• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เพศศึกษา ประสาวัยรุ่น


ในวัยรุ่นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ ฮอร์โมนทางเพศ อิทธิพลของฮอร์โมนทางเพศจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในร่างกายและด้านจิตใจ เป็นการเตรียมพร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่ ในผู้ชาย พอเป็นหนุ่มจะมีเสียงแตก นมขึ้นพาน มีหนวดเครา มีน้ำอสุจิ และความรู้สึกทางเพศ ในผู้หญิง เริ่มมีส่วนเว้า ส่วนโค้ง มีจริตมากขึ้น มีหน้าอก สะโพกผายขึ้น มีประจำเดือน และรวมไปถึงความรู้สึกทางเพศด้วย

เรื่องความรู้สึกทางเพศนี่ เป็นเรื่องธรรมชาติจริงๆ คนเรามักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องเพศ สังคมมักจะกำหนดว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องสกปรกหยาบช้า เรื่องต่ำ พูดถึงไม่ได้ เคยมีนักการศึกษาที่เห็นความสำคัญของเรื่องเพศศึกษา พยายามจะนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเพศมาบรรจุในหลักสูตรการเรียน ก็มักจะถูกคัดค้านจากผู้ใหญ่ว่า ไม่ต้องสอนหรอก โตขึ้นก็จะรู้เองแหละ ทำไมเราต้องเด็กถึงวิธีกินตั้งแต่เล็กจนโต สอนว่าจะกินอะไรที่มีประโยชน์ สอนมรรยาทในการกิน เราไม่ต้องสอนก็ได้ เมื่อหิวก็กินเป็นเหมือนกัน แต่กินเป็นอย่างสัตว์ เรื่องเพศก็ไม่แตกต่างกัน

วัยรุ่น โดยธรรมชาติจะมีความรู้สึกทางเพศ แต่ถ้าไม่มีการชี้นำ ไม่มีการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในด้านเพศศึกษาแก่เขา โตขึ้นมาก็จะเป็นเอง แต่เป็นด้วนสัญชาติญาณดิบ ขาดการขัดเกลาที่เหมาะสม นี่เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งของการผิดปกติทางเพศในสังคมเรา การให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศศึกษา มันก็ต้องมีขั้นตอน แล้วแต่ความสามารถของเด็กแต่ละวัย จิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็กแต่ละวัยจะสามารถรับรู้ได้แค่ไหน

ในเมื่อเรารู้แล้วว่า โดยธรรมชาติ วัยรุ่นจะมีความรู้สึกทางเพศ ดังนั้นวัยรุ่นก็ต้องมีปัญหาแน่ เมื่อเกิดความรู้สึกทางเพศขึ้นมา ปัญหาอันแรกก็คือ เขาจะตกใจในความรู้สึกทางเพศที่ตัวเองมี เนื่องจากสังคมได้กำหนดค่านิยมไว้ว่า เรื่องเพศเป็นเรื่องบัดสีบัดเถลิงสกปรก เมื่อวัยรุ่นมีความรู้สึกทางเพศ วัยรุ่นจะมีความรู้สึกว่า ความรู้สึกทางเพศเป็นเรื่องนี้ที่ไม่ดี เป็นเรื่องที่น่าอับอาย เป็นเรื่องที่ต้องซ่อนเร้น มันเข้าใจผิดตั้งแต่เริ่มแล้ว

 

 

