• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เด็กสี่ขวบ ถึงห้าขวบ

 

                                

 

 

 

ลักษณะของเด็ก

 

346. ลักษณะของเด็กอายุ 4-5 ขวบ
เด็กอายุ 4-5 ขวบเป็นวัยของนักสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และการเป็นนักสร้างสรรค์นี้ช่วยพัฒนาสติปัญญา รวมทั้งสมรรถภาพทางกายของเด็กด้วย สำหรับเด็กวัย 4 ขวบนั้น จักรยาน 3 ล้อเล็กเป็นสิ่งที่น่าเบื่อไปเสียแล้ว เด็กบางคนขี่จักรยานสองล้อได้ ในวัยนี้ เล่นปาบอลได้ไกลขึ้น ไม้ลื่นขนาดสูงประมาณ 1 เมตร จะกลายเป็นแท่นกระโดดด้วย เขย่งเก็งกอยก็เป็น ตีลังกาก็เป็น และถ้าหัดให้ว่ายน้ำก็จะว่ายเป็น
เด็กที่ชอบรถยนต์ สามารถจำยี่ห้อรถยนต์ได้หมด เด็กที่ชอบอ่านหนังสือจะเริ่มอ่านตัวอักษรออก เด็กจะจำเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้แม่นยำ รู้ความแตกต่างระหว่างเมื่อวาน วันนี้ และพรุ่งนี้ รู้จักสีแดง ขาว เขียว เหลือง ฯลฯ สำหรับบ้านที่ไม่เข้มงวดการดูโทรทัศน์ เด็กจะติดโทรทัศน์มาก นิสัยในการโทรทัศน์ของเด็กขึ้นอยู่กับนโยบายและนิสัยในการดูโทรทัศน์ของพ่อแม่และผู้ใหญ่ในบ้าน โทรทัศน์มิใช่สิ่งมีโทษร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่นบุหรี่ เด็กจะได้รับประโยชน์หรือโทษจากโทรทัศน์มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ทั้งในบ้านและในสังคม

เด็กวัย 4-5 ขวบ สามารถใช้แขนขาได้อย่างอิสระตามต้องการ ควรสนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาสใช้สติปัญญา สร้างสรรค์ความฝันในอากาศของเขาให้ปรากฏเป็นจริงบนดิน พ่อแม่และครูมีส่วนช่วยพัฒนาพลังสร้างสรรค์ของเด็ก สถานเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาลที่ดีเน้นด้านนี้ ความรับผิดชอบและจินตนาการสร้างสรรค์ของเด็กพัฒนามากในชั่วโมง “อิสระ” ครูที่เข้าใจชีวิตและความรู้สึกนึกคิดของเด็ก สามารถชักนำให้เด็กเกิดความอยากคิดอยากทำ นำผลงานในชั่วโมง “เรียน” ของเด็ก เช่น ดินน้ำมันที่เด็กปั้นเป็นส้ม ปลา เครื่องบิน มาให้เด็กคิดสร้างโลกในฝันของตนขึ้นเอง ซึ่งเมื่อเปรียบกับเด็กที่เล่นอยู่คนเดียวในบ้านแล้ว โลกของเด็กในโรงเรียนอนุบาลดี ๆ ย่อมยิ่งใหญ่กว่ามาก สามารถสร้างตลาดหรือเมืองใหญ่ได้ทีเดียว ผู้ใหญ่จำนวนมากไม่เคยเห็นโลกในฝันของเด็ก จึงไม่ทราบว่าพลังสร้างสรรค์ของเด็กนั้นสำคัญเพียง ใด ไม่สนใจว่าวงการโทรทัศน์กำลังครอบงำความคิดของเด็กด้วยโลกจำลองของผู้ใหญ่ และไม่รู้สึกเดือดร้อนเมื่อพลังสร้างสรรค์ของเด็กถูกจำกัดจนแคระแกร็น

