• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ไข้รูมาติค

ไข้รูมาติค “เจ็บในคอ-ปวดในข้อ-หัวใจรั่ว”

คุณหมอครับ ช่วยดูเจ้าแดงให้หน่อยเถอะครับว่ามันป่วยเป็นโรคอะไร เดี๋ยวบวมที่ข้อนี้ เดี๋ยวบวมที่ข้อนั้น เป็นๆ หายๆ อย่างนี้มาร่วมเดือนแล้วละครับ ตอนนี้มาบวมแดงที่หัวเข่าข้างขวานี้ มันบ่นปวดจนไม่อยากเดิน เอามือแตะจะรู้สึกร้อนผ่าว มันยังบ่นว่ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนมีไข้ อ่อนเพลีย กินข้าวไม่ค่อยได้มาตั้งแต่แรกเป็นเลยละครับ

การรักษาหรือครับ ทีแรกก็ซื้อยาชุดให้กิน เห็นว่าไม่ดีขึ้นก็เลยพาไปหาหมอข้างบ้าน หมอฉีดยาให้ยามากินอยู่หลายวัน อาการบวมที่ข้อท้าซ้ายในตอนแรกก็ยุบหายไป แต่กลับมาโผล่ที่หัวเข่าข้างซ้าย เพื่อนบ้านหลายคนเห็นเข้าดังนี้ ก็บอกให้ไปรดน้ำมนต์ เพราะเชื่อว่าคุณอย่างที่ชาวบ้านเราเรียกกันว่าเป็น “ปาบ” นั่นแหละ พอรดน้ำมนต์ไปได้ 5-6 วัน ข้อที่บวมอยู่เก่าก็ยุบหายไป แต่กลับมาเป็นที่ใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละครับ

  • คุณลุงครับ หมอขอถาม เพิ่มสักข้อหนึ่งนะว่าภายใน 1 เดือนก่อนหน้าที่เจ้าแดงจะมีอาการปวดบวมตามข้อครั้งแรกนั้นมันบ่นว่ารู้สึกร้อน และเจ็บในคอหรือเปล่าครับ

ใช่ครับสัก 2 อาทิตย์ก่อนหน้าที่จะมีอาการข้อบวม เจ้าแดงเป็นไข้ตัวร้อน บ่นเจ็บในคอมาก กินข้าวก็อาเจียน ผมยังเอานิ้วมือล้วงเข้าไปในคอ รู้สึกว่ามีเม็ดขึ้นในคอทั้ง 2 ข้าง อ้าปากดูก็เห็นว่ามีเม็ดโตเท่าพุทราเป็นสีแดงๆ มีหนองขาวๆ ติดอยู่ อย่างที่ชาวบ้านเราเรียกว่า “ซาง” นั่นแหละ ผมซื้อยาชุดจากร้านขายยาให้มันกิน 3-4 วันก็หาย... คุณหมอครับอันนี้มันจะเกี่ยวกับโรคที่เจ้าแดงเป็นตอนนี้ด้วยหรือครับ

มันเกี่ยวข้องกันอย่างแม่กับลูกทีเดียวแหละครับอาการเจ็บคอ มีเม็ดขึ้นเป็นหนองในคอทั้ง 2 ข้างอย่างที่ลุงว่าเป็น ซาง อะไรนั่นที่แท้ก็คือ โรคต่อมทอนซิลอักเสบนี่เอง อาการอักเสบในคอนี้รักษาไม่ยาก กินยาฉีดยาฆ่าเชื้อสัก 3-4 วันก็หาย หรือจะกวาดยาดังที่ชาวบ้านในชนบทเรายังนิยมทำกันอยู่ก็หายได้ หรือแม้แต่จะไม่รักษา มันก็จะหายไข้หายเจ็บคอได้ภายใน 5 วัน 7 วัน ความสำคัญก็อยู่ตรงนี้แหละคือ พอหายเจ็บคอหายตัวร้อนเราก็นึกว่าโรคมันหายแล้วก็ไม่ได้ สนใจจะกินยารักษาต่อเป็นเหตุทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาในภายหลัง โรคแทรกซ้อนที่สำคัญก็คือ โรคไตอักเสบกับโรคข้ออักเสบ แต่มิได้หมายความว่าคนที่เป็นต่อมทอลซิลอักเสบจะเป็นโรคแทรกซ้อนเหล่านี้ทุกคนหรอกนะ

