• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เด็กเล่นอวัยวะเพศ

อวัยวะเพศเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเหมือนกับแขน ขา หรือหู ตา จมูก แต่ทำหน้าที่แตกต่างกันเท่านั้น ทำไมจึงไมมีชื่อเรียกง่ายๆ เหมือนกับอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย เช่น สะดือ ท้อง เอว ปาก และลิ้น เป็นต้น และทำไมต้องกระดากและเขินเมื่อเรียกชื่อหรือพูดถึงอวัยวะเพศ ทั้งๆที่อวัยวะเพศก็ทำหน้าที่ของร่างกายอยู่ทุกวัน คำว่า "ลึงค์" หรือ "อัณฑะ" หรือ "เม็ดละมุด" ไม่ได้ติดปากเหมือนเมื่อกล่าวถึงส่วนอื่นของร่างกาย อีกทั้งถือว่าเป็นการไม่สุภาพถ้าพูดถึง

เมื่อลูกอายุประมาณ 15-24 เดือน พ่อแม่ส่วนใหญ่จะพยายามสอนให้รู้จักส่วนต่างๆ หรือวัยวะต่างๆของร่างกายด้วยการถาม แล้วให้เด็กชี้บนร่างกายของเด็กเอง หรือบนร่างกายของพ่อแม่ เช่น "ตาอยู่ไหน?" "ปากอยู่ไหน?" หรือ "ท้องอยู่ไหน?" เด็กก็จะชี้

เราแทบจะไม่เคยได้ยินพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงถามเพื่อให้ชี้ว่า "จู๋อยู่ไหน?" "จันทร์อยู่ไหน?" หรือ "ก้นอยู่ไหน?" ทั้งๆ ที่ก็ควรรู้จัก เพราะว่าเป็นส่วนของร่างกายเหมือนกัน และจะไม่เคยได้ยินเลยที่พ่อแม่จะถามว่า "ลึงค์อยู่ไหน?" หรือ "ลูกอัณฑะอยู่ไหน?" เพื่อให้ลูกชี้

อวัยวะเพศไม่เพียงแต่จะเป็นส่วนของร่างกายที่ไม่อยากเอ่ยถึงเท่านั้น ยังเป็นคำไทยที่เรียกยากและยาวเกินกว่าเด็กก่อนวัยเรียนจะเข้าใจได้

เมื่อเด็กพัฒนาไปตามวัย คำถามเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนไป เช่น เด็กอายุ 3 ขวบ พ่อแม่ก็จะถามว่า "ปากมีไว้ทำอะไร?" "ตามีไว้ทำอะไร?" หรือ "หูมีไว้ทำอะไร?" ก็อีกเหมือนกัน ที่เด็กก็ไม่เคยถูกถามว่า "จู๋มีไว้ทำอะไร?" "ก้นมีไว้ทำอะไร?เป็นต้น

ตามหลักจิตวิทยาพัฒนาการ เด็กอายุระหว่า 1-4 ปี จะเริ่มสนใจส่วนต่างๆ ของร่างกายตนเอง ทำให้พ่อแม่อาจเห็นลูกชายดึงอวัยวะเพศเล่นหรือลูบคลำส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ไชสะดือของตนเอง ดึงใบหูหรือเอามือหรือนิ้วมือหลายๆ นิ้วล้วงเข้าไปในปากบ่อยๆ เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านี้อาจพบได้ในเด็กผู้หญิงเป็นสิ่งปกติของพัฒนาการเช่นกัน

พ่อแม่ไม่ควรแสดงความตกใจหรือไม่พอใจเมื่อเห็นลูกลูบคลำอวัยวะเพศหรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย พยายามเบนความสนในไปทางอื่นด้วยการหาของเล่นให้เล่นหรือชวนให้มาช่วยพ่อแม่ หรือด้วยวิธีการอื่นๆ สุดแล้วแต่จังหวะและอายุของลูก ทั้งนี้เพื่อมิให้ติดเป็นนิสัย

เด็กหลังจากอายุ 18 เดือนไปแล้วไม่เพียงแต่จะจับต้องอวัยวะเพศหรือส่วนของร่างกายของตนเองเท่านั้น เด็กยังจะจับต้องของเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันหรือโตกว่า อาจจะขี้พร้อมกับถามว่า "นี่อะไร?" "นี่เหมือนของเอ" "นี่ไม่เหมือนนของเอ"

เด็กอาจจะถามบ่อยๆ ภายหลังอายุ 3 ขวบแล้ว ทั้งนี้เป็นไปตามวุฒิภาวะหรือพัฒนาการทางสมองของเด็ก

พ่อแม่ควรจะตอบสั้นๆ ให้ตรงกันทั้งครั้ง
ด้วยสีหน้าและท่าทางเหมือนกับตอบคำถามทั่วๆ ไปของเด็ก

เด็กบางคนจะถามพ่อแม่ว่า "พ่อมีเหมือนอย่างนี้ไหม?" พร้อมกับชี้ที่อวัยวะเพศของตัวเอง หรืในทำนองเดียวกัน ถามว่า "แม่มีเหมือนพ่อไหม?" และบางคนก็จะขอกับพ่อหรือแม่ว่า "ฉี่ให้ดูหน่อยซิพ่อ ว่าฉี่เหมือนกันไหม?" ทั้งนี้ทั้งนั้นมิใช่ว่าเด็กจะสัปดน แต่เป็นความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเป็นเครื่องชี้บ่งถึงพัฒนาการของสมอง

พ่อแม่ไม่ควรตำหนิหรือทำโทษเด็ก เพราะความอยากรู้อยากเห็นเป็นรากฐานของการศึกษาค้นคว้าและวิจัยของมนุษย์ จึงควรส่งเสริมให้ถูกทางตั้งแต่เด็ก

