราษฎร) ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่19 ซึ่งก็เป็นการถูกต้องตามกติการัฐธรรมนูญที่มีอยู่ในขณะนั้น แต่ในสายตาประชาชนโดยทั่วไปแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม และชี้ให้เห็นการขาดสัจจะและคุณธรรมของผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้นำการบริหารของชาติ นำมาซึ่งการขาดความไว้วางใจและเสียงเรียกร้องให้แสดงสปิริตด้วยการลาออก

พลังคัดค้านได้แผ่ขยายไปโดยสงบในวงกว้างมากขึ้นทุกที จนนำมาซึ่งการชุมนุมของประชาชนตลอดช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2535 แต่ก็ได้ยุติลงในขั้นต้นเมื่อวันที่ 10 เนื่องจากพรรคการเมืองทั้งหมดรับปากที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเรียกร้องของประชาชน แต่หลังจากนั้นเหตุการณ์กลับตึงเครียดขึ้นอีกเมื่อมีการเตะถ่วงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและมีแนวโน้มว่าเกิดการบิดพลิ้วขึ้น ฝูงชนจึงเริ่มมารวมตัวกันบนท้องถนนใหม่อีกครั้ง

เช้าวันที่ 18 พฤษภาคม 2535 หลังจากได้ทราบข่าวการใช้กำลังปราบปรามรุนแรงจากฝ่ายรัฐบาลและมีแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ปี 2 ได้รับบาดเจ็บจึงได้ไปเยี่ยมซึ่งพบว่าอาการปลอดภัยดี โดยมีแผลกระสุนที่ผนังหน้าท้องและแขนขวาในการยิงจากด้านหลัง จากคำบอกเล่าจึงทราบว่าเป็นผู้ปฏิบัติงานการพยาบาลในส่วนหน้าที่มีการปะทะกันเป็นจุดแรก คำพูดแรกที่หลุดปากเขาหลังฟื้นตัวก็คือ “ทหารฆ่าประชาชน”

10.00 น. หลังจากปรึกษากับแพทย์ประจำบ้านอายุรศาสตร์ประมาณ 20 คนก็เห็นพ้องต้องกันว่าน่าที่จะเดินทางไปที่หน่วยพยาบาลในเหตุการณ์ที่ยังยืดเยื้ออยู่ โดยมีวัตถุประสงค์ในขั้นแรก คือ

1. นำนักศึกษาแพทย์ซึ่งไปช่วยหน่วยการพยาบาลกลับคณะเนื่องจากเหตุการณ์ไม่น่าไว้วางใจ

2. ช่วยเหลือการพยาบาลประชาชนที่ยังตกค้างอยู่เท่าที่จะทำได้

คณะของเราได้ขออนุญาตทหารผ่านเข้าไปที่หน่วยพยาบาลซึ่งตั้งขึ้นด้วยความร่วมมือเป็นอย่างดีของร้านอาหารศรแดงตรงหัวมุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ภายในมีเครื่องมือปฐมพยาบาลจำนวนไม่มาก โดยมีนักศึกษามหิดลปี 1-2 ช่วยงานกันอยู่ประมาณ 20 คน ส่วนที่เป็นนักศึกษาแพทย์ได้เดินทางกลับคณะไปแล้ว เหลือแต่ปี 5-6 ที่ยังคงอยู่ประมาณ 5 คน เนื่องจากสถานการณ์ขณะนั้นยังไม่มีอะไรรุนแรงจึงให้แพทย์ประจำบ้านกลับไปศิริราชกันก่อนโดยนัดหมายกันว่าจะกลับมาอีกครั้งเวลา 18.00 น. เพื่อนำอุปกรณ์พยาบาลที่จำเป็นมาเพิ่มเติม และอาจจะต้องผลัดเวรกันอยู่ในหน่วยพยาบาลหากมีเหตุการณ์จำเป็น

