• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ท้องนอกมดลูก

ท้องนอกมดลูก



ข้อความนี้เป็นคำสามัญที่แพทย์ใช้อยู่เป็นประจำสำหรับบอกกล่าวกับผู้ป่วยว่า การตั้งท้องของเขาคราวนี้ มิได้เป็นไปอย่างปกติ เป็นการตั้งท้องนอกตัวมดลูกหรือนอกโพรงมดลูก (โปรดดูภาพ)
ดังนั้น ในฐานะหมอชาวบ้านคนหนึ่ง ก็อยากจะเล่าถึง อาการของการท้องนอกมดลูกให้บรรดาชาวบ้านทั้งหลายฟัง เพราะการท้องนอกมดลูกอาจทำให้เกิดอันตรายถึงตายได้ ก่อนที่เราจะทราบถึงอาการของการตั้งท้องนอกมดลูก ก็จำเป็นที่จะต้องทราบถึงความเป็นมาของการตั้งท้องธรรมดาว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

การที่จะให้มีการตั้งท้องหรือมีบุตรได้ จะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างในทางอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งชายหรือหญิง ซึ่งจะต้องเป็นปกติ เช่น ไข่ของหญิงและเชื้ออสุจิของชาย เป็นต้น การผสมพันธุ์จะเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายชายได้ปลดปล่อยน้ำอสุจิที่ส่วนบนของช่องคลอด ส่วนทางฝ่ายหญิงนั้นไข่จะตกจากรังไข่และถูกพัดพาเข้าท่อมดลูก โดยปลายท่อมดลูกที่มีลักษณะเหมือนหนวดปลาหมึก เมื่อไข่ได้เข้าไปในช่องนี้แล้ว ก็จะมีการเคลื่อนไหวมุ่งสู่โพรงมดลูก ส่วนเชื้อสุจิที่ถูกปลดปล่อยในช่องคลอด ก็จะมีตัวสเปอร์มนับแสนนับล้าน เคลื่อนไหวมุ่งสู่โพรงมดลูกมุ่งไปยังท่อ ซึ่งในขณะนั้นถ้ามีไข่ที่พร้อมจะผสมพันธุ์ได้ ก็จะมีตัวสเปอร์ม (ของฝ่ายชาย) ตัวเดียวเท่านั้นที่จะเจาะเข้าในไข่ที่กำลังเดินทางสู่โพรงมดลูก การผสมพันธุ์ก็เกิดขึ้น (โปรดดูจากภาพ) ตำแหน่งที่จะผสมพันธุ์มีได้ตลอดความยางของท่อมดลูก ไข่ที่ถูกผสมพันธุ์นี้จะวิวัฒนาการไปตามธรรมชาติ จนเข้าสู่โพรงมดลูก ซึ่งเปรียบเหมือนสุวรรณภูมิอันอุดมสมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร แล้วก็จะเกาะกับผนังมดลูกเจริญเติบโตและคลอดมาให้เราเห็นในเวลา 9 เดือน หรือ 280 วัน โดยมารดามีการเจ็บคลอดอย่างที่เรารู้ ๆ กันอยู่

ดังได้กล่าวแล้วว่า การตั้งท้องจะเกิดขึ้นอย่างปกติได้ ก็ต้องอาศัยอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งหญิงและชาย ไข่ของหญิงและเชื้ออสุจิของชายจะต้องเป็นปกติ ฉะนั้นหากอวัยวะสืบพันธุ์ของหญิงผิดปกติไป เช่น ท่อมดลูกมีความยาวเกินไป แคบ ตีบตัน และคดเคี้ยวก็ย่อมจะทำให้การเดินทางของไข่เป็นไปไม่ได้สะดวก เมื่อเป็นเช่นนี้ ไข่ทีผสมแล้วก็จะเกาะหรือติดอยู่ในส่วนที่ผิดปกติ ความเจริญเติบโตของไข่ที่ผสมแล้วก็จะเกิดขึ้นจน ถึงขีดที่ท่อมดลูกไม่สมารถขยายตัวตามได้ ก็จะเกิดการแตกผู้ป่วยจะมีอาการตกเลือดภายในช่องท้อง (โปรดดูภาพ)

