• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ร่วมด้วยช่วยกันเยียวยาโลกธรรมสัญจรสู่มูลนิธิพุทธฉือจี้

ร่วมด้วยช่วยกันเยียวยาโลกธรรมสัญจรสู่มูลนิธิพุทธฉือจี้
(เขียนเมื่อ 30 ธันวาคม 2549)


4 ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน (ต่อ)

ชินหยุนพยักหน้า ในช่วง 50 ปีที่ญี่ปุ่นยึดครองไต้หวัน พวกเขาได้สร้างศาลเจ้าไว้ตามทาง เพื่อให้ผู้เดินทางหยุดพักหลบจากอากาศที่เลวร้ายและได้สวดมนต์
" เราเข้าไปดูใกล้ๆ" เธอกล่าว" อาจจะมีใครอยู่ในนั้นก็ได้ "
เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นมีตัวหนังสือเขียนไว้ที่บานประตูว่าที่นี่เคยเป็นศาลเจ้า แต่บัดนี้เป็นสาขาหนึ่งของวัดเมตตากรุณา ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงของเมืองฮวาเหลียน
"จะให้ช่วยอะไรบ้าง" เสียงผู้ชายทักทายขึ้น
เมื่อมองเข้าไปก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งเดินออกมา ชินหยุนและหลวงที่เมฆเมตตามองตากัน ตอนนั้นทั้งเหนื่อยทั้งหิวและก็ไม่รู้จะไปไหน"ท่านจะอนุญาตให้เราพักอยู่ได้ไหมคะ" ชินหยุนถามขึ้น"เราจะไม่ก่อภาระให้ท่าน"
"มาจากไหนกัน" พระถาม
"เรามาจาก..." ชินหยุนหยุดคิด และก็พูดต่ออย่างคลุมเครือ "...มาจากที่ที่จากมา"
พระมองทั้งสองอย่างสำรวจตรวจตรา เพื่อจะดูว่าเชื่อถือได้ไหม ในที่สุดก็ผงกศีรษะ
"อยู่ได้ แต่ต้องบอกก่อนว่าอาตมาไม่มีอะไรจะให้กี่มากน้อย"
ชินหยุนและหลวงพี่เมฆเมตตาเดินตามพระเข้าไปข้างในอาคาร และก็พบความจริงที่พระพูดว่าเกือบไม่มีอะไรเลย แม้จะมีห้องนอนแยกระหว่างหญิงกับชาย แต่ว่าแต่ละห้องก็เล็กพอที่จะเป็นห้องเก็บไม้กวาดเท่านั้น เพดานก็ต่ำจนเกือบจะยืนยืดตัวตรงไม่ได้ ห้องผู้หญิงก็สกปรกมากและจะต้องทำความสะอาด
"เราคงต้องการน้ำ" ชินหยุนพูดพร้อมกับมองหาไม้กวาดและม็อบถูพื้น
"ต้องไปอีกด้านหนึ่งของภูเขามีน้ำตก" พระตอบ
"ที่นี่ไม่มีน้ำประปา"
"ฉันเดาว่าคงไม่มีห้องน้ำ" หลวงพี่เมฆเมตตาพูด
"ถูกแล้ว" พระว่า "ห้องน้ำก็อยู่อีกด้านของภูเขาเหมือนกัน...ที่ไหนก็ได้"
"ดีละ"
ชินหยุนถกแขนเสื้อ "เราต้องทำความสะอาดห้องก่อน"

