• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ลักษณะของเด็กสิบเอ็ดเดือนถึงหนึ่งขวบ

                                  

 

 

247.ลักษณะของเด็กสิบเอ็ดเดือนถึงหนึ่งขวบ
เด็กอายุเกินหนึ่งขวบมีความไวต่อเหตุการณ์รอบตัวมากขึ้นและจำเสียงของคุณพ่อคุณแม่ได้ เมื่อคุณพ่อกลับจากทำงานตอนเย็น เด็กได้ยินเสียงก็พยายามจะออกไปหาที่ประตูบ้าน หรือลืมตาตื่นขึ้นตอนบ่ายได้ยินเสียงคุณแม่คุยกับคนอื่นอยู่อีกห้องหนึ่ง แกจะร้องไห้เพราะอยากไปอยู่ใกล้คุณแม่ เด็กรู้จักฟังเพลงในโทรทัศน์และวิทยุ โดยเฉพาะเด็กที่มีประสาทหูดี พอถึงวัยขวบครึ่งแกก็พอจะร้องเป็นเพลงได้บ้างแล้ว

ความสามารถในการมองก็ดีขึ้น ถ้าบนพื้นมีของเล็ก ๆ หรือของอะไรแปลกตาอยู่ แกจะเก็บขึ้นมาดูหรือเอาเข้าปาก ขี้จิ้งจกบนผนังห้องหรือขี้แมลงสาบในครัว แกมองเห็นทั้งนั้น เวลาพาออกไปข้างนอกตอนเย็นหนูน้อยอาจสนใจมองดูพระอาทิตย์ตกดิน ดูนกบินกลับรัง ดูดวงจันทร์บนฟ้า เด็กรับรู้สิ่งใหม่ๆ และโลกภายนอกรอบกายเพิ่มขึ้นทุกวัน

ทางด้านความเคลื่อนไหวของร่างกายก็พัฒนาเร็วขึ้น เด็กที่เคยเดินได้เพียง 2-3 ก้าวตอนอายุหนึ่งขวบพอถึงขวบครึ่งก็เดินได้เก่งแล้ว เด็กที่ยังเดินไม่ได้ตอนอายุ 1 ขวบ จะเดินได้เอง เมื่ออายุในราว 13 หรือ 14 เดือน ไม่ว่าเด็กจะเริ่มเดินได้ตอนหนึ่งขวบหรือขวบเศษ พอถึงขวบครึ่งแกก็จะเดินเก่งพอ ๆ กัน แต่ยังไม่ถึงกับวิ่งได้.

การใช้มือของเด็กคล่องแคล่วมากขึ้นเมื่ออายุเกินขวบ เด็กใช้มือถือถ้วยดื่มน้ำได้เองแล้ว แต่ยังใช้ช้อนไม่ค่อยเก่ง รู้จักปีนเข้าไปนั่งในเก้าอี้สำหรับกินข้าวได้เอง และปีนออกมาเอง แต่เด็กยังไม่รู้จักตอบโต้คนที่ตัวเองไม่ชอบ ยังไม่รู้จักตีหรือเอาของขว้างปาคนอื่น และยังไม่สามารถป้องกันตนเองได้
 

ในขณะที่เด็กรับรู้โลกภายนอกรอบกายมากขึ้น แต่ยังไม่มีความสามารถป้องกันตนเองเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมแกจึงขี้กลัว เด็กช่วงวัยหนึ่งถึงขวบครึ่งนี้ จากประสบการณ์ในฐานะที่เป็นกุมารแพทย์มานาน พอจะพูดได้ว่าเป็นวัยขี้กลัวที่สุด กล่าวกันว่าเด็กกลัวหมอเพราะแกจดจำความเจ็บตอนที่ถูกหมอฉีดยาเอาไว้ แต่พออายุเกินหนึ่งขวบ ถึงไม่ฉีดยาเด็กบางคนก็ร้องไห้ โดยเฉพาะเด็กที่มีพ่อแม่ซึ่งมีความรู้สึกไว เด็กจะขี้กลัวมาก เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเพราะการอบรมสั่งสอนแต่เป็นนิสัยของเด็กเอง
 

