• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ส่าไข้

 
เดือนนี้ผมของดเรื่องเกี่ยวกับอินเดียไว้ก่อน เพราะหลังจากกลับจากอินเดีย ผมได้มีโอกาสเดินทางไปต่างจังหวัดในเมืองไทยหลายๆ แห่งด้วยกัน ซึ่งแต่ละแห่งก็น่าสนใจทั้งสิ้น แห่งแรกที่ผมจะกล่าวถึงคือ วัดถ้ำผาปู่ จังหวัดเลย ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดเลยไปเพียง 10 กิโลเมตรกว่าเท่านั้น ผมได้มีโอกาสไปนมัสการและฟังเทศน์จากหลวงปู่คำดี ปกาโส และนอนค้างคืนที่วัด 1 คืน รู้สึกจิตใจผ่องใสขึ้นมาก การไปครั้งนี้ไปร่วมกับชมรมพุทธศาสนาคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันจักรีนี้เอง


เมื่อเข้าไปทีแรกก็ตรงไปที่ถ้ำก่อนทีเดียว เวลานั้นอากาศร้อน เพราะเป็นเดือนเมษายน ที่น่าแปลกก็คือเดินเข้าไปในถ้ำเพียงประมาณ 20 เมตรเท่านั้น อากาศจะเย็นสบายเหมือนอยู่ในห้องปรับอากาศทีเดียว ได้รับคำบอกเล่าว่าพระฝรั่งชอบมาจำวัดอยู่ที่ถ้ำนี้บ่อยๆ เพราะอากาศสบายดีในถ้ำนั้นมีน้ำไหลรินอยู่ การไหลของน้ำอาจช่วยระบายความร้อนด้วย ในบริเวณวัดก็ปลูกต้นไม้เต็มไปหมด ทำให้บรรยากาศร่มเย็น จึงอยากจะเรียนให้ทุกท่านกรุณาปลูกต้นไม้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้


ที่วัดนี้ มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่นไปบวชอยู่ 2 องค์ บวชมานานแล้ว ท่านตั้งใจบวชโดยไม่มีกำหนดสึก ได้คุยกับท่านที่เคยเป็นอาจารย์วิศวะ ท่านได้เน้นเรื่องศีลข้อที่ 5 ว่า ทุกวันนี้ที่เรามีเรื่องเดือดร้อน บางครั้งถึงกับฆ่าฟันกันตาย ก็เพราะผิดศีลข้อนี้เป็นสำคัญ น้องของท่านคนหนึ่งติดสุราเรื้อรัง ทำงานไม่ได้ หลังจากได้มาศึกษาธรรมและปฏิบัติกรรมฐานแล้ว ก็สามารถงดสุราได้ สามารถทำงานเจริญก้าวหน้าไปได้อย่างดี ก็ขออ้างอินเดียอีกครั้งหนึ่ง ได้ทราบว่าท่านนายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี ท่านมีนโยบายต่อต้านของสองอย่าง คือ ดริ๊งค์ และ ดาวรี่ ดริ๊งค์ ก็คือการดื่มสุราของมึนเมานั่นเอง วันศุกร์เขาจะห้ามดื่มสุราและมีการประชาสัมพันธ์ให้เห็นโทษของการดื่มสุรา แต่ก็เป็นการยาก ยังมีผู้ดื่มสุราทั่วโลกนอกจากผู้นับถือศาสนามุสลิม

 

