• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

โรคเบาหวานกับเด็ก

 ผศ.พญ.จีรันดา สันติประภพ
โรคเบาหวานกับเด็ก... อันตรายที่ป้องกันได้

เมื่อพูดถึงโรคเบาหวาน คนส่วนใหญ่มักนึกถึงกลุ่มผู้ใหญ่วัยเกิน ๔๐ ปี คนอ้วน ผู้สูงอายุ แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มผู้ใหญ่เท่านั้นที่เป็นโรคเบาหวาน  เพราะที่โรงพยาบาลศิริราชพบเด็กอายุ ๘ ขวบ เป็นโรคเบาหวานเหมือนกับผู้ใหญ่

"เบาหวาน" เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง...ป้องกันได้
กระทรวงสาธารณสุขรายงานจากการสำรวจสภาวะ สุขภาพคนไทย ครั้งที่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ประมาณการว่า มีผู้ป่วยเบาหวาน ๓.๙ ล้านคน แต่มีเพียง ๑.๗ ล้านคนที่เข้าถึงบริการทางการแพทย์ ซึ่งยังไม่รวมผู้ที่มีสภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานอีก ๒ ล้านคน

เด็กและวัยรุ่นเกี่ยวข้องกับเบาหวานอย่างไร
เบาหวานที่พบในเด็กและวัยรุ่น แบ่งเป็น ๒ ชนิด
ชนิดที่ ๑ เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน
เบาหวานชนิดนี้พบบ่อยที่สุดในเด็กและวัยรุ่น เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ อินซูลินเป็นฮอร์โมนทำหน้าที่นำน้ำตาลเข้าไปใช้ในเซลล์ ทำให้เกิดพลังงาน ถ้าร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลที่เกิดจากการกินอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต (เช่น ข้าว แป้ง) ไปใช้เป็นพลังงานได้ ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นโรคเบาหวาน
ชนิดที่ ๒ เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน
โรคเบาหวานชนิดนี้ร่างกายผลิตอินซูลินได้ แต่ เซลล์ต่างๆ ไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน (ดื้อต่ออินซูลิน)  เรียกว่าเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน พบบ่อยในผู้ใหญ่และเด็กวัยรุ่นที่เป็นโรคอ้วน

สมัยก่อนถือว่าเบาหวานชนิดนี้เป็นโรคของผู้ใหญ่ และเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ครอบครัวที่มีโรคเบาหวาน ชนิดนี้ โอกาสที่ลูกจะเป็นเบาหวานก็มีมาก แต่มักจะเป็นในผู้ใหญ่ที่อายุเกิน ๔๐ ขึ้นไปและสัมพันธ์กับโรคอ้วน เนื่องจากภาวะอ้วนทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ปัจจุบัน เด็กเป็นโรคอ้วนกันมาก ทำให้พบโรคชนิดนี้มากขึ้นในเด็กและวัยรุ่น

ข้อมูลของโรงพยาบาลศิริราชที่พบเบาหวานชนิดที่ ๑ และ ๒ เป็นอย่างไร
จากข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๓๐ ถึงธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ พบว่า
มกราคม พ.ศ.๒๕๓๐ - ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๙
เบาหวานชนิดที่ ๑ ร้อยละ ๙๓ 
เบาหวานชนิดที่ ๒ ร้อยละ ๕
มกราคม พ.ศ.๒๕๔๐ - ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๒
เบาหวานชนิดที่ ๑ ร้อยละ ๗๒ 
เบาหวานชนิดที่ ๒ ร้อยละ ๑๘ 
มกราคม พ.ศ.๒๕๔๖ - ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๗
เบาหวานชนิดที่ ๑ ร้อยละ ๗๐ 
เบาหวานชนิดที่ ๒ ร้อยละ ๒๘ 
จากข้อมูลนี้พบว่ามีสัดส่วนของผู้ป่วยเด็กและ วัยรุ่นเป็นเบาหวานชนิดที่ ๒ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สัมพันธ์กับเด็กเป็นโรคอ้วนมากขึ้นในประเทศไทย อย่างชัดเจน
      