11.00 น. มีแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์จากราชวิถีมาสมทบอีก 3 คน โดยนำอุปกรณ์พยาบาลมาเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง ขณะเดียวกันมีนักศึกษาแพทย์ปี 5-6 จากรามาฯเข้าร่วมอีกประมาณ 8 คน ต่อมามีแพทย์จากสภากาชาดมาตรวจเยี่ยมและบอกตำแหน่งรถพยาบาลซึ่งจะคอยช่วยเหลืออยู่บริเวณแพร่งสรรพศาสตร์ ไม่นานนักก็มีอาจารย์จากภาควิชานิติเวชศาสตร์ ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมาเยี่ยมประมาณ 15 นาที ในช่วงนั้นเองก็ได้รับการสนับสนุนเวชภัณฑ์เป็นการภายในจากแพทย์ของโรงพยาบาลกลางเพิ่มเติมอีกด้วย

12.00 น. ได้ทราบข่าวว่ารถพยาบาลของโรงพยาบาลรามาธิบดีจำนวน 2 คัน มาจอดบริเวณวัดราชนัดดา ภายในหน่วยพยาบาลของเราก็ได้เตรียมจัดสถานที่และแบ่งสรรหน้าที่คร่าวๆ กันไว้แล้ว ส่วนสถานการณ์การประท้วงบนถนนราชดำเนินยังเป็นไปโดยสงบโดยมีทหารจำนวนมากตรึงกำลังอยู่โดยรอบ

14.00 น. ตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุขเดินทางมาแจ้งให้ทราบว่าผู้บริหารได้ประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์และกำลังวางแผนประสานงานการช่วยเหลือต่อไป

15.00 น. เนื่องจากสถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงและดูน่าจะยังไม่มีอะไรรุนแรง จึงตั้งใจจะข้ามกลับมาเตรียมตัวที่ศิริราชเพื่อกลับไปใหม่ พอถึงหัวมุมสนามหลวงประมาณ 15.15 น. มีเสียงปืนดังขึ้นอย่างหนักทำให้ต้องเปลี่ยนใจกลับไปที่หน่วยพยาบาลอีกครั้ง เมื่อไปถึงพบว่า ทหารได้ต้อนคนออกจากถนนราชดำเนินขึ้นไปอยู่บนทางเท้า และทราบข่าวว่าจุดปราศรัยของ พล.ต.จำลองถูกสลายพร้อมการถูกจับกุมตัว ช่วงนี้มีผู้บาดเจ็บที่แขนเล็กน้อย 3 คน มีอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ 1 คน

16.00 น. รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขมาตรวจเยี่ยมพร้อมรถพยาบาล 3 คัน แล้วให้คนส่วนหนึ่งไว้ช่วยเหลือในหน่วยพยาบาล ก่อนหน้านี้ทหารได้นำหญิงสาว 3 คน ที่มีอาการตกใจกลัวอย่างมากมาทำการรักษาจนปลอดภัย

17.00 น. ทหารถอยกลับไปรวมตัวบนถนนอีกครั้ง สักครู่จึงเริ่มยิงปืนขึ้นฟ้าแล้วเดินหน้ายิงปืน ประชาชนเข้ารวมเป็นกลุ่มภายในวงล้อม ในหน่วยพยาบาลเกิดความโกลาหลต้องก้มหมอบหาที่หลบเสียงปืน นักศึกษาหญิงปี 1-2 ที่ช่วยงานอยู่ตกใจกลัวมากร้องไห้ตัวสั่นและพูดซ้ำๆ ว่า “ทำไมทหารต้องทำกับพวกเราอย่างนี้” เราเองก็กลัวอย่างมากได้แต่ปลอบไปว่า “พวกเราต้องปลอดภัย” หลังเสียงปืนสงบ ทหารล้อมประชาชนไว้ได้หมด ด้านหน้าหน่วยพยาบาลมีหญิง 4 คน ตกใจกลัวตัวสั่นร้องไห้กอดกันอยู่ ทหารก็พยายามสั่งให้เงียบและอยู่นิ่ง เราเห็นแล้วทนไม่ได้ต้องขอร้องทหารขอนำเข้ามาในหน่วยพยาบาลซึ่งก็ได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี ต่อมาทหารจึงทำการตรวจค้นและต้อนขึ้นรถทหารขนประชาชนออกไปจนหมด การปฏิบัติการเป็นไปแบบเดียวกันจนตลอดถนนราชดำเนินถึงหน้ากองสลาก และทหารได้ยึดถนนราชดำเนินไว้ได้ตลอดสาย