เด็กบางคนกลัวเสียงดัง โดยเฉพาะเสียงกริ่งโทรศัพท์ เสียงออด แตรรถยนต์ เสียงเครื่องบิน ฯลฯ
เด็กบางคนไม่ชอบถูกราดหัวเวลาอาบน้ำถึงขนาดกลัวจนตัวสั่น และเด็กบางคนเมื่อพบประสบการณ์ที่ว่า ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นหน้าแม่ ร้องไห้เท่าไรแม่ก็ไม่มาสักที ตั้งแต่นั้นมาแกจะกลัวมากเมื่อไม่เห็นร่างแม่ จะคอยพันพัวนัวเนียเกาะติดแม่ไม่ยอมห่างทีเดียว

เด็กวัยนี้ไม่สามารถต่อสู้กับความกลัวด้วยตัวเอง จึงเกาะติดแม่เพื่อความสบายใจ คุณแม่ทุกคนควรเข้าในด้วยว่า เด็กวัยขวบครึ่งมีโอกาสเป็นเช่นนี้มาก
สิ่งที่สำคัญในช่วงนี้คือ พยายามอย่าทำให้เด็กกลัว เพราะเมื่อเด็กเกิดความกลัวขึ้นมา แกจะเกาะแม่แจและจะไม่เป็นตัวของตัวเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงดูเด็กก็คือ เลี้ยงให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่สามารถยืนอยู่บนขาของตนเองได้

เด็กวัยหนึ่งขวบถึงขวบครึ่งควรได้รับความเอาใจใส่ให้ปลอดภัยจากความกลัว ถ้าเด็กไม่ตกอยู่ในความกลัว เติบโตขึ้นมาอย่างสุขสงบ และพัฒนาพละกำลังในการเคลื่อนไหวร่างกายได้ราบรื่น แกจะมีความมั่นใจในพลังของตนเอง และไม่กลายเป็นคนขี้ขลาดซึ่งเอาแต่วิ่งหนีฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะเด็กที่มีความรู้สึกไว้ (เซนซิทีฟ ) คุณแม่ต้องระวังเป็นพิเศษ การพาเด็กแบบนี้ไปหาหมอเพื่อฉีดยาบ่อย ๆ เป็นสิ่งไม่ควรที่สุด อย่าให้แกดูสิ่งน่ากลัว หรือเล่าเรื่องน่ากลัวให้ฟังเป็นการข่มขู่ เช่นขู่ว่าตุ๊กแกจะมากินตับ ผีจะมาหลอกหรือตำรวจจะมาจับ อย่าคิดว่าการทำเช่นนี้เป็นการฝึกเด็ก เช่นเดียวกับเด็กที่มีความรู้สึกไว ซึ่งควรได้รับการปกป้องจากความกลัว เด็กที่แคล่วคล่องว่องไวก็ควรได้รับการปกป้องจากอุบัติเหตุ เด็กซนนั้นชอบสำรวจโลกรอบกายและชอบสอดรู้สอดเห็นเป็นที่สุด มีที่สูงแกก็จะปีน มีของแปลกก็เอาเข้าปากเห็นของประหลาดก็จับดู เผลอที่หนึ่งตกจากระเบียง เผลออีกทีกลืนเศษสตางค์เข้าปาก ความวัวยังไม่ทันหาย แกก็เอามือไปแตะเตารีดจนหนังพองเข้าอีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเด็กเกือบทั้งหมดสามารถป้องกันได้ ถ้าพ่อแม่เอาใจใส่ระมัดระวังเอาไว้เสียแต่แรก

เด็กวัยนี้พูดได้มากคำกว่าตอนก่อนหนึ่งขวบ เมื่ออายุใกล้ขวบครึ่ง เด็กส่วนใหญ่จะพูดได้ในราว 10 คำ เช่น พ่อ แม่ หม่ำ ๆ ปู๊นปู๊น หมา แมว บ๋ายบาย จ๋าจ้า จุ๊บ ไป ไม่ ฯลฯ
โดยเฉพาะชื่อของเพื่อนเล่นข้างบ้านซึ่งแกเล่นด้วยบ่อย ๆ เด็กจะเรียกได้ ถ้าเพื่อนชื่อสองพยางค์ แกจะเรียกพยางค์เดียว เช่นเพื่อนชื่อ “ม่าเหมี่ยว” แกก็เรียก “เหมี่ยว ๆ ”
เด็กบางคนอายุขวบครึ่งแล้วยังพูดได้แค่ 2 คำ คือหม่ำๆ กับ ๆ ไม่ แต่คุณแม่พูดอะไรแกเข้าใจหมด แสดงว่าไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อน เด็กที่ไม่ค่อยมีใครพูดด้วย คุณแม่เองก็งานยุ่งมัวแต่ทำงานจนลืมคุยกับลูก เด็กไม่ค่อยมีโอกาสจดจำคำพูดจะพูดช้า