สังเกตอย่างไรว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ ๒
อาการของผู้ป่วยเบาหวานมีมากน้อยแตกต่างกันขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยเบาหวานที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงไม่มากอาจไม่มีอาการแต่อย่างใด แต่ตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปี ในรายที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะมีอาการดังต่อไปนี้
๑. ปัสสาวะบ่อย ทำให้หิวน้ำบ่อย
๒. น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ (ปัสสาวะออกมาก สูญเสียน้ำตาลทางปัสสาวะ)
๓. บางรายอาจจะมาด้วยเป็นแผลเรื้อรัง เพราะระดับน้ำตาลสูงในเลือดจะทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานกำจัดเชื้อโรคได้ไม่ดี เป็นแผลหายยาก
๔. บางรายมาด้วยเป็นเชื้อรา ติดเชื้อราตามผิวหนัง เชื้อราที่ช่องคลอด
๕. บางรายมาด้วยอาการน้ำตาลในเลือดสูงมาก จนกระทั่งร่างกายขาดน้ำรุนแรง มีภาวะช็อก มีภาวะเลือดเป็นกรดได้

อาการมีตั้งแต่รุนแรงมาก จนกระทั่งไม่มีอาการอะไรเลย
รายที่ไม่มีอาการอะไรเลย ส่วนใหญ่จะมาพบแพทย์ เพราะอ้วนมาก คุณหมอที่ดูแลหรือคุณพ่อคุณแม่กังวลเรื่องอ้วน  มักจะมีประวัติในครอบครัวเป็นเบาหวาน เมื่อมีการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก็พบว่าเป็นเบาหวาน

ปัจจัยสำคัญของเบาหวานชนิดที่ ๒ คือ ภาวะอ้วน 
จากการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่มาพบแพทย์ด้วยโรคอ้วนที่ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ช่วง ๕ ปีที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเป็นโรคอ้วน อายุตั้งแต่ ๖-๑๘ ปี ๑๒๕ ราย    น้ำหนักเฉลี่ย ๘๐ กิโลกรัม
พบว่ามีร้อยละ ๓ เป็นเบาหวานแล้ว แต่ไม่มีอาการเลย
ร้อยละ ๒๑ ตรวจน้ำตาลพบว่าผิดปกติ แต่ยัง ไม่ถึงขั้นเบาหวาน ซึ่งผู้ป่วยที่เริ่มมีระดับน้ำตาล    สูงผิดปกติแต่ยังไม่ถึงขั้นเบาหวาน มีโอกาสเป็นเบาหวานในอนาคต ถ้าไม่สามารถลดน้ำหนักได้

พ่อแม่สามารถสังเกตลูกหลานของตนเองได้อีกวิธีหนึ่งก็คือ ถ้าลูกเริ่มมีภาวะอ้วน ร่วมกับสังเกตที่ต้นคอเด็ก จะเห็นมีรอยดำๆ หนาๆ ถูเท่าไหร่ก็ไม่ออก บางคนคิดว่าเป็นขี้ไคลรอบคอที่ดำเป็นปื้นหนานี้บ่งบอกว่า เริ่มมีภาวะดื้อ ต่ออินซูลินแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเบาหวานทุกราย  แต่ถ้าสังเกตพบปุ๊บจะต้องให้หมอตรวจระดับ
น้ำตาลดูว่าสูงผิดปกติหรือไม่ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่มีประวัติเป็นเบาหวานก็ตาม

น้ำตาลในเลือดเท่าไหร่ถือว่าปกติ
น้ำตาลปกติคือ น้อยกว่า ๑๐๐ มก./ดล.
การทดสอบน้ำตาลในเลือดมี ๒ วิธีคือ
๑. เจาะเลือดตรวจน้ำตาล หลังงดน้ำ งดอาหาร ประมาณ ๘ ชั่วโมง จะถือว่าเป็นเบาหวาน ถ้าน้ำตาลหลังงดน้ำ งดอาหาร มากกว่าหรือเท่ากับ ๑๒๖ มก./ดล.
แต่ถ้าอยู่ระหว่าง ๑๐๐-๑๒๕ เรียกว่า เริ่มผิดปกติ
๒. ให้กินกลูโคส และอีก ๒ ชั่วโมงเจาะเลือดตรวจน้ำตาล
หลังกินกลูโคส คนปกติน้ำตาลต้องน้อยกว่า ๑๔๐ มก./ดล.  ถ้าเป็นเบาหวานคือ มากกว่าหรือเท่ากับ ๒๐๐ มก./ดล. ถ้าอยู่ระหว่าง ๑๔๐ จนถึง ๑๙๙ ถือว่าเริ่มมีภาวะผิดปกติแล้ว