 

สาเหตุอีกประการหนึ่ง คือท่อมดลูกมีการอักเสบ โดยการติดเชื้อโรคบางชนิดที่ชอบมุ่งหน้าไปยังท่อมดลูกทั้งสองข้าง การอักเสบนี้โดยมากได้รับการติดเชื้อจากฝ่ายชาย ซึ่งป่วยเป็นโรคหนองใน แล้วก็แพร่เชื้อนี้ต่อไปยังหญิง หญิงก็แพร่ต่อไปยังชายอย่างไม่มีสิ้นสุด เมื่อท่อมดลูกได้รับเชื้อนี้แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ท่อมดลูกซึ่งแต่ก่อนราบเรียบเหมือนถนนลาดยางอย่างดี ไข่ของหญิงซึ่งผสมพันธุ์กับสเปอร์มของชาย แล้วสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายจนถึงจุดหมายปลายทาง คือ โพรงมดลูก ซึ่งเตรียมพร้อมสมบูรณ์ที่จะรองรับไข่ได้ตามกำหนดเวลาแต่เมื่อมีการอักเสบของท่อมดลูกหรือที่เรียกว่าปีกมดลูกอักเสบนี้ก็รวมความถึงรังไข่และสิ่งใกล้เคียงได้รับการอักเสบด้วย จึงเรียกรวม ๆ ว่า ปีกมดลูกอักเสบนี้ก็รวมความถึงรังไข่และสิ่งใกล้เคียงได้รับการอักเสบด้วย จึงเรียกรวม ๆ ว่า ปีกมดลูกอักเสบซึ่งอาจเป็นสาเหตุส่งเสริมให้มีการท้องนอกมดลูกได้
 

เชื้อหนองในที่กล่าวถึงนี้ ชอบฝังตัวอยู่บนผิวภายในท่อมดลูกแล้วก็แผ่ไป การอักเสบนี้จะทำให้ผิวภายในท่อมดลูกขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่ราบเรียบเหมือนถนนลาดยางเสียแล้ว การสัญจรไปมาก็ย่อมไม่สะดวก ดังนั้น สเปอร์มก็ดี ไข่ก็ดี มีอุปสรรคในการเดินทางไปผสมพันธุ์ ทำให้ไม่ทันต่อเวลา ก็ต้องสลายตัวไปทั้งสองฝ่าย แต่หากบังเอิญมีการผสมพันธุ์ได้ ไข่ที่ถูกผสมพันธุ์แล้วก็จะตกหลุมตกบ่ออยู่ในท่อมดลูก ฝังตัวลงไปแล้ววิวัฒนาการอยู่ที่นั้น ขยายใหญ่โตจนท่อมดลูกไม่สมารถรับการเจริญเติบโตของไข่ได้ต่อไป ก็แตกออก ทำให้เลือดตกภายในช่องท้อง ดังปรากฏในภาพ (รูปที่ 2)

⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒

                                                 ภาพมดลูก ท่อมดลูก    และรังไข่ 

 

 

1.ไข่กำลังแตกเข้าสู่ท่อมดลูก
2. ไข่กำลังเดินทางสู่มดลูก
3.ไข่กำลังจะถูกผสมจากเชื้ออสุจิจาดฝ่ายชาย( ตัวสเปอร์ม)
4.ไข่กำลังวิวัฒนาการไปตามธรรมชาติ กำลังเข้าสู่มดลูก
5.ไข่กำลังฝังตัวที่ผนังมดลูก แล้วก็เจริญเติบโตเป็นเด็กต่อไปเป็นการตั้งครรภ์อย่างธรรมดา 