ทั้งสองคนไปหิ้วน้ำจากอีกด้านของภูเขาอยู่หลายเที่ยว และเมื่อจวนจะเป็นลมอยู่แล้ว พระภิกษุรูปนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มองห้องที่สะอาดอย่างพอใจ แล้วถามว่า"เธอทั้งสองร้องเพลงได้ไหม"
ทั้งสองมองตากันอย่างไม่เชื่อหู พระคงจะพูดตลกกระมังถ้าจะหวังให้เขาทั้งสองร้องเพลงขณะนี้
พระอธิบายว่า "ชาวบ้านชอบสวดมนต์ ไม่ใช่สวดเฉยๆ แต่สวดเป็นเพลงด้วย เธอสองคนร้องเพลงได้หรือเปล่าล่ะ"
"ได้"
ชินหยุนตอบ "เราเคยร้องเพลงสวดที่วัดเมฆเมตตา และเราก็ร้องเพลงสวดบ่อยๆ เวลาทำนา"
พระรู้สึกสบายใจและพูดต่อไปว่า" ดีทีเดียว อาตมาเสียงไม่ดี ไม่สามารถนำสวดได้ ถ้าเธอสองคนร้องเพลงสวดนำ การประชุมสวดมนต์ของเราจะน่าสนใจยิ่งขึ้น และชาวบ้านก็จะมาวัดบ่อยขึ้น"
พระอาทิตย์กำลังตกดิน และมืดลงอย่างรวดเร็ว"สวิตช์ไฟอยู่ที่ไหนคะ" ชินหยุนถาม
"ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า พระตอบขณะที่เดินจากไป "อาตมามีตะเกียงน้ำมันและเทียน" แต่น้ำมันราคาแพง เธอทั้งสองคนควรจะเข้านอนแต่หัวค่ำ และตื่นเมื่อสว่างแล้ว "
ชินหยุนและหลวงพี่เมฆเมตตามองตามหลังพระไป หันหน้าเข้าหากันและหัวเราะ

ที่เมืองฟอนหยวน นางหว่องรำพึงรำพันกับน้องสามี ซึ่งก็คือพ่อโดยสายเลือดของชินหยุน
"ฉันจะมีชีวิตโดยปราศจากชินหยุนได้อย่างไร"นางรำพัน "ตั้งแต่เธอยกชินหยุนให้ฉันเมื่อเขาอายุ 11 เดือน เธอก็เป็นลูกที่มีค่าที่สุดของฉัน"
"คุณก็ยังมีลูกอีก 4 คน" น้องสามีของเธอว่า "คุณควรจะหัดมีชีวิตอยู่โดยไม่มี ชินหยุน..." เขาต้องหยุดลงกลางคันเมื่อมีเสียงเคาะประตู
ชายสูงอายุคนหนึ่งเข้าประตูมา เดินไปที่นางหว่องและพูดว่า "เมื่อสองสามวันที่แล้วฉันผ่านสถานีไตตุง..." เขาอธิบายสิ่งที่คุยกับชินหยุน "เธอกลับมาจากการหยุดพักร้อนแล้วหรือยัง"
"พักร้อนอะไรกัน เขาหนีไปอีกแล้ว"
นางหว่องตอบ น้ำตาร่วงลงมาอีก"เขาไปทำอะไรที่ไตตุง แล้วก็แม่ชีคนนั้นเป็นใคร"
มิสเตอร์หว่องพูดอย่างตรึกตรอง"ผมได้ยินว่าเจ้าอาวาสวัดเมฆเมตตาก็หายไปด้วย... น่ากลัวจะเป็นแม่ชีคนนั้นแหละ เราควรจะไปเยี่ยมเหล่าแม่ชีที่วัดนั้น และดูว่าหัวหน้าของเขามีญาติมิตรที่ไตตุงบ้างหรือเปล่า"

"หลังจากก้าวแรกแล้ว บุคคลควรจะดำรงความกล้าหาญไว้ เขาจะพลาดไม่ได้ แต่ต้องเสริมพลังให้มั่น เพื่อก้าวต่อไปบนทางที่ตั้งใจ"

                                                                                                                  "ธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน"