จากข้อมูลของผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช พบว่ามีผู้ป่วยเด็กประมาณ ร้อยละ ๒๑ อยู่ตรงกลาง ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็มีโอกาสเป็นเบาหวานในอนาคตได้ เรียกว่ากลุ่มเสี่ยง เพราะถ้าปล่อยไว้และอ้วนขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มนี้มีสิทธิ์เป็นเบาหวาน ถือว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ป้องกันได้ไม่ให้เกิดเป็น    เบาหวาน ถ้าสามารถลดน้ำหนักได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 
      
เบาหวานในเด็กและผู้ใหญ่ต่างกันหรือไม่
คำว่า "เด็กเป็นเบาหวาน" ก็เหมือนกับผู้ใหญ่เป็นเบาหวาน โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังตลอดชีวิต มีภาวะแทรกซ้อนตามมา เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนเหมือนในผู้ใหญ่ เช่น
- เบาหวานขึ้นจอตา ทำให้ตามองเห็นไม่ชัด อาจจะต้องมีการยิงเลเซอร์รักษา
- โรคไต การเป็นโรคเบาหวานนานๆ และคุม ระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี ทำให้ไตเสื่อม ปัจจุบันเบาหวานชนิดที่ ๒ เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้   เกิดโรคไตวายในคนไทย
- ปลายประสาทเสื่อม มีอาการชา การรับความรู้สึกที่มือ เท้า ลดลง
- หลอดเลือดแดงตีบแข็งกว่าปกติ โอกาสจะเป็นหลอดเลือดสมองขาดเลือดหรือ อัมพาต กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย มากขึ้น

จุดเริ่มต้นจากเบาหวาน จะไปสู่สาเหตุของโรคเรื้อรังอื่นๆ แต่สามารถชะลอและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ถ้าควบคุมระดับน้ำตาลให้ดี
สิ่งที่สำคัญมากคือ ผู้ป่วยเบาหวาน จะต้องดูเรื่อง ของผลน้ำตาล ดูแลตนเองให้ระดับน้ำตาลอยู่ใกล้เคียงปกติมากที่สุด เพื่อป้องกันและชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เหล่านั้น
เบาหวานชนิดที่ ๑ มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิด เป็นโรคที่ยังไม่สามารถป้องกันได้
แต่เบาหวานชนิดที่ ๒ เป็นโรคที่เกี่ยวกับภาวะอ้วน พฤติกรรมการกิน พฤติกรรมการใช้ชีวิตป้องกันได้ 

เด็กเริ่มมีภาวะอ้วนจะต้องลดน้ำหนัก อย่าให้อ้วนมากไปกว่านี้ หรือกลุ่มที่มีภาวะเสี่ยงเริ่มมีน้ำตาลสูงผิดปกติแล้ว สามารถป้องกันไม่ให้เป็นโรคเบาหวานได้ ถ้าให้เด็กได้ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดูทีวี เล่นเกมคอมพิวเตอร์ให้น้อยลง ใช้ชีวิตกลางแจ้งให้มากขึ้น กลุ่มนี้สามารถกลับมามีน้ำตาลปกติได้ 
      
อยู่กับเบาหวานอย่างไร
เบาหวานชนิดที่ ๑ วิธีการรักษาคือจะต้องมีการฉีดยาอินซูลิน ผู้ป่วยจะต้องเรียนรู้วิธีการฉีดยา การออกฤทธิ์ของยาอินซูลิน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ฉีดยาวันละ ๒-๓ ครั้ง บางรายอาจจะต้องฉีด ๔ ครั้งต่อวัน เพื่อจะควบคุม ให้ระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ที่ดีได้

เรียนรู้โรคเบาหวาน วิธีการดูแลตนเองจะต้องทำอย่างไรบ้าง นอกจากเรื่องการฉีดยาอินซูลินแล้ว ก็จะต้องมีการเจาะเลือดที่ปลายนิ้วเพื่อจะดูระดับน้ำตาล   วันละ ๓-๔ ครั้ง จะได้มีการปรับยา ปรับอาหารให้เหมาะสมกับระดับน้ำตาล