เด็กวัยนี้แสดงอารมณ์ได้ชัดเจนขึ้น เวลาดีใจแกจะส่งเสียงหัวร่อเอิ๊กอ๊าก และเวลาโกรธก็น่าดูเหมือนกัน ถ้ากำลังอุ้มอยู่แกจะเหวี่ยงตัวจนเกือบตก หรือบางคนก็กระทืบเท้าเต้นเร่า ๆ เด็กที่โกรธจัดมากบางคนร้องไห้จนปากเขียว และถึงขนาดชักก็มี เด็กบางคนร้องขึ้นมาทีไร กว่าจะทำให้เงียบได้ ผู้ใหญ่พากันอ่อนใจ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นเพราะการเลี้ยงดูไม่ดี แต่เป็นอุปนิสัยของเด็กมากกว่า

ตอนกลางคืนเด็กวัยนี้จะนอนประมาณ 3 ทุ่ม และตื่นเช้าตอน 7-8 โมง ถ้าพ่อแม่บ้างไหนไม่มีปัญหาในเรื่องตื่นเช้าเด็กก็จะนอนในราวหนึ่งทุ่มและตื่นตอนหกโมงเช้า
ตอนกลางวัน เด็กบางคนนอนหนเดียว บางคนก็นอนสองหน ระยะเวลานอนแตกต่างกันมากเด็กที่นอนเก่งบางคนนอนกลางวันนานถึง 2 ชั่วโมงขึ้นไป
เกี่ยวกับเรื่องการนอนของเด็กวัยนี้นั้นที่แปลกคือ เด็กบางคนชอบตื่นขึ้นมาเล่นกลางดึก ก่อนอายุ 1 ขวบพอเด็ก ๆ ถูกจับใส่เตียงและดับไฟ แกก็จำเป็นต้องนอน แต่เมื่อถึงวัยนี้เตียงเด็กมักคับแคบเกินไปเสียแล้ว เด็กจึงนอนบนเตียงของคุณพ่อคุณแม่หรือบางบ้านก็นอนกับพื้น พอตื่นขึ้นมากลางดึก แกก็เดินไปไหนต่อไหน ค้นหาของเล่น มาเล่นคนเดียวได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะตอนกลางวันเด็กได้เล่นออกกำลังกายภายนอกบ้านไม่เพียงพอ แกไม่เหนื่อยจึงนอนไม่หลับ

เด็กอายุเกินหนึ่งขวบกินอาหาร 3 มื้อโดยนั่งโต๊ะร่วมกับผู้ใหญ่ได้แล้ว บ้างมื้ออาจเป็นขนมปังหรือข้าวต้ม บางมื้อเป็นก๋วยเตี๋ยวหรือข้าว เด็กวัยนี้ไม่ค่อยยินดีกินข้าวเท่าไรนัก มื้อหนึ่งจะกินเพียงครึ่งถ้วยหรือ 1/3 ถ้วย คุณแม่ไม่ควรบังคับให้แกกินข้าวมากขึ้น เพราะจะทำให้แกกินกับข้าวจำพวกไข่ ปลา หรือเนื้อได้น้อยลง ซึ่งไม่ถูกหลักโภชนาการ การบังคับขืนใจให้เด็กกินข้าว ทำให้เด็กพยายามหนีเมื่อถูกจับนั่งโต๊ะกินข้าวเพราะกลัวว่าจะถูกบังคับอีก เด็กที่ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการกินอาหารแต่ละมื้อ มักเป็นเด็กที่มีคุณแม่หรือพี่เลี้ยงซึ่งมีความทรหดอดทน ดึงดันที่จะทำให้เด็กกินข้าวหมดให้จงได้