มหาตมะคานธีท่านก็ต่อต้านมาก กล่าวว่า ในปัจจุบันนี้ที่เมืองของท่านห้ามดื่มสุราโดยเด็ดขาด ดื่มมาจากที่อื่นก็ไม่ได้ ถ้ามีกลิ่นเหล้าติดมา จะถูกไล่ออกไปจากเมืองเลย ดาวนี่ ก็คือ สินสอดเดิมของฝ่ายหญิง ที่ต้องจ่ายให้แก่ฝ่ายชายตามฐานะของทั้งสองฝ่าย เมื่อจะแต่งงานกัน ซึ่งเป็นประเพณีอินเดีย นับว่าเป็นภาระหนักแก่พ่อแม่ที่มีลูกสาวเป็นอย่างมาก ดีไม่ดีอาจไม่ได้แต่งงานเพราะไม่มีเงินจ่าย หรือถ้าจ่ายไม่ครบอาจถูกแม่ผัวกดขี่ข่มเหงแย่ไปเลย จึงขอแจ้งมายังสาวไทยทั้งหลายว่า ท่านโชคดีที่เกิดมาเป็นสาวไทย เพราะเป็นฝ่ายรับจากชาย
ผมเข้าใจว่า เรื่องนี้คงตีพิมพ์ประมาณเข้าพรรษาแล้ว จึงขอให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้โปรดงดดื่มสุราและถ้างดได้ตลอดไปเลย ก็จะเป็นผลดีต่อตัวท่านเองและส่วนรวมเป็นอย่างยิ่ง


ผมจะเริ่มเรื่องส่าไข้ละครับ ผมได้รับแจ้งจากท่านบรรณาธิการให้เขียนเรื่องส่าไข้ และวงเล็บเป็นภาษาอังกฤษว่า Roseola Infantum ฉะนั้น คำว่าส่าไข้ ในที่นี้เป็นโรคชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เป็นส่าไข้ ซึ่งเกิดจากไข้อะไรก็ได้

เมื่อครั้งผมเป็นแพทย์ประจำบ้านอาวุโส แผนกกุมารเวชศาสตร์ ยังจำได้ดีว่ากลางคืนต้องถูกแพทย์เวรปลุกมาให้ตรวจเด็กชักเสมอ บางคืนถูกปลุกหลายๆ ครั้ง ก็เดินหลับตามาจากหอพักเลย เมื่อมาถึงบางทีก็พบว่าเด็กหายชักแล้ว นอนหลับปุ๋ยอยู่บางทีก็กำลังชักกระตุกตาเหลือกอยู่ พยาบาลต้องเอาที่กดลิ้นพันด้วยผ้าก็อซ ใส่ไว้ในปากไม่ให้เด็กกัดลิ้นตัวเอง และเอาน้ำแข็งโปะไว้ที่ศีรษะ เพื่อให้สมองเย็นจะได้หยุดชัก ในขณะเดียวกันก็เอาผ้าขุนหนูชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวเด็กอยู่ตลอดเวลา เพื่อลดไข้ แม่เด็กบางคนก็อดทนยืนดูแพทย์และพยาบาลให้การรักษาอย่างเงียบๆ บางคนก็ตกอกตกใจต้องปลอบโยนให้กำลังใจกัน เนื่องจากเรื่องชักเป็นเรื่องสำคัญ จึงมีระเบียบว่าต้องให้แพทย์อาวุโสมาตรวจสอบให้แน่นอน เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง แม้จะหยุดชักแล้วเพราะสาเหตุของการชักนั้นมีหลายอย่าง บางรายก็ไม่ร้ายแรง เช่นจากคออักเสบ ไข้สูงทำให้ชักจากโรคส่าไข้ซึ่งจะกล่าวให้ละเอียดต่อไป บางรายก็จากโรคร้ายแรง เช่นเยื้อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ โรคพิษสารตะกั่ว เป็นต้น


โรคส่าไข้นี้เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง พบเฉพาะในเด็กเล็กเท่านั้น คือ อายุระหว่าง 6 เดือนถึง 18 เดือน พบบ่อยมาก ผู้ที่ศึกษาติดตามเรื่องนี้พบว่า เด็กตั้งแต่แรกเกิดจนอายุถึง 1 ปีใน 100 คน จะเป็นโรคส่าไข้ถึง 16 คน โรคนี้จะมีอาการไข้เกิดขึ้นรวดเร็วและสูง คือประมาณ 39.5 ถึง 40.5 องศาเซลเซียส (ํซ) บางรายพอไข้สูงมากก็ชักเลย นอกจากนั้นก็มีอาการไอ น้ำมูกไหล คล้ายโรคหวัดธรรมดา อาการที่สำคัญ คือ ไข้สูงมาก ฉะนั้น ในเด็กอายุดังกล่าว ถ้ามีไข้สูง ต้องนึกถึงโรคนี้ไว้ก่อน