นายแพทย์คาเมรอนและนายแพทย์ บาค์วิน กล่าวว่า การเล่นอวัยวะเพศในเด็กจะถือว่าผิดปกติหรือที่เรียกว่า มาสเตอร์เบชั่น (Masturbation) นั้น หมายถึง การทำให้เกิดความรู้สึกสบายด้วยการใช้มือถูไถบีบเล่นอวัยวะเพศโดยตรง หรือด้วยการถูไถกับวัตถุต่างๆ เช่น ขอบโต๊ะ เก้าอี้ หมอน ตุ๊กตาผ้า พื้นห้อง หรือด้วยการถูไถขาอ่อนที่ไว้เข้าหากันแล้วเสียดสีอวัยวะเพศ ด้วยวิธีการที่เล่ามาแล้ววิธีใดวิธีหนึ่ง แล้วตามมาด้วยหน้าแดง มีเสียงร้องคราง ตาเชื่อมจ้องมองเฉยต่อมาหน้าซีดเหงื่อออก หมดแรงแล้วหลับไป แต่เด็กบางคนไม่หลับอาจจะทำซ้ำขึ้นวงจรใหม่จนเหนื่อยก็มีไม่น้อย

มาสเตอร์เบชั่นในทารกและเด็กไม่ควรแปลเป็นไทยว่า เป็นการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เช่น ในวัยรุ่นหรือในผู้ใหญ่ เพราะมีแรงจูงใจต่างกันและมิได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนจากต่อมเพศเหมือนของวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่จึงไม่มีความมุ่งหมายในทางกามารมณ์

ถ้าเล่นทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง ด้วยวิธีหนึ่งดังกล่าวแล้ว จะไม่สนใจเล่นของเล่นอย่างอื่นเลย หรือไม่สนใจเล่นกับเพื่อนหรือบางคนจะคอยจ้องจังหวะที่พ่อแม่ไม่เห็นก็จะเล่นอวัยวะเพศทันที ในลักษณะเช่นนี้ถือว่าเป็นความผิดปกติของพัฒนาการควรแก้ไขที่จะติดเป็นนิสัย

จากการศึกษามาสเตอร์เบชั่นในเด็กไทย พบว่าเป็นได้ทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย อายุที่พบได้น้อยที่สุดคือ อายุต่ำกว่า 6 เดือน และมีหลายรายที่เริ่มเล่นอวัยวะเพศอย่างผิดปกติตั้งแต่อายุก่อน 1 ปี อายุสูงสุดที่มีพฤติกรรมแบบนี้คือ 5-6 ปี วิธีการเล่นก็มีหลายแบบ ไม่จำเป็นต้องใช้มือสัมผัสโดยตรง นอกจากจะใช้วิธีการตามที่นายแพทย์คาเมรอนและคณะได้รายงานไว้แล้ว พบว่า...

ในเด็กชายไทยยังใช้สบู่ถูแรงๆ เวลาอาบน้ำ หรือฟอกสบู่อวัยวะเพศแล้วก็ถูไถคลำจนแข็งตามมาด้วยหน้าแดง มีเสียงร้องคราง ตามเชื่อมจ้องมองเฉย ต่อมาหน้าซีดเหงื่ออกแล้วหมดแรงดังกล่าว

เด็กผู้หญิงบางคนจะใช้น้ำจากฝักบัวที่แรงๆ พ่นตรงอวัยวะเพศแล้วไม่ยอมเลิก บางคนไม่ว่าจะอยู่ในท่าใดก็ตามจะหาโอกาสกระแทกขาอ่อนเข้าหากันเพื่อเสียดสีอวัยวะเพศเพราะติดใจความรู้สึกสบายจากการเร้าตัวเอง

ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขก็จะติดเป็นนิสัยได้เช่นกันกับการดูดนิ้ว ดูดลิ้น แต่เนื่องจากอวัยวะเพศเป็นของหวงที่ทุกคนปกปิดอย่างดี ถ้ามาแสดงออกอย่างประเจิดประเจ้อแม้จะเป็นเด็กก็ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ขาดความเหมาะสมควรป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น หรือเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็รีบแก้ไขและเป็นสิ่งที่แก้ไขได้

อย่างไรก็ดีพ่อแม่พึงตระหนักว่าการจับต้องอวัยวะเพศของตนเองเป็นครั้งคราวหรือจับต้อง ชี้ของผู้อื่นหรือจับลูกคลำแล้วถามคำถามเกี่ยวข้องกับอวัยวะด้วยสุดแล้ว แต่อายุของเด็กนั้นเป็นพัฒนาการที่ปกติ พ่อแม่ไม่ควรจะตกใจหรือโกรธเมื่อพบเห็น แต่ถ้าเล่นบ่อยแล้วเล่นจนมีพฤติกรรมเหมือนผู้ใหญ่ที่บรรลุสุดยอดทางเพศ (orgasm) ตามลักษณะที่ได้ บรรยามาแล้ว อีกทั้งยังเล่นเกือบตลอดเวลาจนไม่สนใจการเล่นของเล่นต่างๆ ที่เด็กควรชอบ จึงจัดว่าเป็นความผิดปกติของพัฒนาการสมควรได้รับการแก้ไข ก่อนที่จะติดเป็นนิสัย ซึ่งยากมากกว่าการแก้ไขในระยะเริ่มเล่น

 

ข้อมูลสื่อ

50-006
นิตยสารหมอชาวบ้าน 50
มิถุนายน 2526
อื่น ๆ
พญ.พยอม อิงคตานุวัฒน์