"เรามีชีวิตที่สบายเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตของพระพุทธองค์เมื่อแรกหนีออกจากพระราชวัง" ชินหยุนพูด ขณะที่กำลังล้างหน้าด้วยน้ำที่เย็นประดุจน้ำแข็ง เธอสวมชุดนางชีสีเทาที่หลวงพี่เมฆเมตตานำมาจากวัดทั้งหมด 3 ชุด แต่ยังไม่ได้โกนศีรษะผมเธอยังยาวถึงต้นขา
"ใช่...! เรามีชีวิตง่ายๆ...เต็มไปด้วยความสนุก"หลวงพี่เมฆเมตตาสนองขณะที่หนาวสั่นฟันกระทบกันกึกๆ "นี่ก็เพิ่งเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง รอให้ถึงฤดูหนาว แล้วความสนุกของเราจะเพิ่มเป็นสองเท่า!"
สตรีทั้งสองพยายามหามุกตลกจากความยากลำบากในวิถีชีวิตใหม่ ซักเสื้อผ้าไปขณะที่เตือนใจกันเองว่า พระพุทธองค์นั้นเคยอยู่ในปราสาทราชวังที่แสนสบาย แต่แล้วอีกวันหนึ่งก็มานั่งอยู่ใต้ต้นไม้สวมเสื้อผ้าหยาบๆ
"พระพุทธองค์เสวยเพียงน้อยนิด พอประทังชีวิตเท่านั้น" หลวงพี่เมฆเมตตากล่าวขณะที่เอาผ้าขี้ริ้วเช็ดหน้าให้แห้ง
"ไม่เหมือนพระพุทธองค์ เรามีกินอย่างดี" ชินหยุนพูดขณะที่ชี้ไปยังตะกร้าที่ว่างเปล่า 2 ใบที่อยู่ใกล้ๆ ธารน้ำ "ฉันเชื่อว่าเราจะมีอาหารเต็มตะกร้าก่อนหมดวัน"
สตรีทั้งสองเดินจากธารน้ำนำข้าวของติดตัวกลับมาที่วัด แล้วก็เดินลงจากภูเขาไปตามทางแคบๆ ถือตะกร้าที่สานจากไม้ไผ่ ดวงอาทิตย์สาดแสงลงมาจากยอดเขา แมกไม้ตื่นขึ้นจากหลับใหล นกส่งเสียงร้อง สัตว์ตัวเล็กๆ วิ่งแล้วก็ไปหยุดแอบมองจากหลังต้นไม้ อากาศสดชื่น ดอกไม้ป่าส่งกลิ่นหอมกรุ่น กลิ่นอาหารจากการหุงหาของชาวบ้านโชยเข้าจมูก
"ชาวบ้านกำลังทำอาหารเช้า" หลวงพี่เมฆเมตตาพูดขณะที่สูดหายใจลึกๆ"เขาน่าจะรู้สึกดีถ้าเธอและฉันไปร่วมกับเขา"
"แต่เราจะไม่ไปร่วมกับเขา" ชินหยุนพูดพร้อมกับสั่นศีรษะ"เป้าหมายแรกหลังจากการเป็นแม่ชีของฉันก็คือจะต้องทำงานเพื่ออาหาร วันไหนไม่ทำงานก็ไม่ต้องกิน"
"ถ้าเช่นนั้น ฉันก็จะไม่กินโดยไม่ได้ทำงานด้วยเหมือนกัน" หลวงพี่เมฆเมตตาพูดพร้อมกับถอนหายใจ แม้ว่าเธอจะแก่กว่าและบวชเป็นชีมาก่อน ขณะที่ชินหยุนอายุน้อยกว่าและยังไม่ได้บวช แต่เมื่อเดินทางไปด้วยกันในไม่ช้าก็กลับกลายเป็นว่าเธอทำตามสิ่งที่ชินหยุนแนะนำ หลวงพี่เมฆเมตตาพูดต่อไปว่า "แต่ถ้าเรากินอาหารกับชาวบ้านก็จะไม่เป็นการเอาเปรียบ เพราะเราสอนให้เขาร้องเพลงสวด เขาก็ควรจะเป็นหนี้เราสักสองสามมื้อ"
ชินหยุนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของหลวงพี่เมฆเมตตา ทั้งสองเดินลงมาถึงตีนเขาซึ่งมีทุ่งนาดารดาษ การเก็บเกี่ยวได้ผ่านไปแล้ว แต่ฤดูกาลแห่งการไถหว่านใหม่ก็ยังมาไม่ถึง ในผืนนาที่ว่างเปล่าผู้คน มีต้นไม้และเถาไม้ขึ้นอยู่ทั่วไป บางชนิดก็กินได้ เขาทั้งสองได้รับอนุญาตจากชาวบ้านให้เก็บอะไรก็ได้บนผืนนา
"ฉันเจอมันเทศ!" หลวงพี่เมฆเมตตาตะโกนด้วยความดีใจ เธอนั่งลงแล้วก็เริ่มขุด
"ที่ไหนที่พบมันเทศหัวหนึ่ง มักจะมีมากกว่านั้น" ชินหยุนพูดขณะที่นั่งลงข้างๆ เพื่อน