คุณแม่บางคนคิดว่าเด็กถึงวัยหย่านมแล้วต้องลดนมเหลือขวดเดียว ถ้าเด็กไม่ค่อยชอบกินปลาหรือไข่หรือเนื้อสัตว์ คุณแม่ควรให้นมมากกว่านี้เพื่อไม่ให้เด็กขาดโปรตีนจากสัตว์แทนที่จะป้อนข้าวให้เด็กเป็นชั่วโมงเพราะเด็กไม่ชอบ คุณแม่ให้ลูกกินข้าวเพียง 2-3 คำแล้วให้นมกับอาหารอื่นโดยให้กินภายใน 20-30 นาทีจะดีกว่า

เด็กวัย 1-1 ½ ขวบนี้ชอบใช้ช้อนตักข้าวกินเอง แต่ยังใช้ไม่เก่ง ผลสุดท้ายมักลงเอยด้วยการใช้มือขยำข้าวใส่ปากและบรรเลงเสียจนเกลื่อนพื้นบ้าน คุณแม่ที่รักสะอาดมักไม่ชอบเห็นข้าวหก คุณแม่ที่เจ้าระเบียบแก่มารยาทมักไม่ชอบเห็นลูกเอามือขยุ้มข้าวใส่ปาก จึงไม่ยอมให้เด็กถือช้อนตักข้าวกินเอง แต่ถ้าต้องการให้เด็กเกิดความอยากกินข้าว คุณแม่ควรเคารพความเป็นตัวของตัวเองของลูก ปล่อยให้เด็กตักข้าวกินเอง (อย่าลืมล้างมือให้แกก่อน) และคุณแม่คอยช่วยป้อนกับข้าวใส่ปากก็พอ

เวลารับประทานอาหารควรเป็นเวลาที่เด็กมีความสุขสดชื่น ถ้าคุณแม่มัวคิดถึงแต่ปริมาณแร่ธาตุอาหารที่ให้เหมือนกับการเลี้ยงล่ะก็ คุณแม่มักผิดหวัง

เมื่อเด็กอายุเกินหนึ่งขวบ มีอีกเรื่องที่ครอบงำอยู่ในหัวของคุณแม่คือ เรื่องการฝึกนิสัยขับถ่ายของลูก แต่นิสัยในการขับถ่ายของเด็กแต่ละคนแตกต่างกันมากยิ่งกว่าเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น เด็กบางคนในวัยนี้สามารถบอกคุณแม่ได้ทุกครั้งที่ปวดปัสสาวะหรืออุจจาระ แต่เด็กแบบนี้มีน้อย ส่วนใหญ่ยังต้องใช้ผ้าอ้อมอยู่เด็กที่เคยนั่งกระโถนแต่โดยดีพออายุเกินหนึ่งขวบกลับไม่ยอมนั่งก็มีมาก

สำหรับเด็กวัยนี้เรื่องอุบัติเหตุน่าเป็นห่วงมากว่าเรื่องเจ็บป่วยเสียอีก สมัยก่อนมีโรคโปลิโอระบาด แต่สมัยนี้มีวัคซีนสำหรับกินป้องกัน ทำให้โรคนี้ลดน้อยลงมาก
เมื่อเด็กเป็นไข้ตัวร้อน ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากเชื้อไวรัสโดยเฉพาะโรคหวัด นอกจากนั้นก็มีพวกโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่นท้องเสีย บิด ไทฟอลด์ ฯลฯ ซึ่งโรคพวกนี้ถ้าระมัดระวังเรื่องความสะอาดให้ดี เด็กจะไม่ค่อยเป็น

โรคร้ายแรงที่เด็กไทยในวัยนี้มีโอกาสเป็นกันมากในบางท้องที่คือ โรคที่มียุงเป็นพาหะนำเชื้อ เช่น มาเลเรียและไข้สมองอักเสบ ถ้าเมืองไทยไม่มียุง เวลาลูกเป็นไข้ คุณแม่ทั้งหลายคงเบาใจกว่าทุกวันนี้มาก 

ข้อมูลสื่อ

69-010
นิตยสารหมอชาวบ้าน 69
มกราคม 2528