18.30 น. ท้องถนนมีแต่ความเงียบสงัดและเริ่มเข้าสู่ความมืด พวกเราได้ข่าวว่าประชาชนเริ่มรวมตัวกันใหม่บริเวณด้านหน้ากรมประชาสัมพันธ์ พวกเราเริ่มเก็บรวบรวมของใช้ต่างๆให้เป็นที่ และขอตัวแทนจากศิริราช-รามาฯ-ราชวิถีเพื่อประเมินสถานการณ์ใหม่ หลังจากติดต่อไปที่พนักงานของโรงแรมรัตนโกสินทร์เพื่อขอใช้พื้นที่เป็นหน่วยพยาบาลก็ได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี พวกเราตัดสินใจจะย้ายหน่วยพยาบาลไปที่นั่นเพราะคิดว่าคงมีการปะทะเกิดขึ้นแน่ ช่วงนั้นติดต่อขอรถพยาบาลจากศิริราชมาได้ จึงได้ลำเลียงนักศึกษาแพทย์และนักศึกษาช่วยงานอื่นๆ ออกไปประมาณ 20 คน

19.00 น. พวกเราตัดสินใจรอรถพยาบาลจากโรงพยาบาลรามาฯ และเลิดสินเพื่อเตรียมเคลื่อนย้าย แต่คิดกันว่าถ้าถึง 20.00 น. รถยังมาไม่ถึงพวกเราจะเคลื่อนย้ายไปโดยการเดิน 19.45 น. รถพยาบาลจากโรงพยาบาลเลิดสินมีแพทย์ 1 คน, พยาบาล 5 คน, พนักงานช่วยเหลือ 3 คน พร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบครันเดินทางมาถึง ได้ปรึกษากันแล้วทุกคนเห็นพ้องกันว่าจะทำการเคลื่อนย้ายหน่วยพยาบาลโดยใช้รถพยาบาลเปิดสัญญาณไซเรนวิ่งไปบนถนนราชดำเนินช้าๆ มีแพทย์เดินไป 2 ข้างรถพยาบาลประมาณ 15 คน

ถนนราชดำเนินที่เราผ่านไปนั้นมีแต่ความมืดและความเงียบท่ามกลางกองทหารอาวุธครบมือ พวกเราทุกคนขณะนั้นคงกลัวแต่ก็พยายามฝืนเดินหน้าต่อไป กองทหารให้เราเลี้ยวเลาะไปด้านหลังจนถึงโรงแรม ก่อนออกมาจากร้านศรแดงพวกเราต้องขอขอบคุณเจ้าของและเจ้าหน้าที่ร้านอาหารซึ่งอำนวยความสะดวกด้านสถานที่ อาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ทุกประการ

20.00 น. ที่โรงแรมเราขอพื้นที่มุมหนึ่งของล็อบบี้กั้นเป็นสถานที่ปฏิบัติงาน ขณะนั้นมีนักศึกษาแพทย์ปี 4-5 ประมาณ 15 คน และปี 6 ประมาณ 10 คน มาสมทบ พร้อมกับแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬา 3-5 คน และนักศึกษาแพทย์จากโรงพยาบาลรามาฯประมาณ 5 คน ได้ตกลงแบ่งงานกันและจัดเตรียมพื้นที่รอรับผู้บาดเจ็บ ต่อมามีรถพยาบาลจากโรงพยาบาลรามาธิบดีมาสมทบ 2 คัน ราชวิถี 2 คัน และจากศิริราช 2 คันพร้อมแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์และอื่นๆ ประมาณ 10 คน