 1. ไข่กำลังถูกผสม
2.ไข่เดินทางและฝังตัวอยู่ที่ผนังท่อมดลูก
3.ไข่ที่ฝังตัวที่ปีกมดลูก กำลังจะหลุดจากผนังท่อมดลูกทำให้มีเลือดออกทางปลายท่อมดลูก(ศรชี้)
4.ไข่ฝังตัวที่ผนังปีกมดลูกกำลังชอนไชผนังมดลูกแตกออกมีเลือดตกในช่องท้อง
5.ไข่ฝังตัวที่มุมมดลูกกำลังชอนไชผนังมดลูกแตกออกมีเลือดออกในช่องท้องมากเพราะบริเวณนี้มีเส้นเลือดมาก
6.ไข่ถูกผสมในรังไข่โดยสเปอร์มแล้วเจริญเติบโตจนแตก มีเลือดออกเข้าช่องท้องมาก
7.ไข่ที่ผสมแล้วและแตกแต่ยังเจริญอยู่ในช่องท้องอาจเจริญเติบโตขึ้นเหมือนเด็กธรรมดา

⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ ⇒ 

มีเรื่องขำที่จะขอเล่าให้ฟังว่า หมอชาวบ้านที่เขียนเรื่องนี้ในขณะที่ศึกษาวิชาสูตินรีเวชศาสตร์ ครูผู้สอนได้อธิบายถึงทฤษฏีต่าง ๆ ของการตั้งท้องนอกมดลูก ครูผู้นี้ได้เน้นหนักถึงโรคหนองในว่า เป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยท้องนอกมดลูก เพราะติดเชื้อจากชาย นักเรียนก็รับฟังด้วยความสงบ แต่ต่อมาก็มีข่าวว่า ศรีภรรยาของครูเราได้เข้าโรงพยาบาลและรับการผ่าตัด เพราะมีเลือดภายในช่องท้องเนื่องจากท้องนอกมดลูก แต่นั้นมาครูที่นับถือของเรา ก็มิได้กล่าวอีกว่าโรคหนองในเป็นสาเหตุแต่อย่างเดียว แต่สาเหตุที่น่าคิดอีกก็คือ ความไม่ปกติของท่อมดลูกที่เป็นมาแต่กำเนิด ก็สามารถทำให้ไข่ที่ผสมแล้ว มีอุปสรรคในการเดินทางสู่โพรงมดลูก เพื่อให้ไข่เจริญเติบโตคนครบกำหนดคลอดออกมาให้เด็กร้องแว้ ๆ ได้
ที่กล่าวมานี้ก็เป็นฝอยเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนเคยประสบมา ก็อยากจะเล่าให้ฟังว่า สาเหตุของการเป็นโรคต่าง ๆ นั้น อาจมีมาได้หลายทาง