คุณแม่บางคนเกรงว่าลูกจะเบื่อเรียนเสียก่อนขึ้นประถมจึงไม่ส่งไปเรียนโรงเรียนอนุบาล ปล่อยให้เล่นอยู่ที่บ้าน แต่เมื่อเด็กล้มเก้าอี้ลงเพื่อทำเป็นรถยนต์หรือเครื่องบินขี่เล่น คุณแม่ก็ห้ามปราม และสั่งสอนว่าทำเช่นนั้นเก้าอี้ก็พังหมด เก้าอี้มีไว้สำหรับนั่งอยู่บนขา จับนอนไม่ได้ เป็นต้น การสนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาสพัฒนาสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ เป็นหน้าที่ของทั้งทางบ้านและทางโรงเรียน โรงเรียนอนุบาลบางแห่งยึดแต่นโยบาย “เรียน” จนเด็กขาดโอกาสพัฒนาพลังสร้างสรรค์ โรงเรียนอนุบาลควรมีสนามกว้างให้เด็กได้วิ่งเล่นอย่างเต็มที่ และคลุกดินคลุกทรายได้อย่างปลอดภัย แต่เป็นที่น่าเสียดายโรงเรียนจำนวนมากหวาดเกรงอุบัติเหตุ กลัวเสื้อผ้าของเด็กเปรอะเปื้อนเลอะเทอะ กลัวผู้ปกครองต่อว่า กลัวสารพัด จนเด็กถูกจำกัดให้อยู่แต่ในห้องเรียนอย่างแออัดยัดเยียด บางห้องมีเด็กถึง 40 คน ของเล่นก็มีจำนวนไม่พอ เมื่อถึงชั่วโมง “อิสระ” เด็กแย่งของเล่นกัน จ้าละหวั่น เด็กคนไหนใจดี ไม่กล้าแย่งของ ก็ต้องนั่งดูดนิ้วเพราะว่างงาน ชั่วโมง “อิสระ” มักเป็นชั่วโมงที่เด็กส่งเสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าว ครูก็เหนื่อยและหนวกหูห้องข้างเคียง เด็กจึงถูกจับเรียนแทบทั้งวัน และกลับบ้านด้วยความอ่อนระโหยในสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะไม่มีนักสร้างสรรค์ จะมีแต่เด็กเรียบร้อย มารยาทดี ไม่มีสิทธิ์โต้แย้งใครเฉกเช่นกันกับลูกจ้างในโรงงานเผด็จการ โรงเรียนอนุบาลแบบนี้มักไม่มีการติดต่อสื่อสารหรือสนทนากันระหว่างครูกับผู้ปกครอง จดหมายจากโรงเรียนถึงทางบ้านมีเพียงจดหมายทวงค่าเทอมและขอค่ากิจกรรมพิเศษต่าง ๆ เท่านั้น

เวลานอนของเด็กวัยนี้แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม เด็กที่ไปโรงเรียนอนุบาลหรือสถานเลี้ยงเด็กต้องออกจากบ้านแต่เช้าจึงต้องนอนหัวค่ำ อย่างไรก็ดี สมัยนี้เด็กส่วนใหญ่ นอนประมาณ 3-4 ทุ่ม ตื่น 7-8 โมงเช้า เพราะผู้ใหญ่นอนดึกและกลับถึงบ้านช้ากว่าสมัยก่อน พ่อแม่มีเวลาเล่นกับลูกเฉพาะช่วงหัวค่ำก่อนนอน ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญของครอบครัว เด็กที่อยู่กับบ้านไม่ได้ไปโรงเรียน มักนอนไม่ค่อยเป็นเวลา บางคนก็นอนดึกตื่นสาย หากไม่กระทบ กระเทือนเรื่องเวลาเล่นออกกำลังกาย และไม่มีปัญหาอื่น เราก็ไม่จำเป็นต้องยึดถือคตินอนแต่หัวค่ำตื่นแต่เช้าเหมือนสมัยก่อน