เรียนรู้เรื่องอาหาร กินอาหารที่พอเหมาะ ให้เกิดสมดุลกับความต้องการของร่างกาย
ต้องเรียนรู้ว่า เวลาไม่สบาย กินไม่ได้ จะทำอย่างไร  ถ้าน้ำตาลสูงผิดปกติ ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดเป็นกรด ภาวะช็อก จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง
เด็กและวัยรุ่นที่เป็นเบาหวานชนิดที่ ๑ และพ่อแม่จะต้องมีการเรียนรู้เรื่องเบาหวานเพื่อจะสามารถดูแลตนเองได้ จำเป็นต้องมีการปรับตัว เพราะต้องมีการฉีดยา เจาะเลือด ปรับลักษณะการกินและประเภทของอาหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยจึงจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี

สำหรับเบาหวานชนิดที่ ๒ เกิดจากภาวะอ้วน (พฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิตประจำวัน) และพันธุกรรม
พ่อแม่จะต้องสร้างวินัยในบ้าน นั่นคือลดการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ลดการดูโทรทัศน์ ไม่นอนดึก ฝึกนิสัยการกินที่ถูกต้อง ไม่กินจุบจิบตลอดเวลา
เด็กที่เป็นโรคอ้วนมักจะมาจากปัญหาการขาด วินัยในครอบครัว เด็กจะตื่นกี่โมงก็ได้ เด็กหาอาหารกินเอง เด็กออกไปเล่นเกมกับเพื่อน...ครอบครัวอาจจะต้องมาใส่ใจว่าแต่ละวัน ลูกใช้ชีวิตอย่างไร ลูกกินอะไรบ้าง ลูกออกไปซื้ออะไรบ้าง เด็กบางคนไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ บางทีอยู่กับเพื่อนก็ชวนกันกิน ชวนกันเล่นเกม บางคนอยู่บ้านไม่รู้จะทำอะไรก็นอนกับดูโทรทัศน์ ซื้อขนมถุงกินระหว่างดูโทรทัศน์ เด็กบางคนชอบกินของมันๆ   ทอดๆ ชอบดื่มน้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่มีรสหวานๆ พ่อแม่จะต้องช่วยกันดู ช่วยกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูก และสร้างนิสัยการกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ รวมทั้งกระตุ้นให้เด็กได้มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การลดน้ำหนักโดยการคุมอาหารและออกกำลัง-กายเพิ่มขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนพฤติกรรม   ส่วนใหญ่คนอ้วนที่สามารถลดน้ำหนักลงได้ประมาณ ร้อยละ ๑๐ ของน้ำหนักตัวก็จะส่งผลดีต่อร่างกายแล้ว แต่ต้องทำสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

เบาหวานชนิดที่ ๒ ป้องกันได้จากพฤติกรรม
ถ้าไม่ป้องกันโรคเบาหวานตั้งแต่อยู่ในวัยเด็ก อนาคตจะมีคนไทยเป็นเบาหวานชนิดที่ ๒ มากขึ้นและเริ่มเป็นตั้งแต่อายุน้อยกว่า ๑๐ ขวบ  มีข้อมูลจากการตรวจเลือดเด็กที่มารับบริการจาก โรงพยาบาลศิริราชพบว่า ๑๒๕ รายที่ตรวจวัดน้ำตาลมี ร้อยละ ๓ เป็นเบาหวานแล้ว และพบว่าผู้ป่วยเด็กที่อายุน้อยที่สุดก็คือ ๘ ขวบ สามารถเป็นเบาหวานแบบ ผู้ใหญ่ได้แล้ว

เด็กที่เริ่มเป็นเบาหวานตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ ถ้าควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เช่น ไตเสื่อม เบาหวานขึ้นจอตา ได้ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานตั้งแต่เด็กจะต้องอยู่กับโรคเรื้อรังนี้และภาวะแทรกซ้อนไป อีกนาน ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่แข็งแรง มีค่าใช้จ่ายในการรักษาจำนวนมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือป้องกันอย่าให้เด็กเป็นเบาหวาน นั่นคือ อย่าให้ลูกอ้วน และเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต

ถ้าปล่อยให้เด็กเป็นเบาหวานแล้ว จะมานั่งเสียใจทีหลัง และเป็นตั้งแต่อายุน้อย ค่าใช้จ่ายมาก โดยเฉพาะถ้าวันหนึ่งเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นมาแล้ว ไม่สามารถไปแก้ไขภาวะตรงนั้นได้ 

 

 

 


 

ข้อมูลสื่อ

343-003
นิตยสารหมอชาวบ้าน 343
พฤศจิกายน 2550
โรคน่ารู้
ผศ.พญ.จีรันดา สันติประภพ