ต่อไปนี้เราจะได้เข้าสู่ประวัติการเจ็บป่วยและอาการของการท้องนอกมดลูกว่ามีอะไรบ้าง
ผู้ที่จะท้องนอกมดลูกนั้น จะต้องเป็นผู้ที่อยู่ในวัยที่มีบุตรได้เพราะฉะนั้นประวัติสำคัญก็คืออายุของผู้ป่วยและการมีประจำเดือน ซึ่งแพทย์จะต้องทราบอย่างแน่นอนก่อนที่จะการตรวจภายในและวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง
ผู้ป่วยที่ท้องนอกมดลูกจะสังเกตด้วยตนเองได้ว่า ประจำเดือนของตนมาช้าไป 2-3 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น แต่โดยมากมักจะมีระยะเวลาประมาณ 8 สัปดาห์ หรือ 2 เดือน นอกจากการคลาดเคลื่อนของประจำเดือนแล้ว สิ่งสำคัญต่อไป ก็คือ ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บหรือเสียว ๆ ที่ท้องน้อยด้านซ้ายหรือขวา และเมื่อการท้องนอกมดลูกนี้ เกิดแตกมีเลือดตกในช่องท้อง ผู้ป่วยก็จะรู้สึกเจ็บปวดมากอย่างกะทันหัน ถึงกับเป็นลมหน้ามืด ผู้ป่วยจำนวนมิใช่น้อยจะเล่าถึงอาการของตนว่า มีประจำเดือนมาช้า 2-3 สัปดาห์ แล้วก็มีอาการปวดอุจจาระเหมือนกับเป็นบิด ตามที่กล่าวมานี้เป็นอาการที่แพทย์พบบ่อย นอกจากนี้เมื่อมีผู้ป่วยนึกว่าตนเป็นบิด ก็เข้าส้วมแต่แล้วด้วยการเบ่งอุจจาระก็เกิดเป็นลมในส้วม การที่ผู้ป่วยมีอาการแบบนี้ก็เนื่องจากมดลูกคว่ำไปด้านหลัง และท่อมดลูกที่มีการตั้งท้องนั้นก็ถูกดึงไปด้านหลังติดกับทวารหนัก จึงมีอาการอยากถ่ายอุจจาระ ดูประดุจว่าเป็นบิด เมื่อแพทย์ผู้ชำนาญในเรื่องนี้ได้รับการบอกเล่าอาการเช่นนี้ ก็อาจจะกล่าวได้ว่าผู้ป่วยมีการท้องนอกมดลูกเกือบจะร้อยทั้งร้อย

อาการที่สำคัญดังได้กล่าวมาแล้ว คือการปวดท้องอย่างกะทันหันในส่วนล่างของหน้าท้อง ประกอบกับการตกเลือดภายในจนเป็นลมหน้ามืด หรือถ้าเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ผู้ป่วยก็จะมีอาการซูบซีดมาก ทั้งนี้สุดแล้วแต่มีการตกเลือดภายในช่องท้องมากน้อยเพียงใด สำหรับสูตินรีแพทย์นั้น เมื่อทราบประวัติดังกล่าวแล้วข้างต้น ก็นึกถึงการท้องนอกมดลูกประกอบกับอาการซูบซีดและมีของเหลว (เลือด) ในช่องท้องซึ่งตรวจได้ชัดเจนในผู้ป่วยที่อยู่ในวัยที่จะมีบุตรและประจำเดือนได้ขาดไป นอกจากนี้ถ้าเลือดในช่องท้องมีมาก ผู้ป่วยก็จะมีอาการแน่นที่ลิ้นปี่ หรือที่สะบักด้านหลังข้างใดข้างหนึ่ง

ตามที่กล่าวถึงอาการของผู้ป่วยมาแล้ว คือ ความเจ็บปวดและอาการซูบซีดจากการตกเลือด ภายในผู้ป่วยในขณะนั้น อาจจะไม่กล่าวถึงเลือดที่ออกทางช่องคลอดก็ได้ เพราะถ้ามีก็มีจำนวนน้อยเป็นหยดๆ ติดเปรอะกางเกงเท่านั้น หรือไม่มีเลยก็ได้ ทั้งนี้เพราะตามธรรมดาของการตั้งท้อง จะเกิดปฏิกิริยาในโพรงมดลูก มีเยื่อชนิดหนึ่งในผนังมดลูกเกิดขึ้น เพื่อรองรับไข่ที่ผสมแล้วให้เจริญเติบโตต่อไป แต่ถ้าเกิดมีการท้องนอกมดลูก เยื้อนี้จะแยกตัวออก และถูกขับออกทางช่องคลอด บางทีผู้ป่วยก็เก็บมาให้แพทย์ดู คล้ายกับว่าเป็นการแท้งลูกธรรมดา ดังนั้นผู้ที่มีประจำเดือนและตั้งท้องอย่างธรรมดา แล้วมีการแท้งลูก เลือดจะออกมาทางช่องคลอดมากกว่าผู้ที่ตั้งท้องนอกมดลูก ซึ่งเลือดจะออกมาในลักษณะเป็นหยดๆติดกางเกง เนื่องจากการแยกตัวของเยื้อที่บุมดลูก ซึ่งบางทีออกมาอย่าง และมีสิ่งแปลกปลอมดังกล่าวออกมา นำมาให้แพทย์ดู แพทย์ก็จะวินิจฉัยได้ว่าเป็นการท้องนอกมดลูก
 