  • ถ้าอย่างนั้นเจ้าแดงก็คงเป็นโรคไตอักเสบ หรือไม่ก็โรคข้ออักเสบนะซีครับ

เจ้าแดงไม่ได้เป็นโรคไตอักเสบหรอกครับ โรคนี้จะชวนให้สงสัยก็ต่อเมื่อหลังจากเจ็บคอแล้วสัก 1-3 อาทิตย์ อยู่ๆ ก็มีอาการบวมที่เท้า บวมที่ท้อง และบวมที่หน้า ปัสสาวะออกเป็นสีน้ำล้างเนื้อ หรือน้ำโคคาโคล่า หมอวัดความดันโลหิตดู อาจจะพบว่าสูงกว่าปกติ เด็กบางคนอาจมีความดันสูงจนถึงกับมีอาการชักด้วยก็ได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ไตเสียหรือไตพิการ ถึงแก่ชีวิตได้ แต่ถ้ารักษาได้ทันกาล ก็อาจหายได้เป็นปกติ ดังนั้นถ้าพบว่า ลูกหลานของเรามีอาการบวมทั้งตัว ปัสสาวะเป็นสีแดงเหมือนน้ำล้างเนื้อหลังจากเป็นไข้เจ็บคอก็ควรพาไปหาหมอ... ส่วนอาการของเจ้าแดงของลุงเป็นนั้นก็คือ โรคข้ออักเสบหรืออย่างที่แพทย์เราเรียกว่า ไข้รูมาติค เด็กที่เป็นไข้เจ็บคอแล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จำนวน 100 คนจะมีโอกาสเป็นไข้รูมาติคได้ถึง 3 คน แต่บางคนที่เป็นไข้รูมาติคก็อาจจะไม่ได้ประวัติว่ามีอาการเจ็บคออย่างชัดเจนมาก่อนก็ได้ โรคนี้พบมากในเด็กอายุ 5-15 ปี ในคนหนุ่มคนสาวก็เป็นได้บ้าง ซึ่งอาการจะไม่รุนแรงเท่าในเด็ก

  • คุณหมอตรวจเจ้าแดงอย่างละเอียดดูแล้ว พบว่ามันมีอาการมากไหมครับ

คุณลุงโชคดีเหลือเกินที่เป็นไม่มาก หมอใช้เครื่องฟัง ฟังหัวใจเจ้าแดงดูแล้วพบว่า หัวใจยังทำงานได้เป็นปกติ คือ เต้นได้จังหวะสม่ำเสมอ ไม่มีเสียงดังฟืดที่แสดงว่าเป็นลิ้นหัวใจรั่ว ก็นับว่าโชคดีกว่าคนอื่นๆ อีกหลายคนที่เมื่อเป็นไข้รูมาติคแล้ว จะมีการอักเสบของหัวใจร่วมด้วย ทำให้รู้สึกเจ็บหน้าอกใจสั่นหรือไม่ก็หอบเหนื่อย หรือถึงกับทำให้หัวใจทำงานไม่ได้ดังที่หมอเราเรียกว่า “หัวใจวาย” หรือ “หัวใจล้ม” นั่นแหละ

  • คุณหมอบอกว่าเจ้าแดงเป็นไม่มาก ถ้าอย่างงั้นคุณหมอฉีดยาแล้วให้ยากลับไปกินต่อที่บ้านได้ไหมครับหรือว่าจะต้องอยู่รักษากับคุณหมอก่อน

ทางที่ดีควรจะอยู่รักษาให้อาการดีขึ้นก่อน ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่มีอาการอะไรน่าวิตก แต่ก็ยังอยากให้เด็กได้นอนพักให้เต็มที่ นอกจากนี้หมอยังต้องการเฝ้าดูอาการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการอักเสบของหัวใจ หมอจะจ่ายยาแก้ปวดแอสไพรินให้กิน 2 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง เพื่อลดอาการข้ออักเสบ (ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะให้เป็น 4 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง) ให้ยาลดกรดควบด้วยเพื่อป้องกันมิให้ยาแอสไพรินระคายต่อกระเพาะ นอกจากนี้จะต้องยาเม็ดเพนวี (ขนาดเม็ดละ 2 แสนหน่วย) กิน 1 เม็ดทุก 6 ช.ม. ยานี้ถ้าเป็นผู้ใหญ่หมอก็ให้กินครั้งละ 4 แสนหน่วย ถ้ากินได้ก็จะเปลี่ยนเป็นยาฉีดให้แทน ซึ่งฉีดยาประเภทเพนนิซิลลินนี้มีโอกาสแพ้เป็นอันตรายได้ หมอก็ต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดก่อน เมื่อเจ้าแดงหายปวดบวมตามข้อ อาการไข้ลงดี และแน่ใจว่าหัวใจไม่เป็นไรแล้ว จึงจะให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน

  • คุณหมอครับ เมื่อคุณหมอรักษาเจ้าแดงจนหายเป็นปกติ จนกลับไปบ้านได้แล้ว ยังจะต้องกลับมารักษากับคุณหมออีกไหมครับ