ลักษณะสำคัญที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคนี้ คือ หลังจากมีไข้สูงประมาณ 3-4 วัน ไข้จะลดลงเองอย่างรวดเร็ว และมีผื่นแดงๆ คล้ายผื่นหัด แต่จางกว่า ผื่นจะขึ้นบริเวณลำตัว ลำคอ หลังหู หน้าและแขนขา เพียง 2-3 ชั่วโมง ผื่นจะจางลงและหายไปใน 2-3 วัน โรคนี้อาจทำให้เข้าใจผิดว่าออกหัด เมื่อผมพบเด็กที่ออกหัดอย่างชัดเจน และบอกคุณแม่ว่าลูกออกหัด บางคนจะถามผมด้วยความสงสัยว่า เด็กออกหัดแล้วทำไมจึงออกอีก ผมต้องถามว่าที่เข้าใจว่าเด็กออกหัดนั้น มีอาการอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่าไข้สูง ออกผื่น ถามว่าผื่นออกมากไหม นานไหม ถ้าเป็นส่าไข้อย่างที่กล่าวแล้วจะออกไม่นาน แต่หัดนั้นจะไอมาก มีผื่นขึ้นที่ตาตาแดง ผื่นออกนานราว 2-3 อาทิตย์ และจะลอกเป็นสีดำก่อนที่จะจางหายไป

โรคส่าไข้นี้ จะมีลักษณะคล้ายโรคอีกโรคหนึ่ง คือ หัดเยอรมัน เพราะผื่นลักษณะคล้ายคลึงกันมาก แต่ในหัดเยอรมันมีไข้เพียงเล็กน้อยและมีต่อมน้ำเหลืองโต บริเวณหลังหูและศีรษะทางด้านหลัง


การป้องกันและรักษาโรคส่าไข้ เป็นการยากที่จะป้องกันโรคนี้ ข้อสำคัญเมื่อเด็กอายุระหว่าง 6 ถึง 18 เดือนมีอาการคล้ายเป็นหวัด มีไข้สูง ต้องนึกถึงโรค การรักษาก็เพียงพยายามลดไข้ เพื่อไม่ให้ชักเท่านั้น พอพ้นวันที่ 4 ไข้ก็จะลดลงเองเป็นปกติ วิธีลดไข้ที่สำคัญ ก็อย่างที่ได้อธิบายแล้ว คือ ใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งวางที่ศีรษะ เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น ให้ดื่มน้ำมากๆ อาจให้ยาลดไข้ช่วย คือ เบบี้แอสไพริน ขนาด 1 ¼ เกรน (หรือ 75 มิลลิกรัม; 1 เกรน เท่ากับ 60 มิลลิกรัม) ถ้าเด็กอายุ 1 ปี ก็ให้ 1 เม็ด ทุก 4 ชั่วโมง เฉพาะเวลาตัวร้อนจัดเท่านั้นถ้าเด็กอายุน้อยหรือมากกว่านี้ ก็ลดหรือเพิ่มตามส่วน


ถ้าเด็กมีอาการชัก ควรเอาด้ามแปรงสีฟันสอดไว้ระหว่างฟัน เพื่อกันเด็กกัดลิ้น ให้เด็กนอนท่าสบายหายใจสะดวกและพยายามลดไข้ให้เร็วที่สุดด้วยวิธีดังกล่าวแล้ว ข้อสำคัญเวลาชักอย่าให้ยาหรือน้ำทางปาก รอให้หยุดชักเสียก่อนจึงควรให้ยาลดไข้ได้


เมื่อกล่าวถึงโรคหัด และหัดเยอรมันแล้ว ผมมีข่าวดีที่จะเรียนให้ทราบว่าเวลานี้มีวัคซีนป้องกันโรคทั้งสองนี้ออกมาจำหน่ายในราคาพอสมควรแล้ว