21.00 น. บนท้องถนนหน้าโรงแรมจนถึงสนามหลวงมีฝูงชนรวมตัวกันประมาณ 1 แสนคน ทุกคนมีแต่มือเปล่า ธงชาติ ธงศาสนา พระบรมฉายาลักษณ์ และขวดน้ำพลาสติก เสียงโห่ร้องขับไล่และการแสดงอารมณ์ดังกึกก้องจนสร้างความตึงเครียดอย่างมากแก่ทุกฝ่าย ฝูงชนบนท้องถนนมีแต่อารมณ์โกรธแค้น แต่ก็รวมกลุ่มกันอยู่ได้แม้ไม่มีผู้นำ แนวประจันหน้าระหว่างทหารกับประชาชนเคลื่อนเข้าใกล้กันทุกทีๆ

22.00 น. เสียงปืนดังขึ้นถี่ยิบดุจห่าฝนพร้อมกับเสียงโห่ร้องและเสียงครวญครางของประชาชน ประมาณ 10 นาที จึงเริ่มมีการนำผู้บาดเจ็บชุดแรกประมาณ 30 คนเข้ามาในหน่วยพยาบาล สร้างความสับสนให้กับการทำงานของเราอย่างมาก ส่วนใหญ่มีบาดแผลที่ทรวงอก ลำตัว แขน ใบหน้า ซึ่งมาจากกระสุนปืน

ท่ามกลางกองเลือด เสียงร้องโอดโอย เสียงตะโกนสั่งงาน เสียงคนรอบข้าง ทำให้จิตใจทุกคนสลดหดหู่และกลัว แต่ก็ตั้งใจทำงานกันอย่างเต็มที่ไม่เว้นแม้แต่นักศึกษาแพทย์ซึ่งมีประสบการณ์ด้านคนเจ็บแบบนี้น้อยมาก ประมาณการว่าคงเสียชีวิตประมาณ 10 คน

ในท้องถนนประชาชนเริ่มรวมตัวกันใหม่แล้วเคลื่อนตัวเข้าหาแนวของทหารระลอกแล้วละลอกเล่า พอเข้าใกล้ก็ถูกยิงล้มพากันวิ่งหนี และหอบหิ้วพาผู้บาดเจ็บกลับออกมา แต่มีส่วนน้อยที่สามารถเข้ามาในหน่วยของเราได้ รถพยาบาลสลับกันนำผู้ตายและผู้บาดเจ็บแยกย้ายไปโรงพยาบาลต่างๆ จากคำบอกเล่าของผู้บาดเจ็บบอกว่ามีคนเสียชีวิตข้างนอกอีกมากที่ไม่สามารถเอาเข้ามาได้ และส่วนหนึ่งถูกทหารขนออกไปจากพื้นที่ภายนอกฝูงชนที่ขาดทิศทางกำลังโกรธแค้น ว้าวุ่น ขาดสติ เริ่มเข้าสู่สภาพจลาจล มีการเผาทำลายรถยนต์และสถานที่ราชการพร้อมกับการตอบโต้จากทหารเป็นระยะๆ

23.00 น. หลังจากภาระผ่อนเบาลง พวกเราตัดสินใจนำนักศึกษาแพทย์ปี 4-5 ออกจากหน่วยพยาบาลกลับเข้าโรงพยาบาลศิริราชเนื่องจากสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ส่วนที่เหลือก็ยังทำงานกันต่อเป็นช่วงๆ มีคนเจ็บถูกหามเข้ามาเป็นระยะๆ ภายนอกมีเสียงปืนดังเป็นจังหวะสลับเสียงโห่ร้องของประชาชน ช่วงนี้เกิดไฟไหม้ที่ชั้น 3 ทำให้เกิดความโกลาหลภายในโรงแรมชั่วคราว แต่ก็ควบคุมได้ภายในประมาณ 20 นาที

