• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ลักษณะของเด็ก


214. ลักษณะของเด็ก 10-11 เดือน
เมื่อเด็กทารกเริ่มยืนอยู่บนขาของตนเองได้ในฐานะคนคนหนึ่ง หมายถึงความเป็น “ตัวเอง” ได้ปรากฏขึ้นแล้ว เด็กในเดือนนี้ จะแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น อะไรที่ชอบ อะไรที่ไม่ชอบ เด็กจะแสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัด เมื่อคุณแม่ซึ่งหนูแสนรักเข้ามาใกล้ หนูน้อยจะยิ้มอย่างดีใจ แต่ถ้าเห็นชุดขาวคุณหมอซึ่งเคยทำให้หนูเจ็บจนจำ เจ้าหนูจะร้องลั่นทันที ของอะไรที่อยากได้ ถึงอยู่ไกลก็พยายามเอื้อมมือไปคว้า และถ้ามีใครยัดเยียดให้ของที่ไม่ชอบ เด็กจะเอามือปัด เวลาใครมาแย่งของโปรดที่อยู่ในมือไปเพราะกลัวอันตราย เจ้าหนูจะร้องเพราะความโกรธ

อย่างไรก็ตาม เรื่องชอบไม่ชอบอะไรตอนไหน อารมณ์ในขณะนั้นของเด็กค่อนข้างจะมีอิทธิพลมาก ตอนเช้าตื่นนอนใหม่ ๆ เด็กบางคนมักจะอารมณ์ไม่ดี ถึงจะเอาของชอบให้ตอนนี้ เด็กก็ไม่เอาและจะร้องไห้อยู่อย่างนั้น หรือเมื่อเด็กง่วงนอนตอนใกล้เวลานอน แม้แต่กับคุณแม่คนโปรด หนูก็ไม่ยิ้มให้ คนที่รู้กระแสอารมณ์ของลูกดีที่สุดคือคุณแม่ เพราะฉะนั้น เวลาใดทีเด็กควรจะมีอารมณ์ดี แต่วันนี้กลับอ้อนผิดปกติ คุณแม่มักจะ “วิเคราะห์” ได้ว่า ลูกคงไม่สบายตรงไหนแน่

การเคลื่อนไหวของเด็กในวัยนี้พัฒนามากกว่าเดือนที่แล้ว เด็กที่เพิ่งเกาะยืนเมื่อเดือนที่แล้ว เดือนนี้จะเริ่มเกาะเดิน เด็กที่เกาะเดินได้แล้วก็จะปล่อยมือตั้งไข่ ที่ตั้งไข่แล้วก็จะเริ่มก้าวเดิน

เด็กวัยเดียวกันนี้ แต่ละคนเคลื่อนตัวในแบบต่างๆ กัน บางคนชอบคลาน บาคนเกาะเดิน บางคนนั่งถัดเอา บางคนเดินเตาะแตะแล้วแต่ความถนัด

เด็กส่วนใหญ่ ถ้ามีคนจับสองมือไว้ให้จะก้าวเดินตามได้ คุณพ่อคุณแม่มักจะชอบสอนให้ลูกเดิน แต่อย่าหลงดีใจ เมื่อลูกก้าวขาเดินและสอนเสียเพลินจนทำให้เด็กเดินมากเกินไป เพราะไม่ดี

การใช้มือของเด็กจะอิสระขึ้น เปิดบานประตูเบาๆ ได้เอง ดึงลิ้นชักออกมาได้ ขับถ้วยคว่ำเทน้ำทิ้งบ้าง ใช้ทั้งสองมือจับของเล่นเอามาเคาะกันบ้าง และใช้นิ้วชี้บอกให้เอาของที่ต้องการได้

ถ้ามีคนขยันสอนเด็กอยู่ที่บ้าน เด็กจะทำท่าเลียนแบบได้หลายอย่าง เช่น บ๊ายบาย จ๊ะเอ๋ จุ๊บๆ ฯลฯ
เด็กส่วนใหญ่จะพูดคำง่ายๆ เช่น หม่ำๆ จ๋าจ่ะ ได้แล้ว และถึงตัวเองจะพูดไม่ได้ แต่เด็กก็เข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่ได้พอสมควร พอถามว่า ไหนมือ? ไหนตา? เด็กบางคนจะแสดงให้ดูได้

ทั้งคุณพ่อและคุณแม่เวลาพูดกับลูกควรพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยภาษาพูดที่ถูกต้อง ไม่ควรเลียนแบบภาษาเด็ก

สิ่งที่สำคัญพอๆ กับการสอนลูกคือ การเลี้ยงดูให้แข็งแรง ถึงเราจะเลี้ยงเด็กให้อยู่แต่ในบ้าน ไม่ให้ออกข้างนอกเลย ร่างกายของเด็กก็เติบใหญ่ขึ้นมาได้เหมือนกัน ใครเห็นก็ชมว่าเด็กอ้วนท้วนสมบูรณ์ผิวขาวน่ารัก แต่นั่นเป็นเพียงรูปภายนอก ร่างกายเราจะแข็งแรงได้ต้องผ่านการฝึก การฝึกให้เด็กเคลื่อนไหวใช้แขน ขา อาจทำได้ภายในบ้าน แต่ผิวกายและเยื่อบุหลอดลมจะแข็งแรงได้ต้องตามอากาศภายนอก
เวลานอนของเด็กแต่ละคนแตกต่างกันตามความซนของเด็ก เด็กเรียบร้อยมักจะนอนทั้งตอนเช้าและตอนบ่ายครั้งละ 1-2 ชั่วโมง แต่ในวัยนี้มีเด็กจำนวนมากที่เคยนอนกลางวันสองครั้งแล้วค่อยๆ ลดลงเหลือเพียงหนึ่งครั้ง เด็กบางคนนอนครั้งละครึ่งชั่วโมง แต่นอนบ่อยๆ วันละ 3-4 ครั้งก็มี