ปัญหาที่สอง คือ ในสังคมเรายังให้ค่านิยมของความเป็นชายชาตรีอย่างผิดๆ อยู่มาก เช่น สังคมไทยมักจะยกย่องว่า ความเป็นชายชาติอาชาไนย นอกจากจะมีกล้ามเป็นมัดๆ บู๊ล้างผลาญ ต้องกินเหล้าสูบบุหรี่เก่งแล้ว จะต้องมีความสามารถทางเพศเป็นเลิศ จะต้องเจ้าชู้ประตูดินด้วย ค่านิยมที่ว่า ใครมีเมียมากเท่าไรเป็นผู้มีบุญบารมีมากเท่านั้น เช่น หนังสือพิมพ์เคยเอามาลงกันเกรียวกราวว่า ที่นครปฐมมีคนมีภรรยาตั้ง 6-7 คน ยกย่องเป็นขุนแผนรัตนโกสินทร์ ค่านิยมที่ว่า ผู้ชายไปไหนต้องพิชิตที่นั่น ต้องถึงที่นั่น ที่ว่าถึงก็คือถึงเรื่องผู้หญิง ค่านิยมต่างๆ เหล่านี้รวมทั้งสิ่งที่ได้เรียนมาจากวรรณคดี อย่างที่รู้กัน พระเอกในวรรณคดีเราเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนได้แค่ไหน อย่าง พระอภัยมณี ก็ไม่เลือกทั้งคน ยักษ์ หรือว่าเงือก ค่านิยมอย่างนี้ ทำให้วัยรุ่นชายโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกหวั่นไหวในความเป็นชายชาตรีด้วย เพราะว่าสังคมกำหนดบทบาทให้เขาว่า เขาจะต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสูงในทางเพศ เด็กหนุ่มจะรู้สึกหวั่นไหวว่า เขาจะมีความสามารถสวมบทบาทนั่นได้ดีไหม แต่ก็เป็นความหวั่นไหวที่ต้องเก็บไว้ในใจ ไม่กล้าให้ใครรู้ ชายหนุ่มทั้งหลายในสังคมไทยเรา ถึงต้องไปพิสูจน์หาความเป็นชายชาตรีอย่างผิดๆ หาความรู้และประสบการณ์ทางเพศด้วยวิธีผิดๆ เช่น การอ่านหนังสือโป๊ สมุดปกขาว ไปเที่ยวโสเภณี หรือหมอนวด ซึ่งมีอยู่ดาษดื่นในบ้านเรา

หนังสือโป๊นั้น ผู้เขียนทั้งหลายก็พยายามจะขายหนังสือให้ได้มากที่สุด โดยเขียนปลุกกำหนัดให้มากเข้าไว้ ไม่ต้องพูดถึงสำนึกและหน้าที่ของเขาอีกแล้ว เรื่องราวที่เขาเขียนจึงเป็นเรื่องเกินความจริง ภาพที่แสดงก็เป็นภาพเกินความจริงทั้งนั้น แล้วชายหนุ่มที่ไม่เคยมีความรู้ทางด้านเพศศึกษา พอมาอ่านหนังสือโป๊ก็คิดว่าเพื่อจะเรียนรู้เรื่องเพศศึกษา เขาก็เข้าใจว่าทั้งหมดที่เขียนในหนังสือนั้นคือ ค่าปกติสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย จะต้องร่วมเพศได้วันละหลายๆ ครั้ง จะต้องมีอวัยวะเพศขนาดมหึมา รวมทั้งรูปภาพที่เห็น ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อเข้าไปอีก เลยเกิดเป็นปมด้อยถ้าของเขาเล็กกว่าในภาพ ทำให้บางคนหายามาทา ถู นวด ซึ่งความจริงไม่ได้ประโยชน์อะไรทั้งสิ้น รูปร่างและขนาดขององคชาตไม่ได้เกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศเลย

ปัญหาอีกอันของชายหนุ่มก็คือ เมื่อเริ่มมีความสนใจเพศตรงข้ามมากขึ้น ก็ชอบมองรูปร่างของผู้หญิง แล้วก็เกิดจินตนาการทางเพศขึ้นโดยอิทธิพลของฮอร์โมน และวัตถุหรือเป้าที่เขาจะใช้ในการจินตนาการ ก็หนีไม่พ้นคนที่เขาเห็นในชีวิตประจำวันหรือไม่ก็ดาราหนัง ดาวโป๊ทั้งหลาย วัยรุ่นจะรู้สึกละอาย รู้สึกว่าตนเป็นคนลามก คิดสกปรก ชอบคิดไม่ดีกับคนโน้นคนนี้ โดยหารู้ไม่ว่าจินตนาการทางเพศนั้นคือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติทั่วไปอันหนึ่งของวัยรุ่น