00.30 น. มีข่าวการใช้กำลังปราบปรามขั้นเด็ดขาดพร้อมการตัดไฟฟ้าในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า จึงตัดสินใจถอนนักศึกษาแพทย์ปีที่ 6 และแพทย์ประจำบ้านส่วนหนึ่งกลับโรงพยาบาลศิริราชอีกครั้ง ช่วงนี้มีรถพยาบาลของโรงพยาบาลธนบุรีมาสนับสนุนอีก 2 คัน พร้อมกับมีแพทย์ประสานงานจากกระทรวงสาธารณสุข 2-3 คนมาช่วยในการทำงานและควบคุมสถานการณ์

01.30 น. เส้นตายผ่านไปโดยยังไม่มีเหตุการณ์รุนแรง แต่ก็ยังมีการปะทะกันย่อยๆอยู่ตลอดเวลาพร้อมคนเจ็บบางส่วน ระหว่างนี้เราติดต่อวิทยุกับทางโรงพยาบาลศิริราชเพื่อรายงานสถานการณ์และขอความช่วยเหลือตลอดเวลา

02.30 น. มีข่าวว่าจะมีการตัดไฟและการปราบใหญ่อีกครั้งเวลาตี 3 พวกประชาชนในถนนเริ่มอ่อนล้าแต่ก็ยังมีการปะทะกันบ้างประปราย พวกเราประชุมเตรียมรับสถานการณ์ไฟดับพร้อมแนวทางแก้ไข มีข้อเสนอให้ถอนหน่วยพยาบาลขึ้นไปบนชั้น 2 ของโรงแรมบางส่วน และพยายามช่วยกันควบคุมไม่ให้ประชาชนที่ทยอยหลบเข้ามาในโรงแรมเกิดความแตกตื่น ส่วนหน่วยพยาบาลของเลิดสินซึ่งมีผู้หญิง 5 คน ตกลงให้ถอนออกไปก่อน พวกเราจากโรงพยาบาลศิริราชประมาณ 10 คน ถอนไปรวมกันบนชั้น 2 จนหมด เหลือแพทย์จากที่อื่นอยู่ด้านล่างประมาณ 5 คน เวลานั้นเริ่มมีข่าวลือต่างๆ มากมาย เช่น พล.อ.ชวลิต ยึดช่อง11ได้ การติดต่อช่วยเหลือจากสันติบาล สำนักราชเลขาธิการ ฯลฯ พร้อมกันนั้นก็มีการขอสัมภาษณ์หน่วยพยาบาลจากสื่อมวลชนจากหลายๆ ที่ตลอดเวลา

03.00 น. พวกเรารวมตัวกันที่ชั้น 2 ในใจทุกคนคงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น มองไปภายนอกมีแสงไฟลุกโชนเป็นระยะๆ พร้อมกับเสียงปืนแหวกอากาศอย่างหวีดหวิว พวกเราพยายามปลุกปลอบซึ่งกันและกันเพื่อลดความตึงเครียด ขณะนั้นมีการออกข่าวของ BBC ถึงเหตุการณ์รุนแรงโดยละเอียด ในใจหนึ่งพวกเราดีใจที่ทั่วโลกได้รับรู้เพื่อที่จะได้มีแรงกดดันภายนอกช่วยให้เกิดความสงบโดยเร็ว แต่อีกด้านหนึ่งเรารู้ว่าข่าวนั้นถูกส่งไปจากโรงแรมที่เราอยู่ ซึ่งคงต้องตกเป็นเป้าหมายการปราบปรามขั้นเด็ดขาดในไม่ช้า

หลายคนคงนึกห่วงถึงตัวเอง ครอบครัว หน้าที่การงาน แต่เมื่อนึกถึงภาระหน้าที่ที่พวกเราร่วมกระทำกันมานั้นก็ทำให้เกิดกำลังใจ ความบริสุทธิ์ใจของเราคงจะช่วยปกป้องให้เราปลอดภัยเป็นแน่ๆ ทางโรงพยาบาลศิริราชก็พยายามติดต่อเราอยู่ตลอดเวลาและขอให้เราถอนกลับ แต่พวกเราตัดสินใจอยู่ต่อเนื่องจากสถานการณ์ภายนอกมีความเสี่ยงสูงไม่เหมาะแก่การเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น