ทางที่ดีควรจะมาตรวจกับหมอเป็นประจำเพราะโรคนี้มีโอกาสกลายเป็นโรคลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วได้สูงมาก ถ้าหากเป็นไข้เจ็บคอบ่อยๆ หรือมีอาการอักเสบซ้ำๆ จากเชื่อแบคทีเรียตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า เบต้าสเตร๊ปโตคอคคัส (หรือคอคไค) กลุ่มเอ ลิ้นหัวใจซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีการอักเสบร่วมกับไข้รูมาติคมาก่อน ก็จะมีโอกาสอักเสบซ้ำๆ แล้วเกิดการตีบและรั่วขึ้นได้ หากปล่อยไว้เป็นเวลาหลายๆ ปี จนย่างเข้าวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน ลิ้นหัวใจก็จะพิการจนเป็นเหตุให้หัวใจทำการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายไม่ไหว ก็จะเกิดมีอากรหอบเหนื่อยง่ายเวลาทำงานหรือขึ้นลงบันได ถ้าเป็นมากก็ทำให้คนไข้มีอาการเท้าบวม ใจสั่น หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ มีน้ำเลือดคั่งอยู่ในปอด ซึ่งหมอใช้เครื่องฟังจะได้ยินเสียงดังกรึบๆ ที่ส่วนล่างของปอดทั้ง 2 ข้างและหอบเหนื่อยเวลานอนราบ ต้องนอนหมอนสูงๆ หรือลุกนั่ง จึงค่อยยังชั่ว อาการแบบนี้หมอเรียกว่า ภาวะหัวใจวาย คนไข้ก็จะกลายเป็นคนขี้โรค เจ็บออดๆ แอดๆ จนไม่สามารถทำงานเป็นปกติได้ ต้องคอยพึ่งหมอพึ่งยาเป็นประจำ โดยเฉพาะยาช่วยการทำงานของหัวใจที่มีชื่อว่า ไดจอกซิน หรือ ลาน็อกซิน ในที่สุดถ้าลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วมากๆ ยาใดๆ ก็รักษาไม่ได้ผล จะต้องลงเอยด้วยการผ่าตัดเปิดอกเปิดหัวใจลงไป ทะลวงให้ลิ้นเปิดกว้างขึ้น หรือไม่ก็ต้องใส่ลิ้นหัวใจเทียม เพื่อช่วยประทังให้ชีวิตยืนยาวไปอีกสักระยะหนึ่ง โรคหัวใจตีบหรือรั่วซึ่งเป็นผลตามมาจากโรคต่อมทอลซิลอักเสบ และไข้รูมาติคชนิดนี้แพทย์เรียกว่า โรคหัวใจรูมาติค พบบ่อยมากในประเทศที่ด้อยพัฒนาอย่างบ้านเรา โดยเฉพาะในหมู่คนที่มีฐานะยากจนซึ่งร่างกายไม่สมบูรณ์และเมื่อเจ็บป่วยก็ไม่สามารถได้รับการเยียวยารักษาได้เต็มที่ ดังนั้นจึงพบว่า โรคหัวใจรูมาติคนี้เป็นสาเหตุอันดับแรกสุดของหัวใจทุกชนิดในบ้านเรา คือ ในคนที่เป็นโรคหัวใจ 100 คน จะมีสาเหตุจากโรคนี้ถึงกว่า 50 คนทีเดียวแหละครับ หมอจึงอยากแนะนำให้คุณลุงพาเจ้าแดงมารักษากับหมอเป็นประจำ

  • คุณหมอหมายความว่า ถ้าเจ้าแดงมาหาหมอเป็นประจำแล้วก็มีโอกาสหายได้ใช่ไหมครับ จะต้องมาหาหมอบ่อยแค่ไหน และนานเท่าไรกันครับ