การกินอาหารของเด็กวัยนี้ยังคงแตกต่างไปตามลักษณะเฉพาะของเด็ก เด็กกินน้อยจะไม่ค่อยยอมกินข้าว ปริมาณข้าวที่กินใน 1 วันเท่ากับถ้วยเดียว แต่ถ้าเราให้ดื่มนมวันละ 2 กล่อง และกินปลา ไข่ เนื้อ ตามต้องการ เด็กก็ไม่มีปัญหาด้านโภชนาการ เด็กจำนวนมากไม่ชอบกินผัก อยู่บ้านไม่ยอมแตะ แต่อยู่โรงเรียนกลับกินได้ ทำให้เรารู้ว่าเด็กไม่กินผักด้วยเหตุผลด้านจิตใจ อาจเป็นเพราะเด็กต้องการอิสระจากแม่ จึงปฏิเสธสิ่งที่แม่คะยั้นคะยอให้ทำ เช่น ไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมกินผัก เมื่อกินข้าวน้อยก็หิวเร็ว ร้องจะกินขนมตลอดเวลา คุณแม่ไม่ควรตามใจให้กินขนมอย่างพร่ำเพรื่อ ควรกำหนดให้กินเป็นเวลาวันละไม่เกิน 2 ครั้ง

การขับถ่าย เด็กวัยนี้ทำได้ด้วยตนเองในห้องน้ำ ทั้งปัสสาวะและอุจจาระ ควรปล่อยให้ทำเองและตรวจดูความเรียบร้อยหลังจากเด็ก ทำความสะอาดเสร็จแล้ว
เด็กส่วนใหญ่จะไม่ปัสสาวะรดที่นอนถ้าคุณแม่ปลุกให้ไปห้องน้ำอีกครั้งหนึ่งก่อนผู้ใหญ่เข้านอน แต่กระนั้นก็ดี หากวันไหนเด็กได้ไปเที่ยวเล่นสนุกสนานมาทั้งวัน ตกกลางคืนอาจปัสสาวะรดที่นอน และยังมีเด็กชายวัยนี้ที่ฉี่รดที่นอนเป็นประจำ แม้ว่าจะปลุกไปห้องน้ำคืนละ 2 ครั้งแล้วก็ตาม เด็กวัย 4-5 ขวบ สามารถถอดและสวมเสื้อผ้าเองได้เก่งแล้ว แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกด้วย ถ้าคุณแม่ทำให้เป็นประจำเด็กก็ทำสิ่งต่าง ๆ ได้ช้า เด็กบางคนรู้จักล้างมือก่อนกินอาหารทุกมื้อ เพราะเด็กอยู่ในครอบครัวที่ผู้ใหญ่ล้างมือก่อนกินอาหารทุกมื้อเช่นเดียวกัน

หลายบ้านหัดให้เด็กล้างหน้า แปรงฟันทุกเช้า3เย็น การแปรงฟันช่วยป้องกันฟันผุได้ดี เรื่องนี้ทันตแพทย์ทุกคนยอมรับ วิธีสอนให้เด็กรู้จักแปรงฟันเองจนเป็นนิสัย คือ ทุกคนในครอบครัวลุกขึ้นมาแปรงฟัน พร้อมกันทุกเช้า และสอนเด็กด้วยว่าการแปรงฟันก่อนนอนสำคัญยิ่งกว่าตอนเช้าเสียอีก
เด็กที่น้ำมูกมากต้องหัดให้รู้จักสั่งน้ำมูก และไม่ใช้แขนเสื้อเช็ดเด็กวัยนี้ยังตัดเล็บเองไม่เป็น หัดให้เด็กอาบน้ำเองแต่ผู้ใหญ่ ต้องดูแลความสะอาดตามหลังด้วยอันตรายของเด็กสมัยนี้มีรอบด้าน แม่ควรจะรู้อยู่เสมอว่าลูกของตน ขณะนั้นอยู่ที่ไหน สอนให้เด็กบอกทุกครั้งก่อนออกนอกบ้านว่าจะไปไหน
เด็กวัยนี้จำเป็นต้องมีสนาม และเครื่องเล่นที่ปลอดภัยสำหรับเล่นออกกำลังกายกับเพื่อน ๆ ประเทศเรายังขาดสิ่งเหล่านี้อยู่มาก
 