03.30 น. สถานการณ์ภายนอกโรงแรมยังมีการปะทะเป็นช่วงๆ ส่วนฝูงชนในโรงแรมเริ่มอ่อนล้าและสับสน พวกเราตัดสินใจลงมารวมกันข้างล่างอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้เราเหลือเพียงรถพยาบาลของโรงพยาบาลศิริราชคอยสนับสนุนเพียงหนึ่งคัน ข่าวสารจากภายนอกมีเข้ามามากจนเราจับต้นชนปลายไม่ถูก หน่วยพยาบาลเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นศูนย์รวมของประชาชนที่ตกค้างอยู่ในโรงแรมโดยกลายๆ

04.00 น. มีทหารเรือ 1 คนข้ามฟากเข้ามาจากสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าโดยอ้างว่า มาบอกข่าวให้พวกเราถอนออกจากโรงแรมเดินข้ามสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าไปหาทหารเรือซึ่งจะช่วยคุ้มครองเราได้ แต่เนื่องจากมีพิรุธหลายประการทำให้เราไม่เชื่อ และบอกว่าถ้าจะช่วยเราจริงขอให้ทหารเรือเคลื่อนกำลังมาปกป้องเราที่นี่จะเหมาะสมกว่า ซึ่งหลังจากนั้นก็เงียบหายไปเลย ช่วงนี้มีรถพยาบาลจากสภากาชาดไทยพร้อมนักศึกษาแพทย์ปี 6 ประมาณ 10 คนมาสมทบ ทำให้พวกเราเพิ่มเป็นประมาณ 20 คน จนดูอบอุ่นขึ้น พวกเราคนหนึ่งต้องการให้เรานำฝูงชนโดยสลัดคราบแพทย์ออก แต่ถูกคัดค้านอย่างมากจนต้องยุติไป และลงความเห็นว่าเราจะเตรียมการพยาบาลต่อไป โดยยืนยันกับฝูงชนว่าเราจะอยู่เคียงข้างกับเขาตลอด

04.45 น. ข่าวจากหลายด้านตรงกันว่า กำลังทหารจากศูนย์สงครามพิเศษลพบุรีเคลื่อนประชิดเข้ามาแล้ว และจะปิดล้อมปราบขั้นสุดท้ายเวลาตี 5 พวกเราได้แจ้งให้ทุกคนทราบและทำการปรับสภาพหน่วยพยาบาลให้อยู่ในทำเลที่ปลอดภัยขึ้น พร้อมกันนั้นเราได้พยายามชี้แจงให้ประชาชนทราบโดยไม่ตกใจและเตรียมรับสถานการณ์บุกปราบโดยให้ทุกคนนอนราบคว่ำหน้ากับพื้น ประสานมือหลังศีรษะ นอนนิ่งไม่มีเสียง ไม่วิ่งหนี ไม่ยั่วยุ และไม่ต่อสู้ ทางโรงพยาบาลศิริราชตัดสินใจส่งรถพยาบาลกลับมารับตัวเรากลับ แต่ไม่เป็นผล เนื่องจากถูกระดมยิงจนต้องหันกลับ ในใจพวกเราขณะนั้นภาวนาให้สว่างโดยเร็ว และขอให้เราและประชาชนทุกคนปลอดภัย