พอมีจินตนาการทางเพศแล้ว ปฏิกิริยาทางเพศก็จะเกิดขึ้น มันกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองของ
อวัยวะต่างๆ ของร่างกายต่อความรู้สึกทางเพศ อวัยวะที่เร็วที่สุดต่อทางเพศในผู้ชายคือ การแข็งตัวขององคชาต ในวัยหนุ่มขนาดนั้น อะไรก็ตามที่มากระทบประสาทรับสัมผัสของเขา ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก กาย ในวัยหนุ่ม จะกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้รวดเร็วมาก เมื่อไม่เข้าใจว่านี่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติก็ทำให้เขาไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกพวกนี้อย่างไรดี

ปัญหาต่อไปก็คือ เขาก็ไปเรียนรู้ว่ามีการสำเร็จความใคร่ อาจจะจากหนังสือเริงรมณ์ คอลัมน์ตอบปัญหาทางเพศทั้งหลาย หรือไม่ก็จากเพื่อน ส่วนใหญ่รู้จากเพื่อน หรือบางคนก็ค้นพบด้วยความบังเอิญเอง

สังคมเรามีความชื่อผิดๆ
ในเรื่องการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองมานานแล้ว เชื่อผิดๆ ว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองนั้น ทำให้เกิดอันตรายต่างๆ นานา เช่น เชื่อว่าจะทำให้ประสาทสมองพิการ สติปัญญาเสื่อม สายตาสั้น เป็นโรคหัวใจ เป็นโรคโลหิตจาง เป็นกามวิปริต จะกลายเป็นคนหมดสมรรถภาพทางเพศ หรือความเชื่อที่ยังมีอยู่ว่า น้ำอสุจินั้นกลั่นมาจากเลือดเป็นต้น แต่เนื่องจากแรงผลักดันของฮอร์โมนเพศ ทำให้เขามีความต้องการทางเพศ เขาจึงต้องพยายามที่จะลดความกดดันทางเพศของเขาลง ด้วยการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง เมื่อทำไปแล้วเขาก็รู้สึกผิด รู้สึกว่าตัวเองไม่ดี นอกจากทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมแล้ว ยังเป็นการทำร้ายร่างกายทางอ้อม คิดว่าจะเป็นโรคนั้นโรคนี้ เขาจะเกิดความวิตกกังวล และพยายามจะสัญญากับตัวเองว่าจะเลิก แต่ก็เลิกไม่ได้ ยิ่งทำก็ยิ่งตำหนิตัวเอง ทำให้หมดความเชื่อมั่นในตัวเอง กลายเป็นคนมีปมด้อยไป แล้วโรคประสาทก็จะเกิด ซึ่งไม่ใช่เกิดเพราะการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองโดยตรง แต่เกิดเพราะความวิตกกังวลต่างๆ เหล่านี้ต่างหาก เวลานี้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ เราพิสูจน์แล้วว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ไม่ทำให้เกิดภัยอันตรายแก่ร่างกายเลย ตรงข้าม กลับเป็นการลดความตึงเครียดทางเพศที่ถูกต้อง อันนี้ไม่ใช่สนับสนุนให้ทำกันมากนะครับ เพียงแต่เมื่อทำจะได้ไม่ต้องไปคิดผิดๆ ทำให้เป็นผลร้ายต่อตัวเอง

เรามาลองพิจารณากันว่า อันที่จริงธรรมชาติให้ร่างกายเราพร้อมที่จะสืบพันธุ์ได้ตั้งแต่ในวัยรุ่นแล้ว อายุ 12-14 ปี คนโบราณก็แต่งงานกันตั้งแต่วัยนี้ ชาวอินเดียสมัยโบราณเป็นตัวอย่าง เช่น ท่านมหาตมคานธี ท่านก็แต่งงานตั้งแต่อายุน้อยมาก แต่เนื่องจากมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ ความจำเป็นในการครองชีวิตที่จะต้องเรียนหนังสือ หาความรู้ เตรียมพร้อมที่จะไปทำงานอาชีพ ทำให้เราไม่สามารถที่จะมีเหย้าเรือนได้ตั้งแต่ในวัยรุ่น ชีวิตวัยรุ่นของเราจึงถูกดึงรั้งให้ยาวออกไป ช่วงเวลาตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยที่จะได้แต่งงานนี่บางทีเป็นสิบๆ ปี แล้วมันก็มีความต้องการทางเพศอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่มีทางอื่นละครับที่จะแก้ได้ดีกว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง

 

  

เรื่องสิวเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับวัยรุ่น วัยรุ่นกับสิวเป็นเรื่องคู่กัน วัยรุ่นทั้งโลกจะต้องมีสิว ในแง่ที่เกี่ยวข้องกับทางเพศ มักจะมีความเชื่อที่ผิดๆ กันว่า ใครที่มีสิวเยอะเป็นคนมีตัณหาจัด ในหมู่วัยรุ่นจะมีการล้อกันเสมอ เรารู้แล้วว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง มันก็เลยผนวกเข้าไปว่า สิวเป็นเครื่องฟ้องว่าตัวเองช่วยตัวเองมากแค่ไหน ก็เลยอาย พยายามขจัดสิวด้วยวิธีการต่างๆ จะเห็นว่า วัยรุ่นจำนวนมากเลย ที่ใช้เวลาเป็นวันๆ ในการบีบสิว มากกว่าใช้เวลาในการอ่านหนังสือหรือทำงานอื่นๆ ที่มีประโยชน์เสียอีก เพราะความเข้าใจผิด อันที่จริงแล้ว สิวกับความรู้สึกทางเพศนี้ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย

มาพูดถึงในผู้หญิงบ้าง ค่านิยมในสังคมกำหนดบทบาททางเพศของผู้หญิงไว้ตรงข้ามกับผู้ชาย กุลสตรีจะต้องไม่ข้องแวะเรื่องเพศ ยิ่งไร้เดียงสามากเท่าไร ยิ่งเป็นกุลสตรีมากเท่านั้น ห้ามไม่ไห้มีการแสดงออกในเรื่องเพศ จริงๆ แล้ว ผู้หญิงทุกคนเมื่อถึงวัยรุ่น อิทธิพลของฮอร์โมนเพศจะทำให้มีความรู้สึกทางเพศ แต่เขาจำเป็นต้องเก็บกดไว้ เนื่องจากอิทธิพลของขนบธรรมเนียมประเพณีที่สั่งสอนมา ผมไม่ได้ชี้บอกว่าประเพณีนี้ดีหรือไม่ดีนะ เพียงแต่พูดว่าประเพณีทำให้วัยรุ่นเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นมา และการที่ผู้ใหญ่หรือสังคมพยายามที่จะปิดบังไม่ไห้รู้เรื่องเพศศึกษา ยิ่งทำให้วัยรุ่นหญิงเกิดปัญหาต่างๆ ซึ่งบางทีจะมากกว่าวัยรุ่นชายด้วยซ้ำไป เช่น เมื่อฮอร์โมนเพศทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เด็กผู้หญิงจำนวนมากอายเหลือเกินเรื่องมีหน้าอก ยิ่งถ้าเพื่อนวัยเดียวกันในห้องเรียนยังไม่ทันมี เด็กบางคนอายมากถึงกับไม่ยอมไปโรงเรียน บางคนก็พยายามเอาผ้ามารัด เพื่อจะไม่ให้ใครรู้ว่าตัวเองมีหน้าอก ที่ตรงข้ามก็มีเด็กหญิงบางคนที่อาจจะแก่แดดแก่ลมหน่อย พยายามเร่งเร้าจะได้เป็นสาวเสียที โดยเฉพาะอิทธิพลเรื่องการค้าปัจจุบัน จะเห็นว่า ในระยะไม่กี่ปีมานี้โฆษณาขายเสื้อชั้นในสตรี มุ่งมาที่เด็กสาววัยรุ่นและเด็กเล็กแล้ว เด็กที่ยังไม่ทันสาวเลย เห็นโฆษณาทุกวันๆ ก็เป็นค่านิยมที่เกิดขึ้นใหม่ ก็ร่ำร้องอยากจะใส่มั่ง ทำให้พ่อแม่ต้องสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ทำให้เกิดค่านิยมที่ผิดๆ ว่า หน้าอกหน้าใจเป็นเรื่องสำคัญ