ถูกทีเดียวครับ ถ้าเจ้าแดงซึ่งเพิ่งเป็นไข้รูมาติคเพียงครั้งแรกและลิ้นหัวใจยังดียู่ สามารถมาหาหมอเป็นประจำเรื่อยๆ หมอจะให้ยาฆ่าเชื้อโดยเฉพาะพวกเพนนิซิลลิน เพื่อกันมิให้เป็นต่อมทอลซิลอักเสบหรือมีการติดเชื้อของเชื้อเบต้าสเตร๊ปโตคอคคัสกลุ่มเอซ้ำๆ อีก ลิ้นหัวใจที่เคยอักเสบมาบ้าง ก็จะไม่อักเสบซ้ำๆ ซากๆ กะไม่ตีบหรือรั่วต่อไป เจ้าแดงก็สามารถมีชีวิต เช่นคนปกติทั่วไปได้ แต่ต้องรักษาเป็นเวลานานสักหน่อย ตอนนี้เจ้าแดงอายุ 10 ปีใช่ไหมคงจต้องรับยาไปจนกระท่งอายุ 25 ปีหรือ 30 ปีแล้วแต่ว่าเจ้าแดงจะแข็งแรงดีหรือเปล่า การให้ยาฆ่าเชื้อที่สะดวกสักหน่อยก็คือ การฉีดยาเพนนิซิลลินตัวหนึ่ง ที่มีชื่อว่า เบนซาธีนเพนนิซิลลิน ยานี้จะออกฤทธิ์ได้นาน 1 เดือน ดังนั้นหมอจะนัดมาฉีดยาเดือนละครั้ง แต่ยานี้อาจแพ้ถึงตายได้ จึงต้องมาฉีดที่โรงพยาบาลหรือสถานที่ที่มีเครื่องช่วยชีวิตพร้อม หากแพ้ยาขึ้นมาจะได้ช่วยได้ทัน หรือไม่ถ้าเจ้าแดงขยันกินยาได้สม่ำเสมอ หมอจะให้ยาเม็ดเพนวี หรือ ซัลฟาไดอาซีนไปกนทุกวัน แล้วนัดมาตรวจซ้ำทุกเดือน

เมื่อคุณหมออธิบายแล้ว ลุงนึกขึ้นมาได้ว่า น้องสาวของลุงคนหนึ่งตายเมื่ออายุยังสาวเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อนนี้ ก็คงจะตายจากโรคนี้นี่กระมังครับ ตอนนั้นมันมีอาการเหนื่อยหอบ บวมทั้งตัวและมีอาการปวดข้อแบบที่เจ้าแดงเป็นนี่แหละ ไปให้หมอพระดู พระท่านก็ว่าเป็น ปาบ รดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์อย่างไรก็ไม่ได้ผล... คราวนี้ลุงจะต้องให้เจ้าแดงรักษาตามที่คุณหมอแนะนำ ถึงจะนานหลายปี ก็ดีกว่าที่จะปล่อยให้มันอายุสั้นอย่างอาของมัน

ครับ เมื่อคุณลุงเข้าใจความเป็นไปของโรคนี้ดีแล้ว ก็ยากฝากคุณลุงช่วยแนะนำเพื่อนบ้านของคุณด้วยว่า ถ้าหากใครเป็นไข้เจ็บในคอ อ้าปากเห็นต่อมทอลซิลโตแดงแลเป็นหนองแล้วล่ะก็ ควรจะกินยาฆ่าเชื้อ (เพนวี แอมพิซิลลิน หรือซัลฟาไดอาซีน) ให้ได้ครบ 10 วัน และถ้าหากพบว่าใครมีอาการปวดบวมแดงร้อนตามข้อใหญ่ ลักษณะเลื่อนที่ได้ (ข้อหนึ่งๆ อาจจะปวดบวมอยู่นาน 5 วัน 7 วัน หรือเป็นเดือนแล้วก็ยุบหายไปเองได้) พร้อมกับมีไข้ตัวร้อนเบื่ออาหาร บางทีก็อาจมีอาการมือเท้าเคลื่อนไหวผิดปกติคล้ายชัก บางคนอาจมีผื่นแดงขึ้นตามตัว หรือมีตุ่มแข็งขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวขึ้นตามใต้ผิวหนัง ก็พึงคิดว่าอาจจะเป็นไข้รูมติคก็ควรจะไปหาหมอ ถ้าเป็นโรคนี้จริงก็ควรจะรักษากับหมอติดต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าลิ้นหัวใจไม่พิการ หมอคิดว่าภาษิตของไทยเราที่ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” คงใช้กับโรคนี้ได้เหมาะทีเดียวใช่ไหมครับ

ถ้าเป็นต่อมทอลซิลอักเสบ (มีไข้เจ็บในคออ้าปากเห็นต่อมทอลซิลโตแดงและเป็นหนอง) ให้กินยาลดไข้ ใช้น้ำเกลือ (เกลือแกง 1-2 ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว) กลั้วคอและให้ยาฆ่าเชื้อยาเม็ดเพนวี ผู้ใหญ่กินครั้งละ 4 แสนหน่วยวันละ 4 ครั้ง เด็กให้ขนาดวันละ 50,000 หน่วยต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แบ่งให้ 4 เวลากินติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 10 วัน

ข้อมูลสื่อ

2-009
นิตยสารหมอชาวบ้าน 2
มิถุนายน 2522
โรคน่ารู้
รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