05.00 น. เสียงปืนดังขึ้นจากหน้าโรงแรมอย่างสนั่นหวั่นไหว พวกเราที่หลบมุมอยู่บนชั้น 3 ของโรงแรมรัตนโกสินทร์มองฝ่าความมืดออกไปในช่วงแคบๆระหว่างซอกตึกกับต้นไม้ เห็นทหารเดินเรียงแถวหน้ากระดาน ถือปืนเอ็ม 16 ไว้ที่ระดับเอว และสาดกระสุนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งด้วยความเมามัน เห็นผู้คนล้มกลิ้งระเนระนาด และอีกไม่นานต่อมา ทหารหน่วยหน้าประมาณ 50 คนก็จู่โจมเข้ามาในบริเวณโรงแรมตามคาด ผู้คนในนั้นพร้อมกับพวกเราปฏิบัติตามที่เตรียมกันไว้ได้อย่างเรียบร้อยเป็นที่น่าพอใจทำให้ไม่มีการสูญเสีย เสียงทหารร้องด่าหยาบคาย ข่มขู่ฝูงชน และทำร้ายโดยไม่มีเหตุผลดังขึ้นไม่ขาดสาย พวกเราเองพยายามแสดงตัวว่าเป็นแพทย์ทำให้ไม่ถูกทำร้ายและกันออกจากฝูงชน แต่ก็ยังต้องนอนคว่ำหน้าด้วยใจที่เต้นระทึก เกิดความกลัวชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตแล่นเข้ามา ในห้วงสำนึกของทุกคนคิดเพียงว่า “เขาจะทำอะไรกับพวกเรานะ” … “เขาจะทำอะไรกับประชาชนรอบข้างเรานะ” หลังจากนั้นไม่นาน ทหารก็เข้าควบคุมสถานการณ์ภายนอกและภายในโรงแรมโดยสิ้นเชิง มีการตรวจค้นหาประชาชนที่หลบอยู่ตามห้องพักและกวาดต้อนลงมารวมกันที่ชั้นล่าง

05.30 น. พวกเราถูกกวาดต้อนลงมานั่งรวมกับนักข่าวที่ด้านหน้าโรงแรม โดยทุกคนต้องแสดงบัตรที่บอกว่าเป็นแพทย์และบุคลากรเกี่ยวข้องจริง หลังจากนั้นทหารเริ่มกวาดต้อนประชาชนออกมาภายนอก ผู้ชายให้ถอดเสื้อออกและนั่งก้มหน้ามัดมือไขว้หลัง ส่วนผู้หญิงถูกต้อนไปรวมนอนคว่ำหน้าอยู่อีกมุมหนึ่ง มีการทำร้ายพวกผู้ชายและเสียงด่าของพวกทหารให้พวกเราเห็นต่อหน้าไม่ขาดช่วง พร้อมกับปฏิบัติการทางจิตวิทยาว่าประชาชนเป็นผู้ก่อกวน และมีการร่วมมือกับกลุ่มการเมืองนอกกฎหมาย

06.30 น. ทหารเริ่มสอบปากคำพวกเราและขอหลักฐานแสดงตัวของเราไปตรวจสอบ พวกเราที่เป็นแพทย์มีประมาณ 2o คน อีก 1o คนเป็นคนเกี่ยวข้องที่เรากันไว้ว่าเป็นผู้สนับสนุนหน่วยพยาบาล ทุกคนยืนยันการมาปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนตามคำสั่ง และไม่ออกความเห็นในสิ่งที่พวกเขาพยายามชักจูงให้คล้อยตามการกระทำของทหาร

ในใจของพวกเราขณะนั้นรู้สึกสลดต่อภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดต่อหน้า และนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด ความกลัวเกิดขึ้นกับพวกเรามากมายหลายครั้ง จนถึงบัดนี้เราเริ่มชินเนื่องจากไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกแล้ว เบื้องหน้าเรามีภาพประชาชนที่ยอมจำนนฝูงทหารที่กระหยิ่มในชัยชนะ คราบเลือดของวีรชนที่กองอยู่บนถนน อาคารและวัตถุเสียหายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่ว ในเวลานั้นถ้าใครไม่อยู่ในเหตุการณ์คงไม่อาจรับทราบได้อย่างลึกซึ้งว่าสุดแสนจะบรรยายร้อยเป็นคำพูดได้ครบถ้วนเพียงใด