วัยรุ่นสาวก็เช่นกัน จะอายเหลือเกินเรื่องสิว เพราะนอกจากจะทำให้ไม่สวยแล้วยังอาย เพราะคิดว่าสิ่งนี้เป็นเครื่องฟ้องถึงเรื่องสัปดนในใจของตัวเองที่เกี่ยวกับทางเพศ

เรื่องของประจำเดือน แม้ในปัจจุบันก็ยังมีเด็กสาวจำนวนมากในไทยที่มีประจำเดือนแล้วยังไม่รู้ว่านั่นคืออะไร เพราะขาดคนบอก แนะนำ ส่วนมากพ่อแม่ก็อาย ไม่รู้จะอธิบายให้ลูกรู้ยังไง เลยไม่บอก หรือพ่อแม่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร พ่อแม่หัวโบราณบางคนถือว่าประจำเดือนเป็นเรื่องสกปรก ซวย อัปมงคล ครูที่โรงเรียนก็ไม่ได้อธิบายให้นักเรียนรู้หรือบางทีก็อธิบายอ้อมค้อม เด็กก็ไม่เข้าใจว่าครูพูดถึงเรื่องอะไร เพราะฉะนั้นเด็กที่ขาดความเข้าใจในเรื่องประจำเดือนมาก่อน ในวันแรกที่เป็นประจำเดือนมาจะตกใจมาก ส่วนมากจะเข้าใจผิดว่าข้างในคงเน่าเป็นแผล ถึงมีเลือดออกมา และไม่กล้าบอกพ่อแม่

บางคนมีความเชื่อผิดๆ ว่า ประจำเดือนคือพิษของร่างกาย ที่จะต้องถ่ายออกมาทุกเดือนๆ และถ้าเดือนไหนประจำเดือนสีดำ แสดงว่าเดือนนั้นมีพิษเยอะ บางทีประจำเดือนมาน้อยก็วิตกว่าคงจะแย่ เลือดพิษออกมาน้อย ซึ่งเข้าใจผิดทั้งนั้น เรื่องประจำเดือนนี้ไม่เห็นจะเกี่ยวกับสีดำ สีแดงเลย และไม่ใช่การถ่ายถอนพิษของร่างกายด้วย ประจำเดือนคือการเตรียมตัวเองให้พร้อมเป็นการเตรียมพร้อมของมดลูก ซึ่งจะรอรับการตั้งครรภ์ของเดือนใหม่ การที่ประจำเดือนบางเดือนออกมาดำ ก็เพียงแต่เพราะว่าเยื่อบุผนังมดลูกที่มันหลุดออกมาแล้ว มันเข้าไปขังตัวอยู่ในช่องคลอดหรือในมดลูกอยู่นาน มันไม่พ้นออกมาจากช่องคลอดทันที แล้วเลือดที่สีแดง พอโดนอากาศนานๆ มันก็จะเป็นสีคล้ำขึ้น ถ้าผู้หญิงคนนั้นมีประจำเดือนแล้วไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอะไร เลือดก็คั่งในมดลูกนานๆ ก็เลยมีสีดำ เท่านั้นแหละ เรื่องหลายเรื่องเราไม่ทำความเข้าใจกัน จนบางคนพกพาความเข้าใจผิดฝังใจตลอดชีวิตเลย

 

  

อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน โดยเฉพาะสื่อสารมวลชนหรือสังคม ทำให้เด็กสาวเกิดทัศนคติต่อเพศของตนผิดๆ ให้ความสำคัญในเรื่องความสวยงาม แข่งกันสวยงาม แข่งกันเป็นสัญลักษณ์ทางเพศ แข่งกันลงข่าวว่าคนนั้นเป็นเมียน้อยคนนี้ และยังเชิดหน้าชูตาอย่างมีเกียรติได้ในสังคม อันนี้ทำให้เด็กสาวจำนวนไม่น้อย ได้พกค่านิยมผิดๆ เข้ามา ไม่อายที่จะเอาอย่าง หรือทำตัวเป็นสัญลักษณ์ทางเพศ เพื่อจะเอาร่างของตัวเองไปแลกเปลี่ยนกับความสุขสบาย ทรัพย์สินเงินทอง เพื่อหาทางแก้ปัญหา

ดังนั้นแนวทางแก้ปัญหาวัยรุ่นในเรื่องเพศ สำหรับผู้ปกครองและครูบาอาจารย์คือจะต้องให้ความรู้เรื่องเพศศึกษากับเขา พัฒนาการตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจอย่างไรบ้าง ต้องให้เขาเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับตัวเองอย่างดี และเข้าใจปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เขาจะได้เตรียมพร้อมที่จะรับปัญหาเหล่านั้น

พ่อแม่ และครู ควรทำตัวเป็นตัวอย่างของสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีที่ดีให้แก่เด็ก เพราะเด็กจะเรียนกับพ่อแม่กับครูเท่านั้น ควรให้เขาเรียนรู้วิธีที่จะคบกับเพศตรงข้าม เรียนรู้วิธีให้เกียรติเพื่อที่เพศตรงข้ามจะได้ให้เกียรติตนเองด้วย

หันเหความสนใจทางเพศของเขา โดยให้เขาได้ใช้พลังงานที่มีเหลือเฟือไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสม เช่น การทำกิจกรรมนอกหลักสูตร ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อวิถีชีวิตของเขาที่จะต้องเป็นผู้ใหญ่ต่อไป หรือกิจกรรมเสริมหลักสูตร เพื่อให้เขามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เขาเรียนดีขึ้น เช่น กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น สนับสนุนให้เล่นกีฬา การเล่นกีฬาเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับวัยรุ่น ถ้าวัยรุ่นเล่นกีฬาเป็นประจำ นอกจากจะทำให้เขามีสุขภาพดีขึ้น นอกจากจะได้ระบายความกดดันทางเพศออกไปในทางที่ถูกต้องแล้ว ก็จะได้เรียนรู้ในเกมกีฬา การรู้แพ้รู้ชนะ รู้หน้าที่การทำงาน เข้าใจประสานงานกับคนอื่นเป็นกลุ่ม การอยู่ร่วมกับคนอื่นภายใต้กฎเกณท์ต่างๆ

ในส่วนของผู้ใหญ่ ผมอยากจะพูดถึงวัยรุ่นในเรื่องทั่วๆ ไปสักนิดว่า ส่วนมากผู้ใหญ่มักจะกล่าวตำหนิ ติเตือน หรือมองวัยรุ่นในทางที่ไม่ดีเสมอมาพวกนี้วุ่นวาย กักขฬะ ไม่มีคุณสมบัติผู้ดี ไม่รู้จักคารวะ แล้วแต่จะว่า ผมอยากจะฝากท่านผู้ใหญ่ที่คิดอย่างนี้ว่า ท่านคงจะลืมไปว่า ครั้งหนึ่งท่านก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน และเมื่อสมัยท่านเป็นวัยรุ่น ท่านก็ทำเหมือนอย่างที่วัยรุ่นสมัยนี้เขาทำกัน นั่นคือธรรมชาติของวัยรุ่นที่หลงทางไปชั่วคราว ไม่มีประโยชน์ที่จะชี้นิ้วด่าวัยรุ่น และมองเขาในแง่ร้ายอย่างเดียว ควรมองเขาด้วยสายตาที่เข้าใจ เห็นใจ และพยายามชี้ช่องทางที่เหมาะสมถูกต้องในการครองชีวิตแก่เขา ในฐานะที่เราผ่านทางวิบากนั้นมาก่อน

 

ข้อมูลสื่อ

33-003
นิตยสารหมอชาวบ้าน 33
มกราคม 2525
เพศชาวบ้าน
รศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม