• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เด็กสามขวบถึงสี่ขวบ

เด็กสามขวบถึงสี่ขวบ


                              

 


ลักษณะของเด็ก


307 ลักษณะของเด็กอายุ 3-4 ขวบ

ปัญหาของเด็กวัยนี้คือ “ความเป็นตัวของตัวเอง” จะปรากฏออกมาในรูปของ “การเอาแต่ใจตนเอง” ซึ่งมิใช่รูปแบบของความเป็นตัวของตัวเองที่สมบูรณ์ เพราะเด็กยังหวังพึ่งแม่อยู่ กล่าวคือ เด็กคิดว่า ถ้าหากแกยืนยันความต้องการของตนเองแล้ว ในที่สุดคุณแม่ก็คงจะยอมแพ้ การฝึกเด็กให้พ้นจากสภาพ เอาแต่ใจตนเอง” ไปสู่ “ความเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง” คือ ก้าวแรกของการ “บ่มนิสัย” เด็กและสร้างความสมดุลระหว่างความเป็นอิสระและการรู้จักความร่วมมือของเด็ก
การจะทำให้เด็กยอมรับ “กฎเกณฑ์” ของความร่วมมือด้วยตนเองนั้น เด็กจะต้องพอใจและมีความสุขในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นเสียก่อน

ความต้องการของเด็กวัย 3-4 ขวบนี้ แม่มักจะขัดไม่ค่อยได้ คุณแม่ของเด็กวัยนี้ควรเตรียมตัวเตรียมใจที่จะต่อกรกับลูกไว้ด้วย ถ้าไม่อยากให้ลูกดูแคลนว่าเป็นคน “ใจอ่อน” คุณแม่ต้องพยายามผลักไสลูกออกไปเวลาที่เด็กทำท่าจะมาพึ่งแม่ แต่มีแม่จำนวนมากที่เกรงว่าการผลักไสลูกออกไปจะทำให้เด็กไม่ยอมร่วมมือกับตนอีก จึงไม่กล้าปล่อยให้เด็กเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ แม้ว่า “กฎเกณฑ์” ของการอยู่ร่วมกันภายในบ้านซึ่งพ่อแม่ตั้งขึ้นมานั้น เด็กไม่ค่อยจะยอมทำตาม แต่ถ้าหากเด็กมีความสุขในสังคมนอกบ้านกับเพื่อนๆ เด็กก็จะรู้จักเคารพกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในที่สุด เช่น ถ้าเด็กมีโอกาสเล่นกับเพื่อน 3-4 คน ทุกวันในสนามเด็กเล่น พอใจและมีความสุขในการอยู่ร่วมกับเด็กอื่น เด็กก็จะยอมรับกฎของสังคมนั้น เพราะแกเรียนรู้ว่าหากแกเอาแต่ใจตนเอง ทุกคนจะร่วมสนุกกันไม่ได้ เด็กที่เคยหวงของเล่นไม่ยอมให้ใครเล่นมาก่อนจะรู้จักเสนอของเล่นของตนให้เพื่อนๆเล่น

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือซึ่งเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติในสังคมเด็กนี้ มิใช่สิ่งสมบูรณ์ เวลาถูกเพื่อนต่อว่ารุนแรง เด็กจะวิ่งกลับบ้านร้องไห้มาฟ้องแม่ และไม่ยอมเล่นกับเพื่อนไปพักหนึ่ง
แม่จำนวนมากให้ลูกไปโรงเรียนอนุบาลเมื่ออายุได้ 3 ขวบ เพราะต้องการให้ลูกอยู่ห่างจากแม่ในช่วงเวลาหนึ่ง และมีโอกาสพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง เมื่อเด็กเริ่มไปโรงเรียนอนุบาลแล้ว มักเป็น “เด็กดี” ขึ้น รู้จักเคารพกฎเกณฑ์ต่างๆ เพราะเด็กเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น หวังพึ่งแม่น้อยลง และรู้ว่าการอยู่ร่วมกับผู้อื่นมีความสนุกอย่างไร เด็กจึงสนใจ เด็กจึงสนใจที่จะรักษาความสนุกนั้นไว้ คุณแม่ส่วนใหญ่ตระหนักดีว่าการบ่มนิสัยลูกนั้นกระทำแต่เฉพาะในบ้านไม่สำเร็จ จึงอยากส่งลูกไปอยู่โรงเรียนอนุบาลเมื่ออายุ 3 ขวบ

เด็กวัยนี้มีลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่ง คือ เป็นวัยที่จินตนาการสร้างสรรค์พัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมาก แต่จินตนาการของเด็กจะปะปนอยู่กับโลกของความเป็นจริง เพราะในโลกจริงๆแกก็พบกับสิ่งแปลกใหม่อยู่ทุกวันและรู้สึกสนุกด้วย รูปภาพและนิทานจะช่วยเพิ่มสีสันให้แก่ชีวิตของเด็ก จินตนาการของเด็กเปรียบเสมือน “เครื่องขยายความเป็นจริง” ดังนั้นผู้ใหญ่ควรสนับสนุนให้เด็กมีจินตนาการสร้างสรรค์เพื่อช่วยเพิ่มความสุขในชีวิตจริงของเด็ก เช่น ซื้อหนังสือภาพให้ เล่านิทานให้ฟัง ให้ฟังเพลง วาดรูป เล่นดินน้ำมันหรือดินเหนียว เล่นแท่งไม้ ทำสนามทรายให้เล่น ฯลฯ หากคุณแม่ทำสิ่งเหล่านี้ให้ลูกด้วยตนเองไม่ได้ ก็ให้เด็กไปโรงเรียนอนุบาลซึ่งเปิดโอกาสให้เด็กได้ทำสิ่งเหล่านี้อย่างเต็มที่
จินตนาการของเด็กเป็นส่วนที่เพิ่มสีสันให้กับชีวิตจริงก็จริงอยู่ แต่มิได้มีเฉพาะสีสวยเท่านั้น บางครั้งก็มีสีดำ การที่เด็กอายุ 3 ขวบกลัวความมืด ไม่กล้าไปห้องน้ำคนเดียวตอนกลางคืน ก็เพราะแกจินตนาการว่าจะมีสิ่งน่ากลัวแฝงตัวอยู่ในความมืดนั่นเอง

เราไม่ควรฝืนบังคับให้เด็กเข้าไปในที่มืด เพื่อแสดงว่าในความมืดนั้นไม่มีอะไร หรือให้สุนัขเลียมือเด็ก ทั้งๆที่แกกลัวมาก เราให้เด็กได้ผจญภัยในโลกซึ่งแกไม่กลัวจนกระทั่งเกิดความกล้าขึ้นมาเองจะดีกว่า เช่น พาไปสนามเด็กเล่น แกว่งชิงช้าแรงๆ โดยมีคุณพ่อหรือคุณแม่คอยดูอยู่ข้างๆ หัดเดินบนราวไม้เตี้ย หัดยืนขาเดียว หัดเขย่งเก็งกอย หัดปีนป่าย เป็นต้น

เด็กวัย 3-4 ขวบนี้ ที่ไม่ยอมนอนกลางวันเลยก็มีมาก บางคนนอนกลางวันสัปดาห์ละหนเดียว แต่เด็กบางคนยังนอนตอนบ่ายวันละชั่วโมงทุกวัน ทั้งนี้แล้วแต่นิสัยในการนอนของเด็กแต่ละคน เด็กซึ่งไปโรงเรียนอนุบาลแล้ว ครูให้นอนกลางวันเพื่อให้เด็กได้พักผ่อนหลังจากที่ทำกิจกรรมต่างๆจนเหนื่อย เด็กจะมีอารมณ์ดีขึ้น ถ้าได้นอนกลางวันสักหนึ่งชั่วโมง

เวลานอนตอนกลางคืนของเด็กวัยนี้ ถ้าเป็นเด็กที่ไปโรงเรียนแล้วจะนอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม หรือ 3 ทุ่ม และตื่นตอน 6 โมงหรือ 7 โมงเช้า เด็กบางคนก็นอนดึกเกิน 4 ทุ่ม ตื่นสายแทบไม่ทันรถโรงเรียนหรือต้องไปป้อนอาหารเช้ากันในรถ น่าจะหัดให้นอนเร็วขึ้นเพื่อจะได้ตื่นเร็วขึ้นและมีเวลากินอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียน สำหรับเด็กที่ไม่ได้ไปโรงเรียนอนุบาลจะนอนดึก ตื่นสาย 9 โมงเช้าก็ได้ แต่ต้องเป็นเวลาทุกวัน การหัดให้เด็กมีชีวิตประจำวันที่มีกฎเกณฑ์และเป็นเวลานั้น มิใช่จรรยาบรรณของสังคม แต่เพราะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และเมื่อเด็กมีอาการผิดปกติเราจะสังเกตเห็นได้โดยเร็ว

การกินอาหารของเด็กจะเป็นไปตามนิสัยดั้งเดิม คนที่เคยกินจุก็จะกินจุต่อไป คนที่เคยกินน้อยก็ไม่ค่อยจะยอมกินเหมือนเดิม ช่วงอายุ 3-4 ขวบนี้น้ำหนักของเด็กจะเพิ่มเพียง 1.5-2 กิโลกรัมโดยประมาณในหนึ่งปี เป็นช่วงที่เด็กกินไม่มากนัก นิสัยเลือกอาหารจะยิ่งปรากฏเด่นชัดยิ่งขึ้น คนที่ไม่ชอบกินทั้งปลา ไข่ และเนื้อต้องชดเชยด้วยนมและถั่ว สำหรับเด็กที่นอนเร็วตั้งแต่ 2 ทุ่ม เราให้อาหารว่างระหว่างมื้อวันละ 2 ครั้งก็พอเพียง แต่สำหรับเจ้าหนูจอมพลังยอดซนซึ่งนอนดึกแถมยังตื่นเช้านั้นให้นมหรืออาหารว่างเพียงวันละ 2 ครั้งคงจะไม่พอ

ทางด้านการขับถ่าย เด็กจะบอกอึและฉี่ได้แล้ว แต่ถ้าแกกำลังเล่นเพลินบางครั้งอาจจะเผลอฉี่ออกมาโดยไม่รู้ตัว เด็กวัยนี้หัดให้เช็ดก้นหรือล้างทำความสะอาดด้วยตนเองหลังอุจจาระได้แล้ว แต่ผู้ใหญ่ยังต้องคอยตรวจผลงานของแกอยู่ตอนกลางคืน เมื่อให้เด็กฉี่ก่อนนอน และพาไปห้องน้ำอีกครั้งก่อนคุณแม่เข้านอน เด็กส่วนใหญ่จะอยู่ได้ถึงเช้าโดยไม่ทำเปียก แต่ก็มีเด็กผู้ชายจำนวนมากซึ่งยังฉี่รดที่นอน สำหรับเด็กวัยนี้การดูว่าเมื่อเด็กพลาดเท่ากับส่งเสริมให้เด็กฉี่รดที่นอนมากยิ่งขึ้น

เด็กอายุ 3 ขวบหัดแต่งตัวเองได้แล้ว แต่กระดุมเม็ดบนสุดยังติดเองไม่ได้ เพราะแกต้องดูไปพลางจึงจะติดกระดุมได้ ส่วนการผูกเชือกนั้นยังยากไปสำหรับเด็กวัยนี้ การล้างหน้าแปรงฟันตอนเช้าต้องให้ทำเอง เด็กผู้หญิงบางคนก็หวีผมเองได้ด้วยก่อนกินอาหาร หัดให้ล้างมือเองทุกครั้งและกินอาหารเองด้วย แม้จะหกเลอะเทอะบ้างก็ไม่เป็นไร ใช้ผ้ากันเปื้อนและทำความสะอาดทีหลังก็ได้ หลังกินนมหัดให้บ้วนปากและแปรงฟันเองจนเป็นนิสัยการอาบน้ำ ค่อยๆหัดให้อาบเอง แต่เด็กวัยนี้ยังสั่งน้ำมูกเองไม่ค่อยเป็น

การฝึกเด็กเพื่อให้มีร่างกายที่แข็งแรงนั้นสำคัญมากสำหรับช่วงอายุนี้ และจำเป็นต้องมีของเล่นขนาดใหญ่ เช่น ชิงช้า โครงเหล็กสำหรับปีนป่าย บาร์โหน ไม้ลื่น ฯลฯ ซึ่งยากที่จะมีไว้ในบ้าน เด็กที่ไม่ได้ไปโรงเรียนอนุบาล ควรไปโล้ชิงช้ากับเด็กอื่นๆในสนามเด็กเล่น ให้เล่นไล่จับกันบ้าง ปีนป่ายด้วยกันบ้างเพื่อให้เด็กได้ออกกำลังกายอย่างสนุกสนาน ภาพเด็กเล่นออกกำลังกายนี้หาได้ยากมากในบ้านเรา ทั้งๆที่ควรจะมีให้เห็นทุกมุมถนนซึ่งมีชุมชน หวังพึ่งโรงเรียนอนุบาลก็ยาก เพราะโรงเรียนอนุบาลยังถือคติว่า “ที่นี่คือ โรงเรียนค่ะไม่ใช่โรงเล่น” ผู้ปกครองจำนวนมากก็คำนึงถึงการเรียนมากกว่าสุขภาพของลูกเสียด้วย โรงเรียนย่อมอยากเอาใจผู้ปกครองเป็นธรรมดา จนกว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนทัศนคติหันมาคำนึงถึงสุขภาพและการออกกำลังกายของเด็กมากยิ่งขึ้นกว่าทุกวันนี้ เราจึงจะมีโอกาสเห็นภาพเด็กไทยแก้มใสแข็งแรงน่ารักเต็มเมือง เข้ามาแทนที่เด็กหน้าเซียวหิ้วกระเป๋านักเรียนใบโตจนตัวเอียงในปัจจุบัน และเสียงเรียกร้องของคนจำนวนมากเท่านั้นที่จะทำให้โรงเรียนอนุบาลและที่ว่างหย่อมเล็กๆ ทั่วเมือง กลายเป็นสวรรค์น้อยๆของเด็กเล็กๆได้

เด็กญี่ปุ่นวัยนี้จะถูกฝึกให้เดินมากอย่างน้อยวันละชั่วโมง แม้แต่เด็กอนุบาลก็มีวัน “เดินทางไกล” ซึ่งครูจะพาเด็กๆเดินขึ้นเนินเขาเตี้ยๆ เป็นการฝึกความอดทน เมื่อสิ้นสุดการเดินทางไกล ก็จะกินอาหารร่วมกันในรูปปิกนิกและเล่นด้วยกันบนเขาหรือกลางทุ่งอย่างสนุกสนานมากภูมิอากาศและภูมิประเทศของเราต่างจากเขาก็จริง แต่พื้นฐานจิตใจของเด็กและความต้องการทางสรีระนั้นไม่แตกต่างกันแน่นอน ผู้ใหญ่คือผู้วางรากฐานทั้งทางด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็กเสียด้วย เราควรจะตระหนักถึงความสำคัญในข้อนี้ให้มาก