มองดูนิ้วของตน ชินหยุนก็พบว่ามันไม่ใช่นิ้วของหญิงสาวที่สุขสบายอีกต่อไป เล็บก็แตกนิ้วก็ด้าน บนหลังมือขวาก็มีเม็ดพองอันเกิดจากการทำครัว อดีตแว้บขึ้นมาในความคิด เพิ่งเมื่อวานนี้หรือชีวิตที่แล้วนะที่เธอถือตะกร้าหวายจ่ายกับข้าวให้ครอบครัว ตอนนั้นเธอเพียงแต่ชี้ว่าต้องการนั่นต้องการนี่แม่ค้าก็จะหยิบใส่ตะกร้าจ่ายกับข้าว เมื่อเต็มก็จะมีเด็กรับจ้างเอาไปส่งให้ที่บ้าน และแล้วคนใช้ก็จะทำอาหารจากเนื้อสัตว์และผักที่ซื้อมา
"แต่ฉันก็แลกตะกร้าจ่ายกับข้าวใบเล็กนั้นกับใบที่ใหญ่กว่า...แทนที่จะจ่ายกับข้าวให้ครอบครัวหนึ่งเท่านั้น ฉันกำลังอยู่บนเส้นทางที่จะเลี้ยงคนทั้งโลก ฉันได้ก้าวเดินก้าวแรกแล้ว ฉันจะต้องดำรงความกล้าหาญ ฉันจะพลาดไม่ได้ แต่ต้องเสริมพลังให้มั่น เพื่อก้าวต่อไปบนทางที่ตั้งใจ" ชินหยุนพูดขณะที่ขุดหัวมันเทศ

ในประเทศจีนมีคนน้อยคนที่ชอบกินมันเทศ เขาปลูกมันไว้ให้หมูกิน แต่สำหรับ ชินหยุนและหลวงพี่เมฆเมตตาการได้มันเทศเป็นของวิเศษทีเดียว เมื่อขุดหมดแล้วเธอทั้งสองก็ย้ายไปที่ที่นาอีกแปลงหนึ่ง วันนี้โชคดีทีเดียว เขาพบถั่วลิสง แล้วก็เลือกพืชป่าที่กินได้ ก่อนถึงเที่ยงวัน ตะกร้าทั้งสองใบก็เต็ม
"เรากลับไปวัดได้แล้ว" ชินหยุนพูด ขณะที่เดินนำทางขึ้นเขาไป "หลังจากกินอาหารมื้อแรกแล้ว เราก็จะสวดมนต์และอ่านพระคัมภีร์ แล้วเราก็จะกินอาหารมื้อที่สองก่อน พระอาทิตย์ตกดิน แล้วก็รอชาวบ้านที่จะขึ้นมาพร้อมตะเกียงน้ำมันและเทียน เราจะสอนให้เขาร้องเพลงและสวดมนต์ และแปลคัมภีร์ซึ่งยากที่เขาจะเข้าใจให้เขาฟัง แล้วเราก็จะตื่นเมื่อรุ่งอรุณเพื่อเริ่มวันใหม่อีกวัน"
เดินตามหลังมา หลวงพี่เมฆเมตตาไอเบาๆ "อีกวันหนึ่งแล้วก็อีกคืนหนึ่ง...ไม่ช้าก็เป็นฤดูหนาว ขณะนี้เพิ่งจะเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง แต่บนเขาสูงนี่มันก็หนาวจับใจแล้ว เรามีเสื้อผ้าบางๆ เพียง 3 ตัว เราจะต่อสู้กับฤดูหนาวได้อย่างไร"
"อย่ากังวลไป เมื่อฤดูหนาวมาถึง เราก็จะรู้ว่าทำอย่างไร" ชินหยุนพูดใบหน้าครุ่นคิด เธอดีใจที่พลวงพี่เมฆเมตตาอยู่ข้างหลังและมองไม่เห็นใบหน้าของเธอ หยุดพักเพื่อดัดหลังแก้ปวด เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

เธอไม่ได้อ้อนวอนสวรรค์ให้ช่วยบอกว่าควรทำอย่างไร เธอรู้ว่าคำตอบจะต้องมาจากหัวใจของตนเอง                    
                    
                                                                                                                                          (ยังมีต่อ)

ข้อมูลสื่อ

334-017
นิตยสารหมอชาวบ้าน 334
กุมภาพันธ์ 2550
ศ.นพ.ประเวศ วะสี