นอกจากการออกกำลังกายแล้ว เด็กที่อยู่กับบ้านไม่ได้ไปโรงเรียนควรได้รับการพัฒนาด้านสติปัญญาด้วย เช่น ให้วาดภาพ เล่นต่อแท่งไม้ ปั้นดินน้ำมัน ฟังดนตรี ฟังนิทาน เป็นต้น ส่วนเวลาที่เด็กกำลังเล่นเพลินกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่คนเดียว คนอื่นไม่ควรเข้าไปยุ่ง ปล่อยให้เด็กมีเวลาของตนเองบ้างเมื่อเด็กเริ่มไปโรงเรียนอนุบาล เด็กจะติดเชื้อต่าง ๆ มาบ้าน เช่น หัด หัดเยอรมัน คางทูม (ควรฉีดวัคซีนป้องกันไว้) อีสุกอีใส (ควรติดขณะอายุยังน้อยเพราะอาการเบากว่าเมื่อโตแล้ว) สำหรับคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก และโปลิโอ เด็กส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนป้องกันไว้ตั้งแต่วัยทารก สมัยนี้จึงมีเด็กเป็นน้อยลงมาก หากยังไม่ได้ฉีดกระตุ้นครั้งที่สอง (เฉพาะคอตีบ และบาดทะยัก) ควรพาไปฉีดเสีย บางวันเด็กเล่นมาก ออกแรงมาก ทำให้มีอาการอาเจียนเป็นระยะ เมื่อเหนื่อยเกินไป (ดูหัวข้อ 338 หมอชาวบ้าน ฉบับที่ 113 เดือน กันยายน 2531 หน้า 70)เด็กบางคนมีเสมหะมาก มีเสียงครืดคราดในอกตั้งแต่เล็กจนถูกหาว่าเป็น “โรคหืดในเด็ก” (ดูหัวข้อ 339 หมอชาวบ้าน ฉบับที่ 113 เดือน กันยายน 2531 หน้า 70-71) เด็กแบบนี้มีมากควรฝึกร่างกายให้แข็งแรง โตขึ้นก็จะหายจากอาการนี้
 
ตาแดงเป็นโรคระบาดที่ติดกันง่ายมากในโรงเรียน ไม่ควรอนุญาตให้เด็กที่เป็นตาแดงไปโรงเรียน สระว่ายน้ำก็เป็นแหล่งแพร่เชื้อตาแดง ขึ้นจากสระควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งเด็กที่เป็นไส้เลื่อน หรือ hernia และยังไม่ได้ผ่าตัดควรผ่าตัดให้เรียบร้อยก่อนเข้าโรงเรียนอนุบาลเด็กวัยนี้เลือดกำเดาออกบ่อย ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวมีเด็กเป็นกันมากสำหรับโรคพยาธิ โดยเฉพาะพยาธิเส้นด้ายเป็นกันมาก การกำจัดพยาธิไม่ใช่เรื่องยาก (ดูหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 7 เดือนพฤศจิกายน 2522 หน้า 32)อาการผิดปกติอีกอย่างหนึ่งซึ่งเด็กวัยนี้เป็นกันมากคือ อาการปวดท้องตอนเช้า (ดูหัวข้อ 331 หมอชาวบ้าน ฉบับที่ 108 เดือนเมษายน 2531 หน้า 71)
 

ข้อมูลสื่อ

116-016
นิตยสารหมอชาวบ้าน 116
ธันวาคม 2531