โรคหัด
(รายละเอียดผมเขียนไว้ในเรื่อง โรคหัดในอินเดีย ในหมอชาวบ้านฉบับที่ 23 ปีที่ 2) บางท่านเข้าใจว่าเป็นโรคธรรมดา ทุกคนต้องออกโดยธรรมชาตินั้น แท้ที่จริงแล้ว โรคหัดทำความทุกข์ทรมานให้แม่และเด็กมาก บางครั้งบางคราวอาจมีโรคแทรกเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และถ้าไม่ป้องกัน ก็เป็นกันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยจึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องฉีดวัคซีนป้องกันทุกคน เพราะโรคหัดก็เหมือนโรคติดเชื้ออื่นๆ เช่น โรคคอตีบ ไอกรน ถ้าไม่เป็นได้จะดีที่สุด “กันไว้ดีกว่าแก้” ข้อขัดข้อง คือ ก่อนนี้ วัคซีนราคาแพงมาก ประมาณ 100 บาท แต่วัคซีนซึ่งจำหน่ายโดยบริษัทเบย์แอนด์เบเกอร์เวลานี้ ราคาขายจากบริษัทตกเฉลี่ยคนละประมาณ 5 บาทเท่นั้น ฉีดครั้งเดียวเมื่อเด็กอายุประมาณ 15 เดือน แต่วัคซีนเขาขายเป็นขวดๆ หนึ่งฉีดได้ 10 คน เปิดแล้วต้องฉีดเลย ค้างคืนไม่ได้ ฉะนั้น ต้องนัดมาฉีดพร้อมๆ กัน ผมจึงขอเรียนให้ท่านที่มีบุตรหลานที่ยังไม่เคยออกหัด ถ้าอายุครบ 15 เดือนแล้ว โปรดนัดหมายกันไปฉีดวัคซีนป้องกันหัดเสียให้เรียบร้อย


หัดเยอรมัน (คุณหมอจันทพงษ์ วะสี เขียนไว้ในหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 16 ปีที่ 2) เมื่อเป็นกับมารดาที่กำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ลูกที่เกิดมาอาจจะพิการได้ เช่น สมองเล็ก ปัญญาอ่อน ตาเป็นต้อกระจก หูหนวก โรคหัวใจ ฯลฯ จึงสมควรฉีดให้เด็กหญิงอายุประมาณ 10 ปี คือ ก่อนที่จะมีประจำเดือน การฉีด ฉีดเพียงครั้งเดียวก็กันได้ตลอดชีวิต วัคซีนนี้จัดจำหน่ายโดยบริษัทเดียวกันขวดหนึ่งฉีดได้ 10 คนเช่นเดียวกัน ราคาแพงกว่าวัคซีนป้องกันหัดเล็กน้อย คือประมาณเข็มละ 7 บาท ราคาเวลาไปรับการฉีดจริงๆ ของวัคซีนทั้ง 2 ชนิดนี้ คงมากกว่านี้ เพราะต้องรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ เข้าไปอีก เรื่องนี้ครูและผู้ปกครองน่าจะลองพิจารณากัน เพราะการไปฉีดที่โรงเรียนจะสะดวกมาก งานด้านสาธารณสุขนั้นจะได้ผลดีก็เมื่อชาวบ้านเข้าใจมองเห็นความสำคัญและร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาล


ผมจึงขอฝากข้อคิดเรื่อง วัคซีนป้องกันหัดและหัดเยอรมันไว้เพื่อให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกระดับได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ ถ้าเห็นสมควรป้องกันก็อาจจัดตั้งเป็นกลุ่ม โดยทางประชาชนเฉลี่ยกันออกค่ายาและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นฝ่ายฉีด
ยาป้องกันให้
 

ข้อมูลสื่อ

28-012
นิตยสารหมอชาวบ้าน 28
สิงหาคม 2525
อื่น ๆ
นพ.ปรีชา วิชิตพันธ์