โรคส่วนใหญ่ของเด็กในช่วงอายุ 3-4 ขวบ คือ โรคติดต่อซึ่งติดจากเพื่อน เด็กที่เริ่มไปโรงเรียนอนุบาลจะติดหวัด อีสุกอีใส หัด คางทูม ฯลฯเวลาที่จู่ๆเด็กก็มีไข้ตัวร้อน ซึ่งมักจะเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส เด็กอาจชักจนพ่อแม่ตกใจ ส่วนใหญ่ต้นเหตุของไข้คือ เชื้อหวัดนั่นเอง บางครั้งเด็กมีเลือดกำเดาออกตอนกลางคืน ตื่นเช้าจึงรู้ตัว สาเหตุที่ทำให้เด็กเลือดกำเดาออกเรามักไม่รู้ แต่ไม่น่าเป็นห่วงนัก (ดูหัวข้อ 302 เลือดกำเดาออกตอนกลางคืน)เด็กวัยนี้ถูกสุนัขกัดบ่อย ควรระมัดระวังเอาไว้ หากถูกกัดต้องตามหาให้พบว่าถูกสุนัขตัวใดกัด เป็นสุนัขที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าไว้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ฉีดต้องติดตามดูว่าสุนัขตัวนั้นมีอาการผิดปกติหรือไม่ หากสุนัขตายและตรวจพบว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้า เด็กจะต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคซึ่งเป็นความทรมานอย่างสาหัสของเด็ก 3 ขวบ

เรื่องสุนัขนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่ของไทย เราใจบุญแต่ใจบุญครึ่งๆกลางๆ เลี้ยงสุนัขก็ไม่ดูแลฉีดวัคซีนกันโรคให้มัน ไม่อยากเลี้ยงลูกสุนัขหลายๆตัว แต่ก็ไม่คุมกำเนิดให้มัน พอออกลูกก็เอาไปปล่อยบอกว่าสงสาร แต่ไม่ยักเวทนามันว่ามันจะต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆ ติดโรคสารพัดชนิดและทรมานไปจนตลอดชีวิต แถมยังนำโรคร้ายมาสู่คนอีกด้วยอุบัติเหตุถูกของร้อนก็เกิดบ่อยในวัยนี้ (ดูหัวข้อ 198 ถูกของร้อน) อาการอาเจียนเป็นระยะและหลอดลมอักเสบคล้ายหืด เกิดได้บ่อยเช่นกัน แต่โรคที่จะทำให้คุณแม่ปวดหัวบ่อยที่สุดคือ อาการปวดท้องของเด็กตอนเช้ากำลังกินอาหารเด็กจะบอกว่า “ปวดท้อง!” คุณแม่เอายาหม่องทาให้บ้าง ให้เข้าห้องน้ำบ้าง ให้เข้าห้องน้ำบ้าง อาการก็หายไปภายใน 20-30 นาที เด็กเล่นได้หัวเราะได้เหมือนเดิม เด็กที่เริ่มไปโรงเรียนอนุบาลแล้ว มักจะร้อง “อูย ปวดท้อง!” ตอนกำลังจะไปโรงเรียนพอดี คุณแม่จึงให้หยุดอยู่บ้าน หนึ่งชั่วโมงให้หลังเด็กก็ออกไปเล่นนอกบ้านได้แล้ว เหมือนเด็กแกล้งป่วยการเมืองเพราะไม่อยากไปโรงเรียน แต่ตอนปวดท้องนั้นเด็กปวดจริงๆมิได้โกหก สาเหตุที่แท้จริงเราไม่ทราบ ถ้าอาการนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ เวลาเด็กเกิดไม่พึงพอใจอะไร ต้นเหตุก็คงจะเป็นเรื่องของจิตใจ

สำหรับปัญหาที่เกิดกับผิวหนังก็มีผื่นแพ้และหูด ซึ่งจะกล่าวถึงในภายหลัง นอกจากนั้นยังมีโรคพยาธิซึ่งติดมาจากโรงเรียนอนุบาลได้ ที่เป็นบ่อยคือ พยาธิเข็มหมุด หรือพยาธิเส้นด้าย ซึ่งเด็กจะมีอาการคันก้น ควรตรวจพยาธิอย่างน้อยปีละครั้ง 

         

                                                                                                                               (อ่านต่อฉบับหน้า)

 

 

ข้อมูลสื่อ

96-014
นิตยสารหมอชาวบ้าน 96
เมษายน 2530