07.30 น. รถพยาบาลและพวกเราจากโรงพยาบาลรามาฯ จุฬาฯ และราชวิถีเข้ามาให้เรามองเห็น ผู้นำทหารที่นั่นยังคงไม่ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ ทิ้งให้พวกเรากระวนกระวายอยู่กับที่ ช่วงนี้มีคนบาดเจ็บเล็กน้อย 2-3 คน ซึ่งพวกเราก็ขอไปปฐมพยาบาลและขออนุญาตทหารนำออกไปส่งโรงพยาบาล มีบางคนที่ถูกทำร้ายพร้อมการบริภาษและทนไม่ได้จนต้องหลั่งน้ำตาออกมา ทำให้พวกเราบางคนอดกลั้นน้ำตาเกือบไม่ได้เช่นกัน

08.00 น. ตัวแทนจากโรงพยาบาลศิริราชเริ่มมาเจรจากับทหารเพื่อขอรับตัวพวกเรากลับ แต่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวแสดงอะไรออกมาชัดเจน ทหารที่ล้อมเรายังคงยืนนิ่ง บางส่วนเข้ามาพูดคุยซักถามเหมือนสอบสวนเราต่อ บางส่วนพยายามชักจูงให้เราเห็นว่าฝูงชนด้านหน้าเราเป็นพวกก่อความวุ่นวาย ใครจะเชื่อได้เล่าในเมื่อคนเหล่านี้เราเห็นเขามาตลอดว่าอยู่ในความสงบ เรียกร้องโดยสันติ มีบ้างก็ส่วนน้อยที่ก้าวร้าวและแสดงออกอย่างขาดความยั้งคิดอันเนื่องมาจากความโกรธแค้นที่เห็นผู้บริสุทธิ์ถูกปลิดชีวิตและทำร้าย

08.30 น. พวกเราได้รับอนุญาตให้ลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปรวมกันในโรงแรมอีกครั้ง หลังจากนั้นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ได้มาพูดคุยกับพวกเรา เนื้อหาคือแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ความรุนแรง และชี้แจงเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้นว่าเนื่องมาจากความแตกแยกทางการเมืองอันเนื่องมาจากผู้ไม่หวังดี และการก่อกวนสร้างสถานการณ์ของผู้คนจนเกิดเป็นจลาจล รัฐบาลจำเป็นต้องยุติการกระทำโดยความรุนแรงเพื่อหยุดยั้งความเสียหาย

พวกเราทุกคนก็อยากจะตอบกลับไปเหมือนกันว่า พวกเราก็รู้สึกเสียใจและตระหนกตกใจเป็นอย่างมากต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราเองไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าทหารไทยของเราจะมีจิตใจที่เหี้ยมโหดถึงปานนี้ และเราเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า เงินที่เก็บจากภาษีอากรของพวกเราไปซื้ออาวุธให้ทหารนั้น จะเป็นของที่นำมาเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ และรักชาติรักประชาธิปไตยให้ล้มตายไปเหมือนหมูเหมือนหมากลางถนนราชดำเนินเช่นนี้ เราเองไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ในขณะที่ส่วนอื่นๆของสังคม เช่น การแพทย์ การศึกษา การสื่อสาร เป็นต้น เขาได้เจริญก้าวหน้าและพัฒนาไปมากแล้ว แต่ทหารไทยของเราในระดับผู้บัญชาการกองพลจะมีความคิดล้าหลังและป่าเถื่อนถึงปานนี้

หลังจากที่ถูกอบรมเสร็จ พวกเราก็ทยอยกันออกมานอกโรงแรมรัตนโกสินทร์ ส่วนด้านหน้าโรงแรมนั้นทหารก็ทยอยขนประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปกักขังยังโรงเรียนนายสิบตำรวจบางเขนต่อไป

 

ป้ายคำ:

ข้อมูลสื่อ

158-004
นิตยสารหมอชาวบ้าน 158
มิถุนายน 2535
อื่น ๆ