ดังได้กล่าวแล้วว่า อาการสำคัญของการท้องนอกมดลูก คือ การเจ็บปวดอย่างกะทันหันและอาการซูบซีด เนื่องจากไข่ครบถ้วนเป็นรูปร่างสามเหลี่ยมของตัวมดลูก ดังนั้นถ้าผู้ป่วยมีอาการตกเลือด หรือมีเลือดออกทางช่องคลอด ที่ถูกผสมแล้วได้แตกออกจากท่อมดลูก เพราะการชอนไชของไข่ที่ผสมแล้วและท่อมดลูกไม่มีเยื่อที่จะรองรับ เช่น ในโพรงมดลูก ประกอบกับท่อมดลูกมีกล้ามเนื้อน้อย จึงทนการขยายตัวของไข่ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อมีการแตกออกจากจุดที่ไข่ถูกฝังตัว อยู่ในท่อมดลูกเข้าสู่ช่องท้อง หากไข่นี้ยังมีชีวิตอยู่ ก็อาจจะเจริญเติบโตในช่องท้อง อยู่กับลำไส้และอวัยวะต่าง ๆ ในช่องท้อง เด็กก็อาจจะเจริญเติบโตไปจนครบกำหนดได้ ผู้ที่ตั้งท้องแบบนี้จะมีอาการเจ็บปวดและเสียเลือดน้อยมาก จึงไม่มาหาแพทย์ ไข่ของหญิงจะมีอายุเพียง 12 ชั่วโมง แล้วก็จะฝ่อตายไป ส่วนเชื้ออสุจิหรือสเปอร์มนั้น มีอายุได้ 24 ชั่วโมง หรือมากกว่านี้เล็กน้อยแล้วก็ตายไป ดังนั้น การที่จะตั้งท้องโดยปกติหรือนอกมดลูก จะต้องมีจังหวะผสมกันภายในระยะเวลาที่กล่าว
 

สรุปอาการของผู้ป่วยที่ท้องนอกมดลูก ก็คือ การขาดประจำเดือน การเจ็บปวดอย่างกะทันหันที่บริเวณท้องน้อยข้างใดข้างหนึ่ง ผู้ป่วยรู้สึกเป็นลมหน้ามืด มีอาการซูบซีด มีเลือดออกทางช่องคลอดเพียงเป็นหยด ๆ เท่านั้น อาการต่าง ๆ ของผู้ป่วยนี้ไม่สัมพันธ์กับการเสียเลือดที่ออกมาให้เห็น
ข้อควรจำอีกประการหนึ่งที่บรรดาชาวบ้านควรทราบไว้ ก็คือถ้าท่านมีอาการปวดท้องส่วนล่างแล้วไปให้แพทย์ตรวจภายในเพื่อหาสาเหตุของโรค แต่หลังจากได้รับการตรวจแล้วมีอาการวิงเวียนศีรษะและเป็นลม ก็พึงสังวรว่าในการตรวจนี้ได้เกิดการกระทบกระเทือนโดยแพทย์มิได้ตั้งใจ เป็นเหตุให้การตั้งท้องนอกมดลูกเกิดแตกและมีการตกเลือดภายใน

เมื่อชาวบ้านมีอาการคล้ายกับที่กล่าวมาแล้ว ขอให้รีบปรึกษาแพทย์ อย่ามัวรักษากันเองเป็นอันขาด แพทย์มักจะให้เลือด และทำการผ่าตัด หากชักช้าอาจเป็นอันตรายถึงตายได้

 

ข้อมูลสื่อ

20-006
นิตยสารหมอชาวบ้าน 20
ธันวาคม 2523
โรคน่ารู้
ศ.นพ.ม.ล.เกษตร สนิทวงศ์