เวลาตื่นนอนตอนเช้าของเด็กก็แตกต่างกัน บางคนลืมตาตื่นตอน 6 โมงเช้า พอได้ดูดนมก็นอนต่อถึง 8 โมงเช้า เด็กบางคนนอนรวดเดียวตั้งแต่ 4 ทุ่ม ถึง 8 โมงเช้าก็มี

ตอนกลางคืน เด็กมักจะตื่นตอนฉี่และหลับต่อเมื่อได้ดูดนม แต่เด็กบางคนนอนหลับสนิทดี ถึงผ้าอ้อมจะเปียกจนคุณแม่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้เสร็จแล้วก็ไม่ตื่น เอาแต่นอนลูกเดียวก็มี อย่างไรก็ตาม ถ้าลูกตื่นขึ้นมากลางดึก คุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามทำให้แกนอนต่อโดยเร็วที่สุดไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม

สำหรับ อาหารเสริม เด็กในวันนี้มีทั้งที่กินอาหารเสริม 2 มื้อ และ 3 มื้อ ถ้าการทำอาหารเสริมให้วัน ละ 3 มื้อต้องเสียเวลามาก คุณแม่จะให้วันละ 2 มื้อก็ได้ แต่ถ้าเด็กไม่ชอบดื่มนม ชอบกินข่าวหรือขนมปังมากกว่า คุณแม่ก็น่าจะให้ 3 มื้อ และในกรณีนี้ กับข้าวของเด็กควรเน้นพวก ไข่ เนื้อปลา หรือเนื้อสัตว์ด้วย มิฉะนั้น เด็กจะขาดโปรตีนจากสัตว์ เด็กในระยะ 10-11 เดือนนี้ ยังควรให้นมวัววันละไม่ต่ำกว่า 500 ซีซี

เรื่องชอบไม่ชอบอะไรนั้น จะปรากฏในเรื่องอาหารด้วย เด็กที่กินเก่งมักจะเกินได้ทุกอย่างไม่เลือก เด็กที่กินน้อยค่อนข้างจะเลือกอาหาร ถ้าเด็กชอบกินอะไรก็น่าจะตามใจ ไม่ควรบังคับ

เด็กในวัยนี้ยังคงบอกอึบอกฉี่ไม่ได้ ต้องอาศัยการคาดคะเนของคุณแม่เองว่าควรจะจับนั่งกระโถนตอนไหน ถ้าโชคดีก็สำเร็จ เด็กซนๆ มักไม่ชอบให้คุณแม่จับนั่งกระโถน เฉพาะเวลาที่กำลังเล่นเพลินอยู่เด็กจะขัดขืน คุณแม่ก็อย่าฝืนแกเลย เด็กส่วนใหญ่จะบอกอึและฉี่ได้ก็ตอนเมื่ออายุ 2 ขวบ ขึ้นไปแล้ว คุณแม่ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ ใจเย็นๆ

โรคของเด็กในรายนี้ นอกจากหวัดแล้วก็มี ส่าไข้ และถ้ามีตุ่มเม็ดพองในปากหลังจากไข้สักวันสองวันก็อาจจะเป็น “โรคตุ่มเม็ดพองในปาก” (ดูหัวข้อ 185 โรคตุ่มเม็ดพองในปาก) เวลาเป็นโรคนี้เด็กจะเจ็บปากและไม่ค่อยยอมกินอะไร

เด็กที่มีเสมหะมาก อาจจะถูกหาว่าเป็น “โรคหืด” ทำให้คุณแม่ต้องพาไปหาหมอบ่อยๆ (ดู 186 โรคหืดในเด็ก)

เด็กที่มีพี่ไปโรงเรียนอนุบาล อาจพาเอา “โรคหัด” และ “อีสุกอีใส” มาติดน้อง
เด็กบางคนที่มีฟันขึ้นด้านหน้า 2 ซี่บนและ 2 ซี่ล่างแล้ว ระยะนี้จะมีฟันขึ้นข้างๆ 2 ซี่บน กลายเป็นฟัน บน 4 ซี่ แต่เด็กบางคนฟันบน 2 ซี่กลางยังไม่ขึ้น ขึ้น 2 ซี่ข้างๆ ตรงกลางโหว่ก็มี อย่างไรก็ตาม ในที่สุด 2 ซี่กลางก็จะขึ้นเอง และเด็กจะมีฟันบนฟันล่างอย่างละ 4 ซี่

 

ข้อมูลสื่อ

59-007
นิตยสารหมอชาวบ้าน 59
